สวัสดีครับทุกคน กลับมาทำกระทู้อีกครั้งครับ ขอขั้น Arp Arp’s SEAries ก่อนนะครับ (ประเทศต่อไปพม่า เมืองย่างกุ้งนะครับ) วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์ของการพาแฟนไปกินข้าวเย็นที่โรงแรมที่สูงที่สุดในกรุงเทพและในประเทศไทย นั้นก็คือ!!! Baiyoke Sky Hotel นี่เอง โดยที่ไปครางนี้ได้ไปกินที่ห้อง Bangkok Balcony ชั้น 81 ครับ ไปแบบ Outdoor นั้นก็คือแบบข้างนอกนี่เอง (จะแปลทำไมเนี่ย 555) ราคาอยู่ที่ 1470 บาท ตอนแรกก็นึกอยู่ว่าเอ๊ะไม่ใช่พันสองหรอ สรุปคือ ถามพนักงาน เขาบอกว่าราคาขึ้น อ๋อออออ ก่อนไปก็โทรจองก่อน ง่ายๆเลย
การเดินทางผมอาศัย BTS+ARL ครับ โดยที่นั่ง BTS ไปลงที่สถานีพญาไท แล้วต่อ ARL ไปราชปรารภ คือจะบอกว่า ถ้าไปมากกว่าหนึ่งคน นั่งแท๊กซี่ก็ได้ สำหรับผม ขากลับนั่งแท๊กซี่กลับเพราะว่าอยู่ใกล้ตัวโรงแรม อย่างไรก็ตาม จาก ARL สถานีราชปรารภก็เดินไปในซอยราชปรารภ 3 ก็จะเจอทางเข้าแล้ว โดยที่โรงแรมใบหยกไม่ธรรมดาเลยตรงที่ลอบบี้อยู่ชั้น 18 แหนะ ชั้น 1 มีแต่ลิฟท์ พอขึ้นไปถึงชั้น 18 ก็คือลอบบี้ เห็นได้ว่ามีบุฟเฟ่ต์ผลไม้อยู่ชั้นนี้ด้วย
เรื่องตั๋วคือผมซื้อและจ่ายตังไปล่วงหน้าแล้ว ตอนผมซื้อผมรับตั๋วที่ชั้น 19 ครับ พอมีตั๋วแล้วก็ไปทางลิฟท์ที่จะขึ้นไปชั่น 81 จะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจตั๋วของเราอยู่หน้าลิฟท์ จากนั้นก็ต้องรอลิฟท์ไปเรื่อยๆ รอไป 5 นาที ลิฟท์ถึงมา ผมกะแวะดูที่ชั้น 84 ก่อนจะกินข้าว เลยมุ่งไปทางนั้นก่อน จากชั้น 18 ไป 83 ใช้เวลาซักพัก ระหว่างนั้น บอกเลยหูอื้อมากกกกก จากชั้น 83 ก็ต้องเดินขึ้นอีกหนึ่งชั้นไปแล้วจะเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดเลย
พอถ่ายรูปแล้วก็จะออกมาแนวนี้ มีกรงอยู่แต่ก็ไม่เป็นไร ปลอดภัยไว้ก่อน 555
โอเค... พาแฟนมาจุดสุดยอด *เอ๊ย* สูงสุดของกรุงเทพ กลับบ้านได้แล้ว... เอ๊ยยยยย จะบ้าหรอ? ยังไม่ทันได้กินข้าวเลย จากนั้นเราก็เดินลงมาที่ชั้น 81 ก็คือชั้นที่เราจะกินอาหารนี่เอง เราได้ที่นั่งคือที่นั่งตรง North Zone ครับ บอกไว้ก่อนเลย จำโซนตัวเองดีๆ ผมเคยพลาดไปแล้ว เผลอเดินเข้า West Zone ซึงแต่ละโซนจะดูเหมือนกันเป๊ะเลย (คืองงมากตอนตักอาหารกลับมา อ้าวตายห่* มีฝรั่งนั่งที่ของผม อ่าวผิดโซนนี่หน่า sorry sorry...) ที่นั่งของผมอยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตูพอดีเลย
อาหารของ Outdoor จะต่างกับ Indoor ตรงที่ Outdoor จะมีเป็นแนว a la carte เพิ่มมาด้วย บอกตรงๆว่าแค่กิน a la carte ก็จะอิ่มแทบแย่แล้ว ยังมีบุฟเฟ่ต์ข้างในอีก คืออาหารมันเยอะมาก
มาดูอาหาร a la carte ก่อนละกัน ซึ่งเราจะมี choice เลือกคือ
1) เลือกสเต็กว่าจะเอาเนื้ออะไร เราสั่งแกะ 1 เนื้อวัว 1
2) ซุปมีให้เลือกระหว่างหูฉลาม ซุปล๊อบสเตอร์ และต้มยำ ก็เลือกสองอันแรกมา
3) ไวน์แดงหรือขาว เราเลือกไวน์แดงทั้งคู่ (ฟรีคนละหนึ่งแก้ว)
ส่วนที่เหลือก็จะมาเป็น course
ไวน์แดงมาแล้วครับคุณพี่!!!
