
วันนี้ (15 มีนาคม 2561) พลโทวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภารกิจด้านต่างประเทศของนายกรัฐมนตรีว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน - ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ 2018 ระหว่างวันที่ 17-18 มีนาคม 2561 ณ นครซิดนีย์ เครือรัฐออสเตรเลีย โดยมี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศ พลเอก วัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และพลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมคณะด้วย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
นายกฯร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน – ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ 2018
15 March 2018
วันนี้ (15 มีนาคม 2561) พลโทวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภารกิจด้านต่างประเทศของนายกรัฐมนตรีว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน - ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ 2018 ระหว่างวันที่ 17-18 มีนาคม 2561 ณ นครซิดนีย์ เครือรัฐออสเตรเลีย โดยมี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศ พลเอก วัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และพลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมคณะด้วย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมสุดยอดอาเซียน – ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ เป็นการประชุมสุดยอดสมัยพิเศษระหว่างอาเซียนกับออสเตรเลียครั้งแรก ตามดำริของนายมัลคอล์ม เทิร์นบูล นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ซึ่งผู้นำอาเซียนเห็นชอบด้วย โดยไทยหวังใช้โอกาสนี้ในการเปิดโฉมใหม่ของหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อาเซียน-ออสเตรเลีย ท่ามกลางสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนเกิดความไม่แน่นอนในภูมิภาค เพื่อเป็นการสร้างทางเลือกทางยุทธศาสตร์แก่อาเซียนและไทย ขณะที่ออสเตรเลียประสงค์จะส่งเสริมความมั่นคงและความมั่งคั่งของภูมิภาคผ่านการประชุม ฯ นี้ด้วยเช่นกัน
เอกสารผลลัพธ์สำคัญในการประชุมฯ ครั้งนี้ คือ “ปฏิญญาซิดนีย์” มีสาระสำคัญในการผลักดันให้อาเซียนและออสเตรเลียทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างภูมิภาคที่มั่นคงและมั่งคั่งสำหรับประชาชน
ทั้งนี้ ออสเตรเลียยังเป็นประเทศคู่เจรจาที่เก่าแก่ที่สุดของอาเซียนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 (44 ปี) และเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของอาเซียนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 การประชุมครั้งแรกระหว่างผู้นำอาเซียนกับผู้นำออสเตรเลียเริ่มต้นครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคม 2520 ซึ่งเป็นการพบปะระหว่างนายกรัฐมนตรี มัลคอล์ม เฟรเซอร์ และผู้นำอาเซียน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังจะได้พบหารือกับนายมัลคอล์ม เทิร์นบูลล์ นายกรัฐมนตรีเครือรัฐออสเตรเลีย ซึ่งเป็นโอกาสที่ผู้นำทั้งสองจะได้ย้ำถึงความสัมพันธ์อันที่ดีระหว่างกัน รวมทั้งความสัมพันธ์ไทย-ออสเตรเลียครบรอบ 70 ปี ในปี พ.ศ. 2565
พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังให้รายละเอียดเกี่ยวกับภารกิจต่างๆ ดังนี้
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561 เวลา 07.30 น. นายกรัฐมนตรีเดินทางออกจากท่าอากาศยานทหาร 2 (กองบิน 6) กองทัพอากาศ ไปยังนครซิดนีย์ ออสเตรเลีย โดยเดินทางถึงท่าอากาศยาน Kingsford Smith นครซิดนีย์ เวลา 21.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น ในวันเดียวกัน โดยเวลาที่นครซิดนีย์เร็วกว่ากรุงเทพฯ 4 ชั่วโมง
วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม 2561 เวลา 09.30 นายกรัฐมนตรีหารือกับทีมประเทศไทยและนักธุรกิจไทย ต่อมาเวลาประมาณ 13.00 น. นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับนายมัลคอล์ม เทิร์นบูลล์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาตินครซิดนีย์ หลังจากนั้น เวลา 15.15 น. นายกรัฐมนตรีร่วมงานเลี้ยงน้ำชาแผนโคลัมโบฉบับใหม่ ต่อมาเวลา 16.00 น. นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมพิธีปิดการประชุมว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย จากนั้นเวลา 17.15 น. นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองต้อนรับผู้นำอาเซียนและผู้แทนภาคเอกชน ช่วงเย็น เวลา 19.00 น. นายกรัฐมนตรีร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำสำหรับผู้นำ (Leaders’ Dinner)
วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม 2561เวลา 08.40 น. นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ 2018 แบบเต็มคณะ ณ ศูนย์ประชุมนานาชาตินครซิดนีย์ เวลา 12.45 น. นายกรัฐมนตรีร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำ จากนั้นเวลา 14.45 น. การประชุมอย่างไม่เป็นทางการของผู้นำ (Leaders’ Retreat) และในเวลาประมาณ 17.00 น. นายกรัฐมนตรีพบปะชุมชนไทยในออสเตรเลีย ณ โรงแรมที่พัก
วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม 2561 เวลา 09.00 น. นายกรัฐมนตรีเดินทางออกจากท่าอากาศยาน Kingsford Smith นครซิดนีย์ โดยเดินทางถึงท่าอากาศยานทหาร ๒ (กองบิน ๖) กรุงเทพฯ ในเวลา 14.30 น.
http://www.thansettakij.com/content/268722
ไทยได้เปรียบดุลการค้าสินค้าเกษตรไทย-อาเซียน ปี 59 กว่า 2 แสนล้านบาท
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เผยสินค้าเกษตรไทย - อาเซียน ปี 2559 ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 215,169 ล้านบาท โดยมีการค้าสินค้าเกษตรและยางพาราขั้นปฐมไปยังอาเซียน 9 ประเทศ มูลค่าการค้ารวม 415,343 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ร้อยละ 12.86
นางสาวจริยา สุทธิไชยา เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากการติดตามข้อมูลการนำเข้า - ส่งออก สินค้าเกษตรระหว่างไทยกับอาเซียน ในปี 2559 ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้า โดยคิดเป็นมูลค่า 215,169 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่ไทยได้เปรียบดุลการค้าอาเซียน 194,746 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 10)
โดยการค้าสินค้าเกษตร (พิกัดศุลกากร 01 - 24 และยางพาราธรรมชาติ พิกัด 4001) ปี 2559 ประเทศไทย มีการค้าสินค้าเกษตรและยางพาราขั้นปฐมไปยังอาเซียน 9 ประเทศ มีมูลค่าการค้ารวม 415,343 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ร้อยละ 12.86) มูลค่าการส่งออกคิดเป็น 315,256 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ร้อยละ 12.04) และมีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นเช่นกัน คิดเป็น 100,087 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ร้อยละ 15.53)
สำหรับกลุ่มสินค้าเกษตรไทยส่งออกไปตลาดอาเซียน ปี 2559 ที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1) กลุ่มน้ำตาลและผลิตภัณฑ์จากน้ำตาล มูลค่าส่งออก 63,329 ล้านบาท
2) กลุ่มเครื่องดื่ม มูลค่าส่งออก 46,192 ล้านบาท
3) กลุ่มข้าวและธัญพืช มูลค่าส่งออก 28,983 ล้านบาท
4) กลุ่มของปรุงแต่งเบ็ดเตล็ดที่บริโภคได้ มูลค่าส่งออก 25,899 ล้านบาท และ
5) กลุ่มยางพาราขั้นปฐม มูลค่าส่งออก 23,717 ล้านบาท
โดยสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูง ได้แก่ น้ำตาลทรายขาว เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ข้าวเจ้าขาวอื่น 5% ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ครีมเทียม และน้ำยางข้น
