ดูลิงก์ของทุกตอน (ที่เขียนเสร็จแล้ว) ได้ตามด้านล่างเลยค่ะ
+.+.+ลุยเดี่ยวเที่ยวตอนตกกงาน 72 วัน จาก USA ถึง PERU+.+.+
https://pantip.com/topic/37467736

จังหวะที่คว้ากระเป๋าเตรียมออกจาก Hostel ที่ Mexico อยู่ดีๆ ก็มีสาวญี่ปุ่นเดินเข้ามาคุย “คนญี่ปุ่นหรือเปล่าคะ? หรือคนจีน?” แหมๆ คำถามจะดีแล้วเชียว เหมือนจะได้เป็นสาวญี่ปุ่นกะเค้า แต่เชื้อจีนคงแรงแซงหน้า เค้าถึงพอเดาได้ว่าอีนี่ไม่น่าใช่ญี่ปุ่น สรุปแล้วที่เค้ามาทักเราเพราะเค้าจะไปสนามบิน เรียก Uber แล้วแต่ไม่มาซะที เลยจะขอตามเราไปด้วย
เรา: แต่เรานั่งรถใต้ดินไปนะ
ญี่ปุ่น: โอเค นำไปเลย เดี๋ยวเราตามไป
เฮ้ย.....ทำเหมือนชั้นรู้ว่าไปยังไงงั้นอ่ะ จริงๆ ก็เพิ่งครั้งแรก แต่อย่างน้อยก็ถือว่ามีเพื่อนไปด้วยกันก็ไม่เลวร้าย รถไฟตอนเกือบหกโมงเป็นอะไรที่เคว้งคว้างมาก สภาพรถไฟเก่าๆ แล้วคนนั่งแต่ละคนหน้าตาไม่ตื่นนอน อารมณ์เหมือนหลุดมาอยู่ในหนังซอมบี้ยังไงอย่างงั้น
เรานั่งสายสีชมพูจาก Isabel la Catolica จนสุดสายไปลง Pantitlan แล้วเปลี่ยนรถเป็นสายสีเหลือง (สายนี้คนเยอะขึ้นมาหน่อย) นั่งไปอีก 2 ป้ายจะถึงป้ายสนามบิน เบ็ดเสร็จแค่ 5 peso (จะนั่งป้ายเดียว หรือจะกี่สิบป้าย นั่งวนไปวนมาก็แค่ 5 peso)

ที่นีมีตู้สำหรับผู้หญิงด้วย แต่เอาเข้าจริงๆ ผู้ชายก็เข้าไปเหมือนกัน แถมไปนั่งอีกต่างหาก เลยไม่เข้าใจนิยามของตู้ผู้หญิงเท่าไหร่

ถึงสนามบินแล้วก็แยกย้ายกัน เราก็เอากระเป๋าไป check-in แล้วขึ้นไปสำรวจดูว่าจากสนามบิน ถ้าเราไป Toluca รถจะมีถึงกี่โมง แล้วราคาเท่าไหร่ ซึ่งในส่วนของรถ Long distance bus จากสนามบินไปเมืองต่างๆ (ไม่กี่เมือง) จะมีเค้าเตอร์ให้บริการอยู่ชั้น 2 ตรงทางเชื่อม (มองหาร้านคริสปี้ครีมเจอ ก็จะเห็นเค้าเตอร์อยู่ด้านหลัง) ไหนๆ ก็ไปถึงแล้วเลยถ่ายรูปมาเก็บไว้ดูแล้วค่อยคิดว่าจะเอาไงต่อดี เพราะราคามันแพงกว่าที่นั่งจากในเมือง Mexico ไปที่ Toluca มาก


ได้ข้อมูลแล้วเราก็เดินหาของกิน แน่นอนว่าของกินในสนามบินนั้น ราคาแสนแพง ถูกที่สุดเห็นจะเป็น Burger แบบชิ้นเดียวของ Burger King ในราคา 25 peso กินเสร็จเราก็รีบถามว่า immigration ไปทางไหน ทุกคนก็ชี้ให้ไปทางที่เข้าไปแล้วเจอเครื่อง X-ray สงสัยที่นี่ให้ X-Ray ก่อนแล้วค่อยผ่าน ตม. เหมือนๆ กับของประเทศไทย
