ตำนานหมอเทวดา1 (ตอนกำเนิดหมอชีวก โกมารภัจจ์ ฉบับภาษาชาวบ้าน)

ตำนานหมอเทวดา1 (ตอนกำเนิดหมอชีวก โกมารภัจจ์ ฉบับภาษาชาวบ้าน)
อุยเสี่ยวมินเขียน
                   สมัยหนึ่ง ณ.เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ   หญิงงามประจำเมืองนางหนึ่งชื่อ นางสาลวดีมีหน้าตาราวนางงามจักรวาล รูปร่างมีเสน่ห์จนชายหลายคนน้ำลายไหล เก่งร้องรำทำเพลง  ลีลาทางเพศเย้ายวน ชวนให้เคลิบเคลิ้ม บรรดาชายหลายคนตกในห้วงเสน่ห์หาต่างต้องการร่วมหลับนอน ด้วยลีลาโยกๆเข้าไปให้มันส์หลุด โยกเข้าไป เป็นผลให้เธอตั้งท้องโดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเด็ก
                     ความวิตกจึงเกิดกับเธอ (หญิงบริการประจำเมือง) เนื่องด้วยการมีลูกจะทำให้เธอเสียลูกค้า จึงบอกผู้คนว่าตัวป่วย ขอหยุดกิจกรรมป้าบๆชั่วคราว  (เพื่อรอเวลาคลอดลูก)  เวลาผ่านไปเธอคลอดทารกชาย  จึงสั่งสาวใช้นำทารกทิ้งกองขยะนอกเมือง
                     นับเป็นโชคดีของเบบี๋ (ทารก)  วันนั้นเจ้าชายอภัยราชกุมาร  ลูกคนหนึ่งของพระเจ้าพิมพิสาร (ผู้ครองแคว้นมคธ) เดินทางผ่านบริเวณนั้น  พบเห็นฝูงการุมจิกทารก เจ้าชายสั่งให้ทหารตรวจดู ทหารรายงานว่ายังไม่ตาย พระองค์รู้สึกเอ็นดูจึงนำเด็กไปเลี้ยง จนวันหนึ่งเด็กชายได้ยินผู้คนพูดถึงตนว่ามาจากกองขยะ  จึงถามเจ้าชายว่าตนมีที่มาอย่างไร
                     พระองค์ตอบว่าพ่อเก็บหนูจากกองขยะ ไม่รู้ว่าพ่อแม่คือใคร แต่พ่อก็รักหนูเหมือนลูกแท้ๆ  พ่อตั้งชื่อ ชีวก  โกมารภัจจ์ แปลว่า ลูกบุญธรรมที่มีชีวิตอยู่        ถ้อยคำจากพ่อทำให้เด็กชายสะเทือนใจ แต่ต้องยอมรับความจริง  เขาเริ่มมีความคิดว่า เพราะตนไม่ใช่ลูกแท้ๆ และพ่อบุญธรรมมีเชื้อสายพระมหากษัตริย์เกรงจะไม่สมเกียรติวงศ์ตระกูล จึงตัดสินใจจะศึกษาหาวิชาความรู้ เลือกวิชาแพทย์เป็นอาชีพ ด้วยเหตุว่าทุกคนให้การยอมรับ
                   ในเวลานั้นพ่อค้าเมืองตักสิลาเข้าเฝ้าเจ้าชายอภัยราชกุมารเพื่อเจรจาการค้า  เขาสอบถามแหล่งที่เรียนจากพ่อค้า จึงตัดสินใจหนีเจ้าชาย เดินทางไปกับคณะพ่อค้า  ครั้นเมื่อถึงสำนักวิชา เด็กชายฝากตัวเป็นศิษย์  รับใช้อาจารย์เพื่อแทนค่าเล่าเรียน มีความขยันตั้งใจเรียน  (มีความเฉลียวฉลาด)  