ด้านกลุ่มสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ที่ไทยนำเข้าจากอาเซียน ปี 2559 ที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) กลุ่มปลาและสัตว์น้ำ มูลค่านำเข้า 16,443 ล้านบาท 2) กลุ่มพืชผักที่บริโภคได้ มูลค่านำเข้า 13,751 ล้านบาท 3) กลุ่มของปรุงแต่งเบ็ดเตล็ดที่บริโภคได้ มูลค่านำเข้า 11,682 ล้านบาท 4) กลุ่มของปรุงแต่งจากธัญพืช แป้ง นม มูลค่านำเข้า 10,722 ล้านบาท และ 5) กลุ่มไขมัน น้ำมันจากพืช/สัตว์ มูลค่านำเข้า 7,243 ล้านบาท โดยสินค้าที่มีมูลค่านำเข้าสูง ได้แก่ เนื้อปลาซูริมิ เนื้อปลาแคชฟิชแบบฟิลเลสดหรือแช่เย็น มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ ถั่วเขียวผิวดำ กะหล่ำปลีชนิดกลม พรีมิกซ์ กาแฟสำเร็จรูป กะทิสำเร็จรูป อาหารปรุงแต่งสำหรับใช้เลี้ยงทารก โอเลอินหรือสเตียรินของเนื้อในเมล็ดปาล์มน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม และน้ำมันปาล์มและเศษของน้ำมันปาล์ม
http://www.thansettakij.com/content/132490
เกษตรฯ ฟุ้ง! ไทยเกินดุลการค้ากว่า 2 แสนล้าน เผยปี 61 ยังสดใส
นายสรวิศ ธานีโต โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากการติดตามข้อมูลการนำเข้า–ส่งออก สินค้าเกษตรระหว่างไทยกับอาเซียนปี 2560 พบว่า ไทยมีการค้าสินค้าเกษตรและยางพาราขั้นปฐมไปยังอาเซียน 9 ประเทศ คิดเป็นมูลค่ารวม 439,129 ล้านบาท โดยไทยมีมูลค่าการส่งออกรวม 328,902 ล้านบาท ขณะที่นำเข้าจากอาเซียน 110,227 ล้านบาท ดังนั้น ภาพรวมไทยยังคงเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าอาเซียน 218,675 ล้านบาท
นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวเสริมว่า กลุ่มสินค้าเกษตรไทยส่งออกไปตลาดอาเซียนปี 2560 ที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
กลุ่มน้ำตาลและผลิตภัณฑ์จากน้ำตาล มูลค่าส่งออก 60,350 ล้านบาท
กลุ่มเครื่องดื่ม 46,900 ล้านบาท กลุ่มผลไม้ (ลำไย ทุเรียน และมังคุด) 40,948 ล้านบาท
กลุ่มยางพาราธรรมชาติ 32,398 ล้านบาท
และกลุ่มข้าวและธัญพืช 20,128 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่มสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ที่ไทยนำเข้า ปี 2560 มูลค่าการนำเข้าสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
กลุ่มปลาและสัตว์น้ำ 19,614 ล้านบาท
กลุ่มพืชผักที่บริโภค 14,656 ล้านบาท
กลุ่มของปรุงแต่งเบ็ดเตล็ดที่บริโภค 12,314 ล้านบาท
กลุ่มของปรุงแต่งจากธัญพืช แป้ง สตาร์ช หรือ นม 11,909 ล้านบาท
และกลุ่มผลไม้ ลูกนัต 9,694 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ทิศทางการได้เปรียบดุลการค้า พบว่ามีแนวโน้มลดลง เนื่องจากไทยนำเข้าสินค้าเกษตรจากอาเซียนมากขึ้น เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นสินค้าเกษตรแปรรูป ขณะที่สินค้าเกษตรส่งออกของไทย เช่น ผลไม้ ยางพารา และข้าว ที่ยังมีความผันผวนของตลาด และมีการแข่งขันด้านราคาจากอาเซียนด้วยกันเอง ซึ่งในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เน้นย้ำการผลิตให้ได้คุณภาพ ได้มาตรฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างจุดแข็งและความเชื่อมั่นให้กับสินค้าเกษตรไทยในตลาดโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์เกษตรและสหกรณ์ ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2560–2564)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
http://www.kaset1009.com/th/articles/115287-%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B560%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2-2%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99
อ่านเรื่องดีๆกันยามเช้านะคะ...👍👍👍👍👍👍👍





อรุณสวัสดิ์ค่ะ.....