พอผ่านปุ๊บเราก็เดินมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ เอ๊ะ! มันถึง Gate แล้วนะ แล้ว immigration ล่ะ พอถามก็ได้ความว่าเดินไปแถว Gate 28 แล้วเลี้ยวซ้าย ตรงนั้นจะมี immigration ถึงตรงนี้งงเล็กน้อย ทำไม immigration อยู่ปะปนกับ Gate หว่า? แต่ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงมาถึงแล้ว เราต้องเอาตราสแตมป์ออกนอกประเทศมาประทับบน passport ให้ได้

เราก็เข้าคิวต่อแถว แต่พอถึงคิว “ไม่ต้องประทับตราค่ะ” เอิ่ม....เกาหัวแล้วเดินออกมาดูคนที่ต่อจากเรา คนนี้ดูเป็นต่างชาติ ไม่น่าใช่ Mexican แล้วเค้าได้ตราประทับ! เดินโปรยยิ้มสยามไปหาต่างชาติทันที คำตอบที่ได้มาไม่ช่วยอะไรเลย คือเค้าเป็นต่างชาติก็จริง แต่อยู่ที่นี่ในฐานะ Resident เค้าเลยต้องประทับตราเข้าออกทุกครั้ง เราเลยไปต่อแถวใหม่ ถามย้ำแล้วย้ำอีก เค้าก็บอกว่าไม่ต๊อง..ไม่ต้อง เชิญไปรอที่ Gate ได้เลยค่ะ! เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็กลับมารอ ถามพนักงานที่ Gate อีกรอบ เค้าบอกว่าแค่ยื่นใบตม. ให้เจ้าหน้าที่ที่ Gate ตอนขึ้นเครื่องก็ถือว่าเป็นการผ่านกระบวนการ ตม. แล้ว เมื่อกี้ที่เดินวุ่นถือเป็นการย่อยเบอร์เกอร์มื้อเช้าไปในตัวแล้วกันนะ

จาก Mexico City ไป Las Vegas ถ้านั่งด้านขวาของเครื่องจะเห็น Grand Canyon แต่ถ้านั่งด้านซ้ายแบบเรา จะได้วิวประมาณนี้



พอเครื่องลงจอดเราก็เข้าแถวต่อคิว ตม. เพื่อเข้าประเทศ แต่ละคำถามที่ยิงมาเราก็เข้าใจนะว่าเค้าต้องถาม แต่พอเราตอบเค้าหาว่า “แปลก” คือ การมาเที่ยวคนเดียว การเที่ยวทั้งๆ ที่ไม่มีเพื่อนที่ Las Vegas การจองห้องพักผ่าน Airbnb ไม่จองโรงแรม คือทุกอย่างดู “แปลก” หมด จนคำถามนึงที่ถามมาคือ “จะมาหางานอะไรที่นี่” เราก็ยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า ไม่ต้องหา เพราะมีงานรอให้ทำที่ไทยอยู่แล้วตอนกลับไป!! ถึงตรงนี้เวลาที่เรามาเที่ยวเราเจอต่างชาติหลายคนบอกว่ามาที่ไทยเที่ยวหลายเดือน พยายามหางานทำแล้ว หาไม่ได้เลยกลับไป อยากรู้จังว่า ตม. ไทยเคยถามคำถามน่าเกลียดๆ แบบนี้กับพวกยุโรป หรือเมกันบ้างมั๊ย? ถ้า ตม. ไทยทำเค้าต้องหาว่าคนไทยไปดูถูกเค้า แต่สิ่งที่ จนท. เมกันถามคนไทยเวลาไปเที่ยวมันก็คือการดูถูกเหมือนกัน มันไม่มีคำพูดที่ดูดีกว่านี้แล้วเหรอ????