เริ่มแรกเลยคือ appetizer มีอยู่ 3 อย่าง คือปลาอบซอสซัมติงไอไม่รู้ มีหอยเชลล์ และมีกุ้ง ก็เฉยๆครับ
ขอโทษล่วงหน้าที่รูปเบลอหน่อยครับ แทรกรูปอาหารด้วยรูปวิวละกัน
เมนูที่สองคือทะเลเผา ตอนมานี่ตกใจเลยว่าเอ๊ะจะกินหมดได้ไง มีกั้งให้คนละตัว มีปู 4 ตัว หอยแมลงภู่ หอยเชลล์ และกุ้ง กินกันแทบไม่หมดเลย แต่แอบอยากกินกั้งอีก 555 เนื้อกั้งกับปูสดดี ที่เหลือก็โซๆ
ต่อมาคือผัดไทกุ้งแม่น้ำ อันนี้รสชาติใช้ได้ ไม่ได้วาวอะไรขนาดนั้น แต่ก็อร่อยดีครับ
จานต่อไปคือซาชิมิ เนื้อไม่เละ ใช้ได้ ให้ผ่าน
เมนูต่อไปคือข้าวผัดปู ข้าวผัดกุ้ง สปาเกตตี้คาร์โบนาร่า และสปาเกตตี้ซอสมะเขือเทศ อันนี้เฉยๆ อ่ะ
สปาเกตตี้ซอสมะเขือเทศนี่ผมไม่ได้แตะเลย คาร์โบนาร่ารสชาติเข้มข้นดี ข้าวผัดปูโอเค ข้าวผัดกุ้งไม่โอ จานนี้ที่โอเคสุดคือคาร์โบนาร่าครับ
ต่อมาคือซุปครับ บอกไว้เลย ถ้าจะมาที่นี่ แนะนำซุปล๊อบสเตอร์เลย ไม่ใช่ว่าอย่างอื่นไม่ดีนะ คือผมเลือกกินหูฉลามในระหว่างที่แฟนกินซุปล๊อบสเตอร์ บอกได้เลยว่าหูฉลามอร่อย แต่ว่าพอมากินใน setting นี้แล้วรู้สึกแปลกไปเลย พอพูดถึงหูฉลาม ผมจะนึกถึงภัตตาคารจีนตามเยาวราช ไม่ใช่ที่ใบหยกเลย การเลือกหูฉลามเลยทำให้ผิดหวังหน่อย (ยอมรับว่าหูฉลามข้างนอกอร่อยกว่า) ในส่วนของซุปล๊อบสเตอร์ ดูขาวกว่าที่คิด แต่รสชาติเข้มข้นมาก อร่อยเลยทีเดียว อันนี้ผมชอบ
เมนูถัดมาคือสเต็ก สั่งเนื้อแกะกับเนื้อวัวมาแล้วแบ่งกันกินครับ ก่อนอื่นเลยเนื้อแกะคืออร่อยมาก ยิ่งกินคู่กับเยลลี่มิ้นท์นี่อร่อยเลย ไม่เหม็นคาวหั่นง่ายกินง่าย ถ้าใครกินเนื้อแกะเป็นผมขอแนะนำให้เลือกเลยครับ ต่อมาคือสเต็กเนื้อวัวครับ สเต็กชิ้นใหญ่และหนามาก ทำให้การกินลำบากโดยเฉพาะเวลาที่หั่นออกมาเป็นชิ้นๆ แต่รสชาติเมื่อทานคู่กับซอสถือว่าโอเค
หมดแล้วกับเมนู a la carte ครับ อันนี้เฉพาะ a la carte เองที่มีมาถ้าจ่ายเงินเพิ่มจาก indoor เป็น outdoor ครับ กินแค่นี้ก็อิ่มได้แล้ว แต่งานนี้ไหนๆมาทั้งทีเดินสำรวจหน่อยดีกว่า จากการสำรวจได้ไข่ตุ๋นทะเลกลับมา ต้องแลกกับหางตั๋วครับ ได้คนละอัน รสชาติไม่เค็มไม่จืด มีกุ้ง หอย หมึกอยู่บนไข่เสิร์ฟบนกระทะร้อนเหมือนไข่กระทะ รสชาติโอเค แต่ไม่ได้ว้าวอะไรขนาดถึงต้องเป็น premium menu จะหาว่าผมกินไม่คุ้มก็ได้ แต่ผมตักมาแค่ไข่ตุ๋นแซลมอนซาชิมิ และ appetizer เล็กๆน้อยๆจากบุฟเฟ่ต์ข้างในครับ สังเกตได้ว่าคนที่กินข้างในส่วนใหญ่เป็นทัวร์จีนครับ เดินไปเดินมานึกว่าอยู่ในเยาวราช เพราะได้ยินแต่คนพูดจีน