😍✈~มาลาริน~โปรดทราบค่ะ..วันนี้นายกฯเดินทางร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน–ออสเตรเลีย👌 สุดยอดไทยได้เปรียบดุลการค้าเกษตรอาเซียน
วันนี้ (15 มีนาคม 2561) พลโทวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภารกิจด้านต่างประเทศของนายกรัฐมนตรีว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน - ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ 2018 ระหว่างวันที่ 17-18 มีนาคม 2561 ณ นครซิดนีย์ เครือรัฐออสเตรเลีย โดยมี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศ พลเอก วัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และพลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมคณะด้วย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
นายกฯร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน – ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ 2018
15 March 2018
วันนี้ (15 มีนาคม 2561) พลโทวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภารกิจด้านต่างประเทศของนายกรัฐมนตรีว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน - ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ 2018 ระหว่างวันที่ 17-18 มีนาคม 2561 ณ นครซิดนีย์ เครือรัฐออสเตรเลีย โดยมี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศ พลเอก วัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และพลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมคณะด้วย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมสุดยอดอาเซียน – ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ เป็นการประชุมสุดยอดสมัยพิเศษระหว่างอาเซียนกับออสเตรเลียครั้งแรก ตามดำริของนายมัลคอล์ม เทิร์นบูล นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ซึ่งผู้นำอาเซียนเห็นชอบด้วย โดยไทยหวังใช้โอกาสนี้ในการเปิดโฉมใหม่ของหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อาเซียน-ออสเตรเลีย ท่ามกลางสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนเกิดความไม่แน่นอนในภูมิภาค เพื่อเป็นการสร้างทางเลือกทางยุทธศาสตร์แก่อาเซียนและไทย ขณะที่ออสเตรเลียประสงค์จะส่งเสริมความมั่นคงและความมั่งคั่งของภูมิภาคผ่านการประชุม ฯ นี้ด้วยเช่นกัน
เอกสารผลลัพธ์สำคัญในการประชุมฯ ครั้งนี้ คือ “ปฏิญญาซิดนีย์” มีสาระสำคัญในการผลักดันให้อาเซียนและออสเตรเลียทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างภูมิภาคที่มั่นคงและมั่งคั่งสำหรับประชาชน
ทั้งนี้ ออสเตรเลียยังเป็นประเทศคู่เจรจาที่เก่าแก่ที่สุดของอาเซียนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 (44 ปี) และเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของอาเซียนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 การประชุมครั้งแรกระหว่างผู้นำอาเซียนกับผู้นำออสเตรเลียเริ่มต้นครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคม 2520 ซึ่งเป็นการพบปะระหว่างนายกรัฐมนตรี มัลคอล์ม เฟรเซอร์ และผู้นำอาเซียน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังจะได้พบหารือกับนายมัลคอล์ม เทิร์นบูลล์ นายกรัฐมนตรีเครือรัฐออสเตรเลีย ซึ่งเป็นโอกาสที่ผู้นำทั้งสองจะได้ย้ำถึงความสัมพันธ์อันที่ดีระหว่างกัน รวมทั้งความสัมพันธ์ไทย-ออสเตรเลียครบรอบ 70 ปี ในปี พ.ศ. 2565
พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังให้รายละเอียดเกี่ยวกับภารกิจต่างๆ ดังนี้