พอผ่าน ตม. มาได้ก็ต้องมาเจอตรวจเรื่องอาหารอีก เพราะมีเอามาม่าไปหลายซอง แล้วยังมีทาโร่อีก 2 ถุง ถือเป็นโชคดีที่เจอคุณอาคนไทยเป็นเจ้าหน้าที่ตอนนั้น คุณอาอธิบายว่าอะไรเอาเข้าได้ อะไรเอาเข้าไม่ได้ แล้วก็ช่วยจนเราผ่านมาได้สำเร็จ จังหวะนั้นคือไม่มีคนอื่นนอกจากเรา คุณอาเลยให้เบอร์ติดต่อไว้ เผื่อมีปัญหาอะไรตอนอยู่ที่นี่จะได้ช่วยเหลือกันได้ ได้เบอร์มาเสร็จเราก็ออกไปเอารถที่เช่าไว้

ได้รถแล้วก็ต้องหาซิมมือถือต่อ เพราะไม่มีเนทก็ไปที่พักไม่ถูก และแน่นอนว่าด้วยความช่ำชองในการขับรถเลนขวามาก ทำให้เกร็งไปทั้งตัว ถึงตึกที่เค้าบอกว่ามีขายซิมการ์ดเราก็รีบเลี้ยวขวา แต่.....เลี้ยวเร็วไป 1 โค้ง ทำให้เราพาตัวเองไปอยู่บน Highway!!! คราวนี้มั่วหนักกว่าเดิม ไม่รู้จะลงตรงไหนดี ขับไปเรื่อยๆๆๆๆๆ แล้วก็คิดได้ว่าถ้าขับออกนอกเวกัสไปล่ะ? จังหวะนั้นเลยลงจาก Highway แล้วขับไปถนนที่ไม่ค่อยมีรถ จนเห็นร้าน supermarket โชคดีที่มีขายซิมการ์ด แต่โชคร้ายที่คนขายไม่รู้วิธีเปิดใช้บริการและเติมเงิน งมกับซิมการ์ดอยู่สามชั่วโมงกว่าจะใช้ได้ แล้วพาตัวเองไปถึงที่พัก
ในส่วนของที่พักเจ้าของห้องบอกว่าเข้าไปได้เลย กุญแจไว้อยู่ที่ขอบประตู เหอะๆ ขอบประตูนี่มันกี่เมตรคะ??? อย่างต่ำต้องมี 1.8 เมตรค่ะ แล้วชั้นสูงมากค่ะ 1.5 เมตร ยื่นมือจนสุดแล้วก็ยังเหยียดไม่ถึงขอบล่างของประตู!!! เราโทรกลับไปบอกว่าขอพาสเวิร์ด wifi เหอะ ชั้นจะ search หา Walmart แล้วไปซื้อของรอคุณกลับมา แต่เจ้าของห้องไม่ให้!! บอกว่าหาทางเอากุญแจแล้วเข้าไปให้ได้ก่อนแล้วจะบอก password นี่ชั้นกำลังอยู่ในรายการเกมส์โชว์อะไรหรือเปล่า? ทำไมชีวิตมันดูยุ่งยากอย่างงี้! สุดท้ายเอาขาตั้งกล้อง (แบกมาไม่ได้ใช้ถ่ายรูป แต่เอามาใช้เขี่ยของ) เขี่ยมันลงมาแล้วเปิดเข้าห้องได้ จากนั้นอีกไม่ถึง 10 นาทีก็มีชายหนุ่มเดินเข้ามาแล้วบอกว่าเค้าก็เช่าที่นี่เหมือนกัน “โอเคค่ะ งั้นยูก็เอากุญแจกลับไปวางที่เดิมนะ ชั้นเอื้อมไม่ถึง”
วันนี้หมดไปกับความวุ่นวาย แต่กระนั้นกองทัพต้องเดินด้วยท้อง ช่วงที่ไป Walmart เราเห็นร้าน Red Lobster แล้วอยากกินมาก ขากลับขับเลยไปหนึ่งแยก ยังอุตสาห์วนรถกลับมา พอถึงก็วนหาที่จอดไปอีกสองรอบ จังหวะที่เดินเข้าร้านคือ คนเต็มร้าน คนที่รอคือรอจะออกมานอกร้านแล้ว เหอะๆ ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรถ้าต้องมารออีกก็ไม่ไหวอ่ะ กลับไปทำอาหารญี่ปุ่น (ราเม็งต้มยำ) กินแล้วนอนดีกว่า