                  หลังจากนั้น7ปีต่อมา พ่อหนุ่มชีวกเรียนรู้วิชาจนแตกฉานจึงสอบถามอาจารย์ว่าผมจบหลักสูตรหรือยังครับ   อาจารย์ตอบว่าเกือบสุดแล้ว ให้เธอนำเสียมไปขุดหาสมุนไพร หรือดูว่าอะไรที่ไม่สามารถใช้รักษาโรค  พ่อหนุ่มชีวกเดินวนรอบเมืองระยะทางประมาณ16กิโลเมตร  ตรวจดูจนแน่ใจ จึงมาบอกอาจารย์  ทุกอย่างสามารถใช้ในการรักษาโรค
                   อาจารย์จึงบอกว่าเธอจบหลักสูตรวิชาแพทย์แล้ว ฉันจะให้เงินแก่เธอแค่พอตัวรอด หากเงินหมดเธอจะได้ไม่ลืมคุณอาจารย์ จะขวนขวายนำความรู้ประกอบอาชีพ บัณฑิตกราบอาจารย์เดินทางกลับเมืองราชคฤห์  เมื่อถึงเมืองสาเกต    เงินที่ติดตัวก็หมดลง  บัณฑิตจึงสืบหาว่าตนจะรักษาผู้ป่วยใดได้บ้าง
             เวลานั้นเอง เมียเศรษฐีร้องครางโอ้ยๆ ปวดหัวจังเว้ย ซึ่งเป็นเวลา7ปีมาแล้วหมอสำนักไหนก็ไม่สามารถรักษาโรคให้หายได้  (หมอสันนิษฐานโรคผิด)  บัณฑิตเดินทางมาถึงหน้าบ้านบอกสาวใช้ว่าผมสามารถรักษาโรคหาย สาวใช้รีบนำความบอกเมียเศรษฐี  เธอบอกกับสาวใช้ว่าหมอที่อายุมากยังไม่สามารถรักษาได้  เขาเป็นหมอหนุ่มจะรักษาให้หายได้อย่างไร     สาวใช้จึงนำความบอกแก่บัณฑิต
               เขาบอกสาวใช้ให้บอกกับนายหญิงว่าถ้ารักษาไม่หายจะไม่รับเงิน และยินดีเป็นทาสรับใช้    สาวใช้จึงบอกนายหญิง  
เธอชอบใจว่าคำว่ารักษาฟรีจึงให้เขามาตรวจอาการ  บัณฑิตดูอาการจนทราบว่าเป็นโรคไซนัสจึงบอกเมียเศรษฐีให้เตรียมเนยใส  เขาจะผสมยาในเนยให้เธอสูดดมๆ
             เธอสูดดมเนยเข้าไปหนึ่งปื้ดด้วยความรุนแรง ทำให้ก้อนเนยสำลักออกทางปาก  เธอเสียด้ายเสียดายจึงให้สาวใช้นำกระดาษซับเนย   บัณฑิตมองดูด้วยความขยะแขยง เมียเศรษฐีเห็นท่าทางบัณฑิตดูผิดปกติจึงสอบถามมีอะไรหรือไม่  เขาตอบว่าเหตุใดถึงทำเช่นนั้น       เธอตอบว่าเนยนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ อย่าวิตกเรื่องค่ารักษา เธอจะให้เงินตอบแทนอย่างเต็มที่เมื่อรักษาหายขาด
                ความวิเศษของตัวยา เพียงแค่สูตรดมครั้งเดียว เธอก็หายจากโรค  สร้างความดีใจกับครอบครัวของเธอ พวกเธอจึงมอบเงินให้16,000กหาปณะ พร้อมคนรับใช้จำนวนมาก หมอชีวกจึงเดินทางกลับเมืองราชคฤห์    เมื่อถึงบ้าน จึงเข้าเฝ้าเจ้าชายว่าตนเองสำเร็จวิชาแพทย์และรักษาเมียเศรษฐีเมืองสาเกตได้เงินกับคนรับใช้จำนวนมากจึงต้องการมอบให้พระองค์  เจ้าชายภูมิใจในตัวลูกชายบุญธรรม ไม่ยอมรับเงินและคนรับใช้  พร้อมแต่งตั้งลูกชายให้เป็นหมอประจำตัว