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561 เวลา 07.30 น. นายกรัฐมนตรีเดินทางออกจากท่าอากาศยานทหาร 2 (กองบิน 6) กองทัพอากาศ ไปยังนครซิดนีย์ ออสเตรเลีย โดยเดินทางถึงท่าอากาศยาน Kingsford Smith นครซิดนีย์ เวลา 21.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น ในวันเดียวกัน โดยเวลาที่นครซิดนีย์เร็วกว่ากรุงเทพฯ 4 ชั่วโมง
วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม 2561 เวลา 09.30 นายกรัฐมนตรีหารือกับทีมประเทศไทยและนักธุรกิจไทย ต่อมาเวลาประมาณ 13.00 น. นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับนายมัลคอล์ม เทิร์นบูลล์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาตินครซิดนีย์ หลังจากนั้น เวลา 15.15 น. นายกรัฐมนตรีร่วมงานเลี้ยงน้ำชาแผนโคลัมโบฉบับใหม่ ต่อมาเวลา 16.00 น. นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมพิธีปิดการประชุมว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย จากนั้นเวลา 17.15 น. นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองต้อนรับผู้นำอาเซียนและผู้แทนภาคเอกชน ช่วงเย็น เวลา 19.00 น. นายกรัฐมนตรีร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำสำหรับผู้นำ (Leaders’ Dinner)
วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม 2561เวลา 08.40 น. นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ 2018 แบบเต็มคณะ ณ ศูนย์ประชุมนานาชาตินครซิดนีย์ เวลา 12.45 น. นายกรัฐมนตรีร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำ จากนั้นเวลา 14.45 น. การประชุมอย่างไม่เป็นทางการของผู้นำ (Leaders’ Retreat) และในเวลาประมาณ 17.00 น. นายกรัฐมนตรีพบปะชุมชนไทยในออสเตรเลีย ณ โรงแรมที่พัก
วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม 2561 เวลา 09.00 น. นายกรัฐมนตรีเดินทางออกจากท่าอากาศยาน Kingsford Smith นครซิดนีย์ โดยเดินทางถึงท่าอากาศยานทหาร ๒ (กองบิน ๖) กรุงเทพฯ ในเวลา 14.30 น.
http://www.thansettakij.com/content/268722
ไทยได้เปรียบดุลการค้าสินค้าเกษตรไทย-อาเซียน ปี 59 กว่า 2 แสนล้านบาท
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เผยสินค้าเกษตรไทย - อาเซียน ปี 2559 ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 215,169 ล้านบาท โดยมีการค้าสินค้าเกษตรและยางพาราขั้นปฐมไปยังอาเซียน 9 ประเทศ มูลค่าการค้ารวม 415,343 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ร้อยละ 12.86
นางสาวจริยา สุทธิไชยา เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากการติดตามข้อมูลการนำเข้า - ส่งออก สินค้าเกษตรระหว่างไทยกับอาเซียน ในปี 2559 ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้า โดยคิดเป็นมูลค่า 215,169 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่ไทยได้เปรียบดุลการค้าอาเซียน 194,746 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 10)
โดยการค้าสินค้าเกษตร (พิกัดศุลกากร 01 - 24 และยางพาราธรรมชาติ พิกัด 4001) ปี 2559 ประเทศไทย มีการค้าสินค้าเกษตรและยางพาราขั้นปฐมไปยังอาเซียน 9 ประเทศ มีมูลค่าการค้ารวม 415,343 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ร้อยละ 12.86) มูลค่าการส่งออกคิดเป็น 315,256 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ร้อยละ 12.04) และมีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นเช่นกัน คิดเป็น 100,087 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ร้อยละ 15.53)
สำหรับกลุ่มสินค้าเกษตรไทยส่งออกไปตลาดอาเซียน ปี 2559 ที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1) กลุ่มน้ำตาลและผลิตภัณฑ์จากน้ำตาล มูลค่าส่งออก 63,329 ล้านบาท
2) กลุ่มเครื่องดื่ม มูลค่าส่งออก 46,192 ล้านบาท