[CR] . . ลุยเดี่ยวเที่ยวตอนตกงาน จาก USA ถึง PERU (DAY3: LAS VEGAS (USA))
+.+.+ลุยเดี่ยวเที่ยวตอนตกกงาน 72 วัน จาก USA ถึง PERU+.+.+
https://pantip.com/topic/37467736
จังหวะที่คว้ากระเป๋าเตรียมออกจาก Hostel ที่ Mexico อยู่ดีๆ ก็มีสาวญี่ปุ่นเดินเข้ามาคุย “คนญี่ปุ่นหรือเปล่าคะ? หรือคนจีน?” แหมๆ คำถามจะดีแล้วเชียว เหมือนจะได้เป็นสาวญี่ปุ่นกะเค้า แต่เชื้อจีนคงแรงแซงหน้า เค้าถึงพอเดาได้ว่าอีนี่ไม่น่าใช่ญี่ปุ่น สรุปแล้วที่เค้ามาทักเราเพราะเค้าจะไปสนามบิน เรียก Uber แล้วแต่ไม่มาซะที เลยจะขอตามเราไปด้วย
เรา: แต่เรานั่งรถใต้ดินไปนะ
ญี่ปุ่น: โอเค นำไปเลย เดี๋ยวเราตามไป
เฮ้ย.....ทำเหมือนชั้นรู้ว่าไปยังไงงั้นอ่ะ จริงๆ ก็เพิ่งครั้งแรก แต่อย่างน้อยก็ถือว่ามีเพื่อนไปด้วยกันก็ไม่เลวร้าย รถไฟตอนเกือบหกโมงเป็นอะไรที่เคว้งคว้างมาก สภาพรถไฟเก่าๆ แล้วคนนั่งแต่ละคนหน้าตาไม่ตื่นนอน อารมณ์เหมือนหลุดมาอยู่ในหนังซอมบี้ยังไงอย่างงั้น
เรานั่งสายสีชมพูจาก Isabel la Catolica จนสุดสายไปลง Pantitlan แล้วเปลี่ยนรถเป็นสายสีเหลือง (สายนี้คนเยอะขึ้นมาหน่อย) นั่งไปอีก 2 ป้ายจะถึงป้ายสนามบิน เบ็ดเสร็จแค่ 5 peso (จะนั่งป้ายเดียว หรือจะกี่สิบป้าย นั่งวนไปวนมาก็แค่ 5 peso)
ที่นีมีตู้สำหรับผู้หญิงด้วย แต่เอาเข้าจริงๆ ผู้ชายก็เข้าไปเหมือนกัน แถมไปนั่งอีกต่างหาก เลยไม่เข้าใจนิยามของตู้ผู้หญิงเท่าไหร่
ถึงสนามบินแล้วก็แยกย้ายกัน เราก็เอากระเป๋าไป check-in แล้วขึ้นไปสำรวจดูว่าจากสนามบิน ถ้าเราไป Toluca รถจะมีถึงกี่โมง แล้วราคาเท่าไหร่ ซึ่งในส่วนของรถ Long distance bus จากสนามบินไปเมืองต่างๆ (ไม่กี่เมือง) จะมีเค้าเตอร์ให้บริการอยู่ชั้น 2 ตรงทางเชื่อม (มองหาร้านคริสปี้ครีมเจอ ก็จะเห็นเค้าเตอร์อยู่ด้านหลัง) ไหนๆ ก็ไปถึงแล้วเลยถ่ายรูปมาเก็บไว้ดูแล้วค่อยคิดว่าจะเอาไงต่อดี เพราะราคามันแพงกว่าที่นั่งจากในเมือง Mexico ไปที่ Toluca มาก
ได้ข้อมูลแล้วเราก็เดินหาของกิน แน่นอนว่าของกินในสนามบินนั้น ราคาแสนแพง ถูกที่สุดเห็นจะเป็น Burger แบบชิ้นเดียวของ Burger King ในราคา 25 peso กินเสร็จเราก็รีบถามว่า immigration ไปทางไหน ทุกคนก็ชี้ให้ไปทางที่เข้าไปแล้วเจอเครื่อง X-ray สงสัยที่นี่ให้ X-Ray ก่อนแล้วค่อยผ่าน ตม. เหมือนๆ กับของประเทศไทย
