เกริ่นนำ
ในช่วงปี พ.ศ. 2531-2535 อุตสาหกรรมบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นสื่อสารมวลชนรูปแบบต่าง ๆ เกิดการขยายตัวหรือเพิ่มปริมาณมากขึ้น อีกทั้งเกิดการพลิกโฉมให้เป็นที่ต้องการมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ใช้แรงงานต้องทำงานแข่งกับสภาพแวดล้อมรอบตัวเรา เพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์หลาย ๆ ชิ้น
เช่นเดียวกับ “อุตสาหกรรมเพลงไทย” ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะมีการเกิดบริษัทค่ายเพลงและศิลปินนักร้องมากขึ้นเป็นทวีคูณ เพื่อผลิตผลงานเพลงออกสู่ผู้บริโภคภายในระยะเวลาการผลิตที่ไม่แน่นอน ตั้งแต่การสร้างสรรค์ การลงมือทำ การบันทึกเสียง จนถึงความพร้อมในการเผยแพร่ผลงาน
สิ่งบันทึกเสียงที่ผู้บริโภคมักนิยมใช้เป็นอันดับแรกคงหนีไม่พ้น “เทปคาสเซ็ท” ซึ่งมีขนาดที่พกพาและทนทานได้ทุกเมื่อ โดยใน 1 ปี จะมีเทปเพลงออกใหม่ประมาณ 600 ชุด ราคาปกติอยู่ที่ 70-85 บาท มีมูลค่ารวมของตลาดเทปไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ถัดลงมาคือ “แผ่นเสียง” ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักอนุรักษ์และผู้จัดรายการทางวิทยุทั่วประเทศ
อีกทั้งการเข้ามาของคอมแพ็คดิสก์ หรือ “ซีดี” ที่ถึงแม้ว่าการสนนราคาจะแพงกว่าเทปคาสเซ็ท แต่เมื่อเทียบคุณภาพแล้วก็เหนือกว่ากันมากในทุก ๆ ด้าน จนกระทั่งซีดีเป็นที่นิยมใช้มากขึ้นเมื่อราคาค่อย ๆ ถูกลง สวนทางกับเทปคาสเซ็ทที่ถึงจะมีคนใช้มากขึ้น แต่นับวันจะกลายเป็นของหายากเนื่องจากกระบวนการผลิตที่ยุ่งยากและราคาตามปกเทปที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
และยังได้เพิ่มทางเลือกใหม่ของผู้ฟังที่รักในการร้องเพลง นั่นคือการเข้ามาของ “คาราโอเกะ” เป็นต้น เราจะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนมีบทบาทต่อสังคมไทยในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เจริญเติบโต นั่นต้องขึ้นอยู่กับความนิยมของผู้บริโภคในการเลือกใช้สื่อเสียงเพลง กับศิลปินที่ตนต้องการ หรือ “คลั่งไคล้” เลยก็เป็นได้...
ป๊อปไอดอลแห่งยุค
ถ้าเอ่ยถึงศิลปินนักร้องที่สร้างปรากฏการณ์ “ฟีเวอร์” ในยุคนั้น คงจะต้องนึกถึง “เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์” นับจากการออกอัลบั้มเพลงชุดแรกของเขาก็ได้การตอบรับที่ดี จนกระทั่งในปี 2533 ก็ได้สร้างผลงานที่เรียกว่าเป็นที่สุดในชีวิตการแสดงของเขา ทั้ง “คู่กรรม” ละครโทรทัศน์ที่มีเรตติ้งผู้ชมสูงสุดตลอดกาล และงานเพลงชุด “บูมเมอแรง” ที่พลิกโฉมความเป็นเบิร์ดให้เข้าถึงความต้องการของแฟนเพลงมากยิ่งขึ้น จนสร้างยอดขายเทปได้กว่า 2 ล้านตลับ มีเพลงฮิตมากมาย โดยเฉพาะเพลง “คู่กัด” ที่โด่งดังอย่างแพร่หลาย จนมีการหยิบทำนองของเพลงนี้ไปแปลงเนื้อร้องในหลายภาษา แต่ภายหลังจากการออกอัลบั้ม “พริกขี้หนู” และคอนเสิร์ต “แบบ เบิร์ด เบิร์ด โชว์” เขาจำต้องอำลาแฟนเพลงเพื่อไปพักผ่อนที่ต่างประเทศเพียงชั่วคราว แต่ถึงกระนั้นแฟนคลับและคนทั่วไปต่างยกย่องให้เขาเป็น “ซูเปอร์สตาร์ค้างฟ้าอันดับ 1 ของไทย” ตราบถึงวันนี้