สำหรับผม ผมว่าถ้ากิน a la carte แล้วให้มากินบุฟเฟ่ต์ต่อผมขอบายครับ เพราะว่าทั้งอิ่มแล้วความคิดของเราเปลี่ยนจากการกินเน้นคุ้มเป็นเน้นกินอร่อย อะไรที่อร่อยก็กินไป อะไรไม่อร่อยก็ผ่านไป เรามีท้องแค่อันเดียว และเราอยู่ในห้องอาหารที่มีอาหารโคตรของโคตรเยอะเลย คงต้องเลือกกินแหละครับ
อันนี้คือชาบูเนื้อครับ วิธีที่เขาทำคือเอาเนื้อดิบใส่ถ้วยแล้วเอาน้ำซุปร้อนๆตักใส่ จบ
จบมื้อนี้ด้วยของหวาน มีผลไม้ที่เสิร์ฟมาอย่างสวยงาม มีเครปและไอศครีมครับ ผมเสริมด้วยข้าวเหนียวมะม่วงจากบุฟเฟ่ต์ข้างในครับ
ก่อนกลับก็เซอร์ไพรซ์แฟนตามแผนของเรา เล่นเอาเธอตกใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น 5555+
------------------------------------------------
[CR] พาแฟนไปถึงจุดสุดยอด *เอ๊ย* สูงสุดที่ Bangkok Balcony 81st Floor @ Baiyoke Sky Hotel
สวัสดีครับทุกคน กลับมาทำกระทู้อีกครั้งครับ ขอขั้น Arp Arp’s SEAries ก่อนนะครับ (ประเทศต่อไปพม่า เมืองย่างกุ้งนะครับ) วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์ของการพาแฟนไปกินข้าวเย็นที่โรงแรมที่สูงที่สุดในกรุงเทพและในประเทศไทย นั้นก็คือ!!! Baiyoke Sky Hotel นี่เอง โดยที่ไปครางนี้ได้ไปกินที่ห้อง Bangkok Balcony ชั้น 81 ครับ ไปแบบ Outdoor นั้นก็คือแบบข้างนอกนี่เอง (จะแปลทำไมเนี่ย 555) ราคาอยู่ที่ 1470 บาท ตอนแรกก็นึกอยู่ว่าเอ๊ะไม่ใช่พันสองหรอ สรุปคือ ถามพนักงาน เขาบอกว่าราคาขึ้น อ๋อออออ ก่อนไปก็โทรจองก่อน ง่ายๆเลย
การเดินทางผมอาศัย BTS+ARL ครับ โดยที่นั่ง BTS ไปลงที่สถานีพญาไท แล้วต่อ ARL ไปราชปรารภ คือจะบอกว่า ถ้าไปมากกว่าหนึ่งคน นั่งแท๊กซี่ก็ได้ สำหรับผม ขากลับนั่งแท๊กซี่กลับเพราะว่าอยู่ใกล้ตัวโรงแรม อย่างไรก็ตาม จาก ARL สถานีราชปรารภก็เดินไปในซอยราชปรารภ 3 ก็จะเจอทางเข้าแล้ว โดยที่โรงแรมใบหยกไม่ธรรมดาเลยตรงที่ลอบบี้อยู่ชั้น 18 แหนะ ชั้น 1 มีแต่ลิฟท์ พอขึ้นไปถึงชั้น 18 ก็คือลอบบี้ เห็นได้ว่ามีบุฟเฟ่ต์ผลไม้อยู่ชั้นนี้ด้วย