พอผ่านปุ๊บเราก็เดินมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ เอ๊ะ! มันถึง Gate แล้วนะ แล้ว immigration ล่ะ พอถามก็ได้ความว่าเดินไปแถว Gate 28 แล้วเลี้ยวซ้าย ตรงนั้นจะมี immigration ถึงตรงนี้งงเล็กน้อย ทำไม immigration อยู่ปะปนกับ Gate หว่า? แต่ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงมาถึงแล้ว เราต้องเอาตราสแตมป์ออกนอกประเทศมาประทับบน passport ให้ได้
เราก็เข้าคิวต่อแถว แต่พอถึงคิว “ไม่ต้องประทับตราค่ะ” เอิ่ม....เกาหัวแล้วเดินออกมาดูคนที่ต่อจากเรา คนนี้ดูเป็นต่างชาติ ไม่น่าใช่ Mexican แล้วเค้าได้ตราประทับ! เดินโปรยยิ้มสยามไปหาต่างชาติทันที คำตอบที่ได้มาไม่ช่วยอะไรเลย คือเค้าเป็นต่างชาติก็จริง แต่อยู่ที่นี่ในฐานะ Resident เค้าเลยต้องประทับตราเข้าออกทุกครั้ง เราเลยไปต่อแถวใหม่ ถามย้ำแล้วย้ำอีก เค้าก็บอกว่าไม่ต๊อง..ไม่ต้อง เชิญไปรอที่ Gate ได้เลยค่ะ! เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็กลับมารอ ถามพนักงานที่ Gate อีกรอบ เค้าบอกว่าแค่ยื่นใบตม. ให้เจ้าหน้าที่ที่ Gate ตอนขึ้นเครื่องก็ถือว่าเป็นการผ่านกระบวนการ ตม. แล้ว เมื่อกี้ที่เดินวุ่นถือเป็นการย่อยเบอร์เกอร์มื้อเช้าไปในตัวแล้วกันนะ
จาก Mexico City ไป Las Vegas ถ้านั่งด้านขวาของเครื่องจะเห็น Grand Canyon แต่ถ้านั่งด้านซ้ายแบบเรา จะได้วิวประมาณนี้
พอเครื่องลงจอดเราก็เข้าแถวต่อคิว ตม. เพื่อเข้าประเทศ แต่ละคำถามที่ยิงมาเราก็เข้าใจนะว่าเค้าต้องถาม แต่พอเราตอบเค้าหาว่า “แปลก” คือ การมาเที่ยวคนเดียว การเที่ยวทั้งๆ ที่ไม่มีเพื่อนที่ Las Vegas การจองห้องพักผ่าน Airbnb ไม่จองโรงแรม คือทุกอย่างดู “แปลก” หมด จนคำถามนึงที่ถามมาคือ “จะมาหางานอะไรที่นี่” เราก็ยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า ไม่ต้องหา เพราะมีงานรอให้ทำที่ไทยอยู่แล้วตอนกลับไป!! ถึงตรงนี้เวลาที่เรามาเที่ยวเราเจอต่างชาติหลายคนบอกว่ามาที่ไทยเที่ยวหลายเดือน พยายามหางานทำแล้ว หาไม่ได้เลยกลับไป อยากรู้จังว่า ตม. ไทยเคยถามคำถามน่าเกลียดๆ แบบนี้กับพวกยุโรป หรือเมกันบ้างมั๊ย? ถ้า ตม. ไทยทำเค้าต้องหาว่าคนไทยไปดูถูกเค้า แต่สิ่งที่ จนท. เมกันถามคนไทยเวลาไปเที่ยวมันก็คือการดูถูกเหมือนกัน มันไม่มีคำพูดที่ดูดีกว่านี้แล้วเหรอ????