ขณะที่คู่แข่งของเบิร์ดในช่วงการออกเทประยะแรกเริ่มอย่าง “แจ้-ดนุพล แก้วกาญจน์” ได้ออกอัลบั้มตามมาอีกหลายชุดเช่นกัน มีเพลงเด่นอย่างเช่น “เทวดาเดินดิน”, “โอ๊ย โอ๊ย”, “นิดนึงพอ”, “น้ำตาฝน”, “แสลงใจ” เป็นต้น ถึงแม้ยอดขายเทปจะแผ่วลงจากเดิมไปบ้าง เพราะได้คู่แข่งจากค่ายอื่นเข้ามาแทนที่ อีกทั้งการเปิดค่ายเพลงใหม่ของตนเอง แต่ก็ยังมีกลุ่มคนฟังที่ให้ความสนใจต่อเขาอย่างเหนียวแน่น และบทเพลงเหล่านั้นยังคงเป็นที่ถวิลหาและมีการนำไปขับร้องใหม่อยู่ตลอดเวลา
เช่นเดียวกับศิลปินที่โด่งดังในรุ่นเดียวกับเบิร์ดและแจ้ ไม่ว่าจะเป็นวง “แกรนด์เอ็กซ์”, ”ดิ อินโนเซ้นท์”, “เรนโบว์”, “ฟรุตตี้”, “เฉลียง”, “สาว สาว สาว” หรือศิลปินเดี่ยวอย่าง “ตู่-นันทิดา แก้วบัวสาย”, “แหวน-ฐิติมา สุตสุนทร” หรือ “ปุ๊-อัญชลี จงคดีกิจ” ก็ไม่สามารถต้านทานความสำเร็จได้กว่าที่เคยเป็น จึงเงียบหายหรือสลายตัวจากวงการเพลงไป
ในยุคนั้นได้เกิดศิลปินนักร้องหน้าใหม่เข้ามาประดับวงการเพลงอยู่มากมาย อีกทั้งยังบุกเบิกแนวเพลง “ป๊อปแดนซ์” หรือ “เทคโนแดนซ์” ภาคภาษาไทย เท่าที่ยกตัวอย่างได้ชัดแจ้งที่สุดก็ได้แก่ “คริสติน่า อากีล่าร์” กับอัลบั้ม “นินจา” เมื่อปลายปี 2533 ซึ่งตัวเธอได้แสดงความสามารถในการเต้นรำอย่างถึงใจ บวกกับพลังเสียงร้องที่โดดเด่นไม่แพ้ใคร ถือเป็นอัลบั้มเพลงแนวป๊อปแดนซ์ที่ทำยอดขายเทปสูงสุด จนตัวเธอยังได้รับการยกย่องว่าเป็น “แดนซิ่งควีนไทยแลนด์” และ “ศิลปินหญิงที่ทำยอดขายเทปทะลุ 1 ล้านตลับเป็นคนแรกของเมืองไทย”
ทางด้านศิลปินฝ่ายชาย อย่าง “ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง”, “เจ-เจตริน วรรธนะสิน” และอดีตมือกลองวงพลอยนาม “ติ๊ก ชิโร่” ก็พาผลงานเพลงแนวป๊อปแดนซ์ออกสู่ความนิยมอีกเช่นกัน ทำให้เพลง “เท้าไฟ”, “ฝากเลี้ยง” และ “ออกมาเต้น” เป็นที่ติดหู ปาก มือ แข้ง ขาไปตามกัน
ในปี 2531 ค่ายเพลงแกรมมี่ได้ปั้นกลุ่มศิลปินฟอร์มสดออกสู่ตลาดเพลงไทย ในนาม “นูโว” โดยมีแกนนำคือ “โจ-จิรายุส วรรธนะสิน”, “ก้อง-สหรัถ สังคปรีชา” และ “จอห์น รัตนเวโรจน์” แค่ได้ออกอัลบั้มชุดแรกคือ “เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เกิดเลย” ก็เป็นที่คลั่งไคล้ของแฟนเพลงวัยรุ่นจนสามารถทำยอดขายเทปได้เกิน 1 ล้านตลับ จึงมีอัลบั้มเพลงใหม่ตามมาอีก 3 ชุดแล้วสลายวง และในปี 2534 ได้เปิดตัววงดนตรีระดับมืออาชีพอย่าง “กัมปะนี” ผู้ให้นิยามว่าเป็นกลุ่มคนดนตรีที่ทำเพลงโดยไม่จำกัดแนวซึ่งมาด้วยบทเพลง “สรุปว่าบ้า” และ “กลับคำเสีย” ตามด้วย “อินคา” จากเพลง “หมากเกมนี้” และ “ยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ”