             ครั้นเวลาผ่านไป เกิดเหตุการณ์สร้างความอับอายแก่ผู้ครองนคร  เมื่อพระเจ้าพิมพิสารเป็นริดสีดวงทวารเลือดไหลจากรูก้นไม่หยุด สนมเจอหน้าพระองค์ครั้งใดก็พูดล้อเลียนเป็นที่สนุกปาก ด้วยความอับอายพระองค์ต้องการรักษาโรคให้หายขาด  เวลานั้นพระเจ้าอภัยราชกุมารเข้าเฝ้าจึงแนะนำหมอประจำตัวให้รักษา
            หมอชีวกตรวจดูอาการใช้ไม้พันสำลีป้ายยาทาหัวริดซี่ดวง นับแต่นั้น ไม่มีเลือดไหลอีกเลย   พระเจ้าพิมพิสารพอใจจึงมอบเงินทองจำนวนมาก แต่หมอชีวกคิดในใจ หรือพระองค์จะลองใจเรา จึงปฎิเสธรับเงินบอกกับพระองค์ว่าเป็น หน้าที่ของหมอต้องรักษาคนไข้พระเจ้าคะ  คำพูดดังกล่าวทำให้พระเจ้าพิมพิสารเกิดความประทับใจจึงแต่งตั้งหมอชีวกเป็นหมอหลวงมีหน้าที่ตรวจอาการพระองค์และข้าราชการทั้งหลาย พร้อมกันนี้ทรงมอบเงินทองมากมายและสวนมะม่วงให้เป็นของรางวัล
         หมอชีวกทำหน้าที่ของตนตามปกติ แต่วันหนึ่ง เหล่าเศรษฐีได้ทูลพระเจ้าพิมพิสาร ขอหมอชีวกรักษาอาการมหาเศรษฐีคนหนึ่ง  โดยหมอที่ตรวจดูอาการลงความเห็นว่าจะตายภายใน5วัน  และตายใน7วัน  พระเจ้าพิมพิสารเรียกหมอชีวกเข้าพบ พระองค์บอกให้ช่วยรักษามหาเศรษฐีเนื่องจากคนนี้เป็นผู้เสียภาษีรายใหญ่
        หมอชีวกเดินทางไปพบเขา  สอบถามอาการจนแน่ใจว่าต้องผ่าตัดเปิดกระโหลก จึงบอกกับเขาว่าหมอสามารถรักษาให้หายขาด แต่ต้องผ่าตัด และขอให้เขารับปากว่าจะนอนตะแคงซ้าย 7เดือน ขวา7เดือน  นอนหงาย7เดือนจะทำได้หรือไม่
           มหาเศรษฐีรับปากเพราะมั่นใจว่าหากเชื่อคำหมอจะทำให้ตนมีชีวิตรออ (ยังไม่ตาย)    หมอชีวกจึงให้คนรับใช้มัดตัวเขาให้แน่น   
นำฝิ่นให้เขาสูบบรรเทาอาการเจ็บปวด จึงลงมือใช้มีดเปิดกระโหลก สิ่งที่เห็นคือพยาธิสองตัว ตัวหนึ่งใหญ่ ตัวหนึ่งเล็กจึงคีบออกให้ผู้คนดู
            ด้วยความฉลาดของหมอ (ไม่ต้องการสร้างศัตรูในวิชาชีพ) จึงบอกกับผู้คนว่าที่หมอกล่าวว่าจะตายภายใน5วันเพราะพยาธิตัวใหญ่ถูกต้องแล้ว  และจะตายภายใน7วันเพราะพยาธิตัวเล็กก็ถูกต้องเช่นกัน หลังจากนั้นจึงทำการปิดกระโหลก เย็บแผล ทายาแก้อักเสบ สั่งให้ผู้ดูแลห้ามให้เขาขยับเขยื้อนตัว เพราะจะทำให้แผลหายช้า   จึงเดินทางกลับบ้าน