พอผ่าน ตม. มาได้ก็ต้องมาเจอตรวจเรื่องอาหารอีก เพราะมีเอามาม่าไปหลายซอง แล้วยังมีทาโร่อีก 2 ถุง ถือเป็นโชคดีที่เจอคุณอาคนไทยเป็นเจ้าหน้าที่ตอนนั้น คุณอาอธิบายว่าอะไรเอาเข้าได้ อะไรเอาเข้าไม่ได้ แล้วก็ช่วยจนเราผ่านมาได้สำเร็จ จังหวะนั้นคือไม่มีคนอื่นนอกจากเรา คุณอาเลยให้เบอร์ติดต่อไว้ เผื่อมีปัญหาอะไรตอนอยู่ที่นี่จะได้ช่วยเหลือกันได้ ได้เบอร์มาเสร็จเราก็ออกไปเอารถที่เช่าไว้
ได้รถแล้วก็ต้องหาซิมมือถือต่อ เพราะไม่มีเนทก็ไปที่พักไม่ถูก และแน่นอนว่าด้วยความช่ำชองในการขับรถเลนขวามาก ทำให้เกร็งไปทั้งตัว ถึงตึกที่เค้าบอกว่ามีขายซิมการ์ดเราก็รีบเลี้ยวขวา แต่.....เลี้ยวเร็วไป 1 โค้ง ทำให้เราพาตัวเองไปอยู่บน Highway!!! คราวนี้มั่วหนักกว่าเดิม ไม่รู้จะลงตรงไหนดี ขับไปเรื่อยๆๆๆๆๆ แล้วก็คิดได้ว่าถ้าขับออกนอกเวกัสไปล่ะ? จังหวะนั้นเลยลงจาก Highway แล้วขับไปถนนที่ไม่ค่อยมีรถ จนเห็นร้าน supermarket โชคดีที่มีขายซิมการ์ด แต่โชคร้ายที่คนขายไม่รู้วิธีเปิดใช้บริการและเติมเงิน งมกับซิมการ์ดอยู่สามชั่วโมงกว่าจะใช้ได้ แล้วพาตัวเองไปถึงที่พัก
ในส่วนของที่พักเจ้าของห้องบอกว่าเข้าไปได้เลย กุญแจไว้อยู่ที่ขอบประตู เหอะๆ ขอบประตูนี่มันกี่เมตรคะ??? อย่างต่ำต้องมี 1.8 เมตรค่ะ แล้วชั้นสูงมากค่ะ 1.5 เมตร ยื่นมือจนสุดแล้วก็ยังเหยียดไม่ถึงขอบล่างของประตู!!! เราโทรกลับไปบอกว่าขอพาสเวิร์ด wifi เหอะ ชั้นจะ search หา Walmart แล้วไปซื้อของรอคุณกลับมา แต่เจ้าของห้องไม่ให้!! บอกว่าหาทางเอากุญแจแล้วเข้าไปให้ได้ก่อนแล้วจะบอก password นี่ชั้นกำลังอยู่ในรายการเกมส์โชว์อะไรหรือเปล่า? ทำไมชีวิตมันดูยุ่งยากอย่างงี้! สุดท้ายเอาขาตั้งกล้อง (แบกมาไม่ได้ใช้ถ่ายรูป แต่เอามาใช้เขี่ยของ) เขี่ยมันลงมาแล้วเปิดเข้าห้องได้ จากนั้นอีกไม่ถึง 10 นาทีก็มีชายหนุ่มเดินเข้ามาแล้วบอกว่าเค้าก็เช่าที่นี่เหมือนกัน “โอเคค่ะ งั้นยูก็เอากุญแจกลับไปวางที่เดิมนะ ชั้นเอื้อมไม่ถึง”
วันนี้หมดไปกับความวุ่นวาย แต่กระนั้นกองทัพต้องเดินด้วยท้อง ช่วงที่ไป Walmart เราเห็นร้าน Red Lobster แล้วอยากกินมาก ขากลับขับเลยไปหนึ่งแยก ยังอุตสาห์วนรถกลับมา พอถึงก็วนหาที่จอดไปอีกสองรอบ จังหวะที่เดินเข้าร้านคือ คนเต็มร้าน คนที่รอคือรอจะออกมานอกร้านแล้ว เหอะๆ ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรถ้าต้องมารออีกก็ไม่ไหวอ่ะ กลับไปทำอาหารญี่ปุ่น (ราเม็งต้มยำ) กินแล้วนอนดีกว่า