ทางค่ายอาร์เอสก็สร้างศิลปินใหม่อีกเช่นกัน โดยเฉพาะศิลปินที่มีประสบการณ์ทางดนตรีมายาวนานอย่าง “อิทธิ พลางกูร” ก็พาอัลบั้ม “ให้มันแล้วไป” กับเพลง “เก็บตะวัน” กระจายออกสู่คอเพลงแนวป๊อปร็อกได้เป็นอย่างดี ซึ่งตัวเขาเองยังได้ปั้นศิลปินอีกรายที่มาด้วยภาพลักษณ์ชายผูกเน็คไท กับการเขียนเนื้อเพลงและการขับร้องที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นั่นคือ “อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง” เจ้าของบทเพลงโด่งดังอย่าง “ใจไม่ด้านพอ”, “เธอลำเอียง” และ “ทัดทาน”
และในปี 2533 ค่ายเพลงคีตาได้ปลุกกระแสเพลงป๊อปไอดอลของคนวัยแรกสาว ด้วยการเชิญ “อ้อม-สุนิสา สุขบุญสังข์” มาออกอัลบั้มเดี่ยวเป็นครั้งแรกในชุด “เราคือลูกแก้ว” ที่มีเพลงฮิตอย่าง “ถอยดีกว่า”, “หน่อไม้” และ “อย่ายอมแพ้” พร้อมด้วยวลีฮิตติดตัว “สู้ตายค่ะ” จนเป็นที่รู้จักไปทั่วบ้านทั่วเมือง จึงมีอัลบั้มชุดที่ 2 ตามมาเพื่อตอกย้ำความสำเร็จของเธอ
- - - - - - - - - - โปรดติดตามตอนต่อไป สวัสดี. - - - - - - - - - -
[หมายเหตุเพลงไทย 2531-2535] ตอน ป๊อปไอดอลแห่งยุค
ในช่วงปี พ.ศ. 2531-2535 อุตสาหกรรมบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นสื่อสารมวลชนรูปแบบต่าง ๆ เกิดการขยายตัวหรือเพิ่มปริมาณมากขึ้น อีกทั้งเกิดการพลิกโฉมให้เป็นที่ต้องการมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ใช้แรงงานต้องทำงานแข่งกับสภาพแวดล้อมรอบตัวเรา เพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์หลาย ๆ ชิ้น
เช่นเดียวกับ “อุตสาหกรรมเพลงไทย” ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะมีการเกิดบริษัทค่ายเพลงและศิลปินนักร้องมากขึ้นเป็นทวีคูณ เพื่อผลิตผลงานเพลงออกสู่ผู้บริโภคภายในระยะเวลาการผลิตที่ไม่แน่นอน ตั้งแต่การสร้างสรรค์ การลงมือทำ การบันทึกเสียง จนถึงความพร้อมในการเผยแพร่ผลงาน
สิ่งบันทึกเสียงที่ผู้บริโภคมักนิยมใช้เป็นอันดับแรกคงหนีไม่พ้น “เทปคาสเซ็ท” ซึ่งมีขนาดที่พกพาและทนทานได้ทุกเมื่อ โดยใน 1 ปี จะมีเทปเพลงออกใหม่ประมาณ 600 ชุด ราคาปกติอยู่ที่ 70-85 บาท มีมูลค่ารวมของตลาดเทปไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ถัดลงมาคือ “แผ่นเสียง” ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักอนุรักษ์และผู้จัดรายการทางวิทยุทั่วประเทศ
อีกทั้งการเข้ามาของคอมแพ็คดิสก์ หรือ “ซีดี” ที่ถึงแม้ว่าการสนนราคาจะแพงกว่าเทปคาสเซ็ท แต่เมื่อเทียบคุณภาพแล้วก็เหนือกว่ากันมากในทุก ๆ ด้าน จนกระทั่งซีดีเป็นที่นิยมใช้มากขึ้นเมื่อราคาค่อย ๆ ถูกลง สวนทางกับเทปคาสเซ็ทที่ถึงจะมีคนใช้มากขึ้น แต่นับวันจะกลายเป็นของหายากเนื่องจากกระบวนการผลิตที่ยุ่งยากและราคาตามปกเทปที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
และยังได้เพิ่มทางเลือกใหม่ของผู้ฟังที่รักในการร้องเพลง นั่นคือการเข้ามาของ “คาราโอเกะ” เป็นต้น เราจะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนมีบทบาทต่อสังคมไทยในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เจริญเติบโต นั่นต้องขึ้นอยู่กับความนิยมของผู้บริโภคในการเลือกใช้สื่อเสียงเพลง กับศิลปินที่ตนต้องการ หรือ “คลั่งไคล้” เลยก็เป็นได้...