           7วันต่อมา หมอกลับมาดูอาการ มหาเศรษฐีถอนหายใจบอกว่านอนตะแคงซ้ายเมื่อยๆ ขอเปลี่ยนท่าได้บ่  หมอจึงเปลี่ยนให้นอนตะแคงขวา ครั้นพอครบ7วัน  เขาก็บ่นกับหมอว่าโอ้ยปวดเมื่อยตามร่างกายอยากได้อะไรมาคลายเมื่อยจักหน่อยแหน่  หมอจึงให้เปลี่ยนนอนหงาย พอครบ7วันเขาบ่นกับหมอ  โอ้ย ค่อยนอนจนรากจะงอกอยู่แล้ว  
            หมอชีวกยิ้มบอกกับเขาว่า ต่อไปก็ท่านก็จะนอนท่าไหนก็ตามใจเถิดเพราะท่านหายเป็นปกติแล้ว  มหาเศรษฐีจึงพูดขึ้นว่าแม่นบ่  ท่านมาลวงมาหลอกผมทำไม หมอยิ้มอธิบายว่าความจริงเพียงแค่ไม่ขยับเขยื้อนร่างกาย 21วันก็หายเป็นปกติ  ต้องขอโทษที่ใช้อุบาย หากไม่ทำดังนั้นท่านอาจย่อหย่อนไม่ทำตามคำแนะนำหมอ เขาได้ยินดังนั้นก็หัวเราะชอบใจ มอบเงินเป็นสองส่วนโดยให้พระเจ้าพิมพิสาร 100,000กหาปณะและให้เขา 100,000กหาปณะ
          ชื่อเสียงหมอชีวกโด่งดังมาก ในเวลาต่อมา เศรษฐีเมืองพาราณสี แคว้นกาสี (พ่อค้ารายใหญ่ต่างแคว้น) เข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร ขอให้หมอชีวกรักษาลูกด้วยเถิดพระเจ้าคะ  เมื่อกินอาหารมื้อใดก็จุกเสียดแน่นท้อง ลูกร้องโอ๊ย ๆ  ขี้เยี่ยวไม่ออก หน้าตาซีดเซียว ร่างกายทรุดโทรม ยิ่งเห็นหน้าลูกยิ่งปวดใจ
             พระเจ้าพิมพิสารจึงให้หมอชีวกรีบเร่งเดินทางไปกับเศรษฐีตรวจหาสาเหตุของโรค เมื่อไปถึงหมอตรวจดูอาการพบว่าลูกเศรษฐีเป็นวัณโรคลำไส้ ต้องรักษาโดยการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน หมอชีวกคิดในใจคงต้องใช้จิตวิทยาพูดกับพ่อ จึงบอกว่าโรคนี้เกิดจากการอักเสบภายในลำไส้จำเป็นต้องผ่าตัดโดยเร่งด่วน ก็แล้วแต่ท่านเถิดว่าควรจะให้หมอผ่าตัดหรือไม่ แต่หากไม่รีบผ่าตัดโอกาสรอดชีวิตเป็นศูนย์
             พ่อจึงปรึกษาแม่ ทั้งสองกลัวลูกตายจึงยินยอมให้หมอผ่าตัด   หมอเตรียมห้องผ่าตัด ให้แม่นำเด็กขึ้นเตียงผูกมัดลูกให้แน่น ใช้ฝิ่นบรรเทาความเจ็บ ค่อยๆใช้มีดเปิดบาดแผล  สำรวจลำไส้เจอเนื้อเน่า (มีฝี) หมอเรียกแม่ให้มาดูว่าเนื้อร้ายคือสาเหตุแห่งโรค หลังจากนั้นหมอก็ทำการตัด ตัดให้ขาดเลยชับๆ (ตัดเนื้อเน่าทิ้งเพียงเล็กน้อย)  นำไส้ส่วนดีเก็บกลับคืน เย็บบาดแผล  ทายาแก้อักเสบ  โดยหมอชีวกดูอาการอย่างใกล้ชิด เพียงไม่กี่วัน เด็กก็วิ่งซุกซน หัวเราะเอิกอ้าก หมอจึงบอกลาเศรษฐีเดินทางกลับบ้าน  

เรื่องราวยังมีต่อ แต่เนื้อหาค่อนข้างยาวจะเล่าต่อในตอนที่2ครับ โปรดติดตาม https://pantip.com/topic/37478808
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่