เรื่องตั๋วคือผมซื้อและจ่ายตังไปล่วงหน้าแล้ว ตอนผมซื้อผมรับตั๋วที่ชั้น 19 ครับ พอมีตั๋วแล้วก็ไปทางลิฟท์ที่จะขึ้นไปชั่น 81 จะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจตั๋วของเราอยู่หน้าลิฟท์ จากนั้นก็ต้องรอลิฟท์ไปเรื่อยๆ รอไป 5 นาที ลิฟท์ถึงมา ผมกะแวะดูที่ชั้น 84 ก่อนจะกินข้าว เลยมุ่งไปทางนั้นก่อน จากชั้น 18 ไป 83 ใช้เวลาซักพัก ระหว่างนั้น บอกเลยหูอื้อมากกกกก จากชั้น 83 ก็ต้องเดินขึ้นอีกหนึ่งชั้นไปแล้วจะเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดเลย
พอถ่ายรูปแล้วก็จะออกมาแนวนี้ มีกรงอยู่แต่ก็ไม่เป็นไร ปลอดภัยไว้ก่อน 555
โอเค... พาแฟนมาจุดสุดยอด *เอ๊ย* สูงสุดของกรุงเทพ กลับบ้านได้แล้ว... เอ๊ยยยยย จะบ้าหรอ? ยังไม่ทันได้กินข้าวเลย จากนั้นเราก็เดินลงมาที่ชั้น 81 ก็คือชั้นที่เราจะกินอาหารนี่เอง เราได้ที่นั่งคือที่นั่งตรง North Zone ครับ บอกไว้ก่อนเลย จำโซนตัวเองดีๆ ผมเคยพลาดไปแล้ว เผลอเดินเข้า West Zone ซึงแต่ละโซนจะดูเหมือนกันเป๊ะเลย (คืองงมากตอนตักอาหารกลับมา อ้าวตายห่* มีฝรั่งนั่งที่ของผม อ่าวผิดโซนนี่หน่า sorry sorry...) ที่นั่งของผมอยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตูพอดีเลย
อาหารของ Outdoor จะต่างกับ Indoor ตรงที่ Outdoor จะมีเป็นแนว a la carte เพิ่มมาด้วย บอกตรงๆว่าแค่กิน a la carte ก็จะอิ่มแทบแย่แล้ว ยังมีบุฟเฟ่ต์ข้างในอีก คืออาหารมันเยอะมาก
มาดูอาหาร a la carte ก่อนละกัน ซึ่งเราจะมี choice เลือกคือ
1) เลือกสเต็กว่าจะเอาเนื้ออะไร เราสั่งแกะ 1 เนื้อวัว 1
2) ซุปมีให้เลือกระหว่างหูฉลาม ซุปล๊อบสเตอร์ และต้มยำ ก็เลือกสองอันแรกมา
3) ไวน์แดงหรือขาว เราเลือกไวน์แดงทั้งคู่ (ฟรีคนละหนึ่งแก้ว)
ส่วนที่เหลือก็จะมาเป็น course
ไวน์แดงมาแล้วครับคุณพี่!!!
เริ่มแรกเลยคือ appetizer มีอยู่ 3 อย่าง คือปลาอบซอสซัมติงไอไม่รู้ มีหอยเชลล์ และมีกุ้ง ก็เฉยๆครับ
ขอโทษล่วงหน้าที่รูปเบลอหน่อยครับ แทรกรูปอาหารด้วยรูปวิวละกัน
เมนูที่สองคือทะเลเผา ตอนมานี่ตกใจเลยว่าเอ๊ะจะกินหมดได้ไง มีกั้งให้คนละตัว มีปู 4 ตัว หอยแมลงภู่ หอยเชลล์ และกุ้ง กินกันแทบไม่หมดเลย แต่แอบอยากกินกั้งอีก 555 เนื้อกั้งกับปูสดดี ที่เหลือก็โซๆ
ต่อมาคือผัดไทกุ้งแม่น้ำ อันนี้รสชาติใช้ได้ ไม่ได้วาวอะไรขนาดนั้น แต่ก็อร่อยดีครับ
จานต่อไปคือซาชิมิ เนื้อไม่เละ ใช้ได้ ให้ผ่าน
เมนูต่อไปคือข้าวผัดปู ข้าวผัดกุ้ง สปาเกตตี้คาร์โบนาร่า และสปาเกตตี้ซอสมะเขือเทศ อันนี้เฉยๆ อ่ะ
สปาเกตตี้ซอสมะเขือเทศนี่ผมไม่ได้แตะเลย คาร์โบนาร่ารสชาติเข้มข้นดี ข้าวผัดปูโอเค ข้าวผัดกุ้งไม่โอ จานนี้ที่โอเคสุดคือคาร์โบนาร่าครับ