ป๊อปไอดอลแห่งยุค
ถ้าเอ่ยถึงศิลปินนักร้องที่สร้างปรากฏการณ์ “ฟีเวอร์” ในยุคนั้น คงจะต้องนึกถึง “เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์” นับจากการออกอัลบั้มเพลงชุดแรกของเขาก็ได้การตอบรับที่ดี จนกระทั่งในปี 2533 ก็ได้สร้างผลงานที่เรียกว่าเป็นที่สุดในชีวิตการแสดงของเขา ทั้ง “คู่กรรม” ละครโทรทัศน์ที่มีเรตติ้งผู้ชมสูงสุดตลอดกาล และงานเพลงชุด “บูมเมอแรง” ที่พลิกโฉมความเป็นเบิร์ดให้เข้าถึงความต้องการของแฟนเพลงมากยิ่งขึ้น จนสร้างยอดขายเทปได้กว่า 2 ล้านตลับ มีเพลงฮิตมากมาย โดยเฉพาะเพลง “คู่กัด” ที่โด่งดังอย่างแพร่หลาย จนมีการหยิบทำนองของเพลงนี้ไปแปลงเนื้อร้องในหลายภาษา แต่ภายหลังจากการออกอัลบั้ม “พริกขี้หนู” และคอนเสิร์ต “แบบ เบิร์ด เบิร์ด โชว์” เขาจำต้องอำลาแฟนเพลงเพื่อไปพักผ่อนที่ต่างประเทศเพียงชั่วคราว แต่ถึงกระนั้นแฟนคลับและคนทั่วไปต่างยกย่องให้เขาเป็น “ซูเปอร์สตาร์ค้างฟ้าอันดับ 1 ของไทย” ตราบถึงวันนี้
ขณะที่คู่แข่งของเบิร์ดในช่วงการออกเทประยะแรกเริ่มอย่าง “แจ้-ดนุพล แก้วกาญจน์” ได้ออกอัลบั้มตามมาอีกหลายชุดเช่นกัน มีเพลงเด่นอย่างเช่น “เทวดาเดินดิน”, “โอ๊ย โอ๊ย”, “นิดนึงพอ”, “น้ำตาฝน”, “แสลงใจ” เป็นต้น ถึงแม้ยอดขายเทปจะแผ่วลงจากเดิมไปบ้าง เพราะได้คู่แข่งจากค่ายอื่นเข้ามาแทนที่ อีกทั้งการเปิดค่ายเพลงใหม่ของตนเอง แต่ก็ยังมีกลุ่มคนฟังที่ให้ความสนใจต่อเขาอย่างเหนียวแน่น และบทเพลงเหล่านั้นยังคงเป็นที่ถวิลหาและมีการนำไปขับร้องใหม่อยู่ตลอดเวลา
เช่นเดียวกับศิลปินที่โด่งดังในรุ่นเดียวกับเบิร์ดและแจ้ ไม่ว่าจะเป็นวง “แกรนด์เอ็กซ์”, ”ดิ อินโนเซ้นท์”, “เรนโบว์”, “ฟรุตตี้”, “เฉลียง”, “สาว สาว สาว” หรือศิลปินเดี่ยวอย่าง “ตู่-นันทิดา แก้วบัวสาย”, “แหวน-ฐิติมา สุตสุนทร” หรือ “ปุ๊-อัญชลี จงคดีกิจ” ก็ไม่สามารถต้านทานความสำเร็จได้กว่าที่เคยเป็น จึงเงียบหายหรือสลายตัวจากวงการเพลงไป
ในยุคนั้นได้เกิดศิลปินนักร้องหน้าใหม่เข้ามาประดับวงการเพลงอยู่มากมาย อีกทั้งยังบุกเบิกแนวเพลง “ป๊อปแดนซ์” หรือ “เทคโนแดนซ์” ภาคภาษาไทย เท่าที่ยกตัวอย่างได้ชัดแจ้งที่สุดก็ได้แก่ “คริสติน่า อากีล่าร์” กับอัลบั้ม “นินจา” เมื่อปลายปี 2533 ซึ่งตัวเธอได้แสดงความสามารถในการเต้นรำอย่างถึงใจ บวกกับพลังเสียงร้องที่โดดเด่นไม่แพ้ใคร ถือเป็นอัลบั้มเพลงแนวป๊อปแดนซ์ที่ทำยอดขายเทปสูงสุด จนตัวเธอยังได้รับการยกย่องว่าเป็น “แดนซิ่งควีนไทยแลนด์” และ “ศิลปินหญิงที่ทำยอดขายเทปทะลุ 1 ล้านตลับเป็นคนแรกของเมืองไทย”
ทางด้านศิลปินฝ่ายชาย อย่าง “ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง”, “เจ-เจตริน วรรธนะสิน” และอดีตมือกลองวงพลอยนาม “ติ๊ก ชิโร่” ก็พาผลงานเพลงแนวป๊อปแดนซ์ออกสู่ความนิยมอีกเช่นกัน ทำให้เพลง “เท้าไฟ”, “ฝากเลี้ยง” และ “ออกมาเต้น” เป็นที่ติดหู ปาก มือ แข้ง ขาไปตามกัน
ในปี 2531 ค่ายเพลงแกรมมี่ได้ปั้นกลุ่มศิลปินฟอร์มสดออกสู่ตลาดเพลงไทย ในนาม “นูโว” โดยมีแกนนำคือ “โจ-จิรายุส วรรธนะสิน”, “ก้อง-สหรัถ สังคปรีชา” และ “จอห์น รัตนเวโรจน์” แค่ได้ออกอัลบั้มชุดแรกคือ “เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เกิดเลย” ก็เป็นที่คลั่งไคล้ของแฟนเพลงวัยรุ่นจนสามารถทำยอดขายเทปได้เกิน 1 ล้านตลับ จึงมีอัลบั้มเพลงใหม่ตามมาอีก 3 ชุดแล้วสลายวง และในปี 2534 ได้เปิดตัววงดนตรีระดับมืออาชีพอย่าง “กัมปะนี” ผู้ให้นิยามว่าเป็นกลุ่มคนดนตรีที่ทำเพลงโดยไม่จำกัดแนวซึ่งมาด้วยบทเพลง “สรุปว่าบ้า” และ “กลับคำเสีย” ตามด้วย “อินคา” จากเพลง “หมากเกมนี้” และ “ยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ”
ทางค่ายอาร์เอสก็สร้างศิลปินใหม่อีกเช่นกัน โดยเฉพาะศิลปินที่มีประสบการณ์ทางดนตรีมายาวนานอย่าง “อิทธิ พลางกูร” ก็พาอัลบั้ม “ให้มันแล้วไป” กับเพลง “เก็บตะวัน” กระจายออกสู่คอเพลงแนวป๊อปร็อกได้เป็นอย่างดี ซึ่งตัวเขาเองยังได้ปั้นศิลปินอีกรายที่มาด้วยภาพลักษณ์ชายผูกเน็คไท กับการเขียนเนื้อเพลงและการขับร้องที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นั่นคือ “อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง” เจ้าของบทเพลงโด่งดังอย่าง “ใจไม่ด้านพอ”, “เธอลำเอียง” และ “ทัดทาน”
และในปี 2533 ค่ายเพลงคีตาได้ปลุกกระแสเพลงป๊อปไอดอลของคนวัยแรกสาว ด้วยการเชิญ “อ้อม-สุนิสา สุขบุญสังข์” มาออกอัลบั้มเดี่ยวเป็นครั้งแรกในชุด “เราคือลูกแก้ว” ที่มีเพลงฮิตอย่าง “ถอยดีกว่า”, “หน่อไม้” และ “อย่ายอมแพ้” พร้อมด้วยวลีฮิตติดตัว “สู้ตายค่ะ” จนเป็นที่รู้จักไปทั่วบ้านทั่วเมือง จึงมีอัลบั้มชุดที่ 2 ตามมาเพื่อตอกย้ำความสำเร็จของเธอ