3) กลุ่มข้าวและธัญพืช มูลค่าส่งออก 28,983 ล้านบาท
4) กลุ่มของปรุงแต่งเบ็ดเตล็ดที่บริโภคได้ มูลค่าส่งออก 25,899 ล้านบาท และ
5) กลุ่มยางพาราขั้นปฐม มูลค่าส่งออก 23,717 ล้านบาท
โดยสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูง ได้แก่ น้ำตาลทรายขาว เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ข้าวเจ้าขาวอื่น 5% ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ครีมเทียม และน้ำยางข้น
ด้านกลุ่มสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ที่ไทยนำเข้าจากอาเซียน ปี 2559 ที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) กลุ่มปลาและสัตว์น้ำ มูลค่านำเข้า 16,443 ล้านบาท 2) กลุ่มพืชผักที่บริโภคได้ มูลค่านำเข้า 13,751 ล้านบาท 3) กลุ่มของปรุงแต่งเบ็ดเตล็ดที่บริโภคได้ มูลค่านำเข้า 11,682 ล้านบาท 4) กลุ่มของปรุงแต่งจากธัญพืช แป้ง นม มูลค่านำเข้า 10,722 ล้านบาท และ 5) กลุ่มไขมัน น้ำมันจากพืช/สัตว์ มูลค่านำเข้า 7,243 ล้านบาท โดยสินค้าที่มีมูลค่านำเข้าสูง ได้แก่ เนื้อปลาซูริมิ เนื้อปลาแคชฟิชแบบฟิลเลสดหรือแช่เย็น มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ ถั่วเขียวผิวดำ กะหล่ำปลีชนิดกลม พรีมิกซ์ กาแฟสำเร็จรูป กะทิสำเร็จรูป อาหารปรุงแต่งสำหรับใช้เลี้ยงทารก โอเลอินหรือสเตียรินของเนื้อในเมล็ดปาล์มน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม และน้ำมันปาล์มและเศษของน้ำมันปาล์ม
http://www.thansettakij.com/content/132490
เกษตรฯ ฟุ้ง! ไทยเกินดุลการค้ากว่า 2 แสนล้าน เผยปี 61 ยังสดใส
นายสรวิศ ธานีโต โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากการติดตามข้อมูลการนำเข้า–ส่งออก สินค้าเกษตรระหว่างไทยกับอาเซียนปี 2560 พบว่า ไทยมีการค้าสินค้าเกษตรและยางพาราขั้นปฐมไปยังอาเซียน 9 ประเทศ คิดเป็นมูลค่ารวม 439,129 ล้านบาท โดยไทยมีมูลค่าการส่งออกรวม 328,902 ล้านบาท ขณะที่นำเข้าจากอาเซียน 110,227 ล้านบาท ดังนั้น ภาพรวมไทยยังคงเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าอาเซียน 218,675 ล้านบาท
นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวเสริมว่า กลุ่มสินค้าเกษตรไทยส่งออกไปตลาดอาเซียนปี 2560 ที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
กลุ่มน้ำตาลและผลิตภัณฑ์จากน้ำตาล มูลค่าส่งออก 60,350 ล้านบาท
กลุ่มเครื่องดื่ม 46,900 ล้านบาท กลุ่มผลไม้ (ลำไย ทุเรียน และมังคุด) 40,948 ล้านบาท
กลุ่มยางพาราธรรมชาติ 32,398 ล้านบาท
และกลุ่มข้าวและธัญพืช 20,128 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่มสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ที่ไทยนำเข้า ปี 2560 มูลค่าการนำเข้าสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
กลุ่มปลาและสัตว์น้ำ 19,614 ล้านบาท
กลุ่มพืชผักที่บริโภค 14,656 ล้านบาท
กลุ่มของปรุงแต่งเบ็ดเตล็ดที่บริโภค 12,314 ล้านบาท
กลุ่มของปรุงแต่งจากธัญพืช แป้ง สตาร์ช หรือ นม 11,909 ล้านบาท
และกลุ่มผลไม้ ลูกนัต 9,694 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ทิศทางการได้เปรียบดุลการค้า พบว่ามีแนวโน้มลดลง เนื่องจากไทยนำเข้าสินค้าเกษตรจากอาเซียนมากขึ้น เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นสินค้าเกษตรแปรรูป ขณะที่สินค้าเกษตรส่งออกของไทย เช่น ผลไม้ ยางพารา และข้าว ที่ยังมีความผันผวนของตลาด และมีการแข่งขันด้านราคาจากอาเซียนด้วยกันเอง ซึ่งในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เน้นย้ำการผลิตให้ได้คุณภาพ ได้มาตรฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างจุดแข็งและความเชื่อมั่นให