ต่อมาคือซุปครับ บอกไว้เลย ถ้าจะมาที่นี่ แนะนำซุปล๊อบสเตอร์เลย ไม่ใช่ว่าอย่างอื่นไม่ดีนะ คือผมเลือกกินหูฉลามในระหว่างที่แฟนกินซุปล๊อบสเตอร์ บอกได้เลยว่าหูฉลามอร่อย แต่ว่าพอมากินใน setting นี้แล้วรู้สึกแปลกไปเลย พอพูดถึงหูฉลาม ผมจะนึกถึงภัตตาคารจีนตามเยาวราช ไม่ใช่ที่ใบหยกเลย การเลือกหูฉลามเลยทำให้ผิดหวังหน่อย (ยอมรับว่าหูฉลามข้างนอกอร่อยกว่า) ในส่วนของซุปล๊อบสเตอร์ ดูขาวกว่าที่คิด แต่รสชาติเข้มข้นมาก อร่อยเลยทีเดียว อันนี้ผมชอบ
เมนูถัดมาคือสเต็ก สั่งเนื้อแกะกับเนื้อวัวมาแล้วแบ่งกันกินครับ ก่อนอื่นเลยเนื้อแกะคืออร่อยมาก ยิ่งกินคู่กับเยลลี่มิ้นท์นี่อร่อยเลย ไม่เหม็นคาวหั่นง่ายกินง่าย ถ้าใครกินเนื้อแกะเป็นผมขอแนะนำให้เลือกเลยครับ ต่อมาคือสเต็กเนื้อวัวครับ สเต็กชิ้นใหญ่และหนามาก ทำให้การกินลำบากโดยเฉพาะเวลาที่หั่นออกมาเป็นชิ้นๆ แต่รสชาติเมื่อทานคู่กับซอสถือว่าโอเค
หมดแล้วกับเมนู a la carte ครับ อันนี้เฉพาะ a la carte เองที่มีมาถ้าจ่ายเงินเพิ่มจาก indoor เป็น outdoor ครับ กินแค่นี้ก็อิ่มได้แล้ว แต่งานนี้ไหนๆมาทั้งทีเดินสำรวจหน่อยดีกว่า จากการสำรวจได้ไข่ตุ๋นทะเลกลับมา ต้องแลกกับหางตั๋วครับ ได้คนละอัน รสชาติไม่เค็มไม่จืด มีกุ้ง หอย หมึกอยู่บนไข่เสิร์ฟบนกระทะร้อนเหมือนไข่กระทะ รสชาติโอเค แต่ไม่ได้ว้าวอะไรขนาดถึงต้องเป็น premium menu จะหาว่าผมกินไม่คุ้มก็ได้ แต่ผมตักมาแค่ไข่ตุ๋นแซลมอนซาชิมิ และ appetizer เล็กๆน้อยๆจากบุฟเฟ่ต์ข้างในครับ สังเกตได้ว่าคนที่กินข้างในส่วนใหญ่เป็นทัวร์จีนครับ เดินไปเดินมานึกว่าอยู่ในเยาวราช เพราะได้ยินแต่คนพูดจีน
สำหรับผม ผมว่าถ้ากิน a la carte แล้วให้มากินบุฟเฟ่ต์ต่อผมขอบายครับ เพราะว่าทั้งอิ่มแล้วความคิดของเราเปลี่ยนจากการกินเน้นคุ้มเป็นเน้นกินอร่อย อะไรที่อร่อยก็กินไป อะไรไม่อร่อยก็ผ่านไป เรามีท้องแค่อันเดียว และเราอยู่ในห้องอาหารที่มีอาหารโคตรของโคตรเยอะเลย คงต้องเลือกกินแหละครับ
อันนี้คือชาบูเนื้อครับ วิธีที่เขาทำคือเอาเนื้อดิบใส่ถ้วยแล้วเอาน้ำซุปร้อนๆตักใส่ จบ
จบมื้อนี้ด้วยของหวาน มีผลไม้ที่เสิร์ฟมาอย่างสวยงาม มีเครปและไอศครีมครับ ผมเสริมด้วยข้าวเหนียวมะม่วงจากบุฟเฟ่ต์ข้างในครับ
ก่อนกลับก็เซอร์ไพรซ์แฟนตามแผนของเรา เล่นเอาเธอตกใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น 5555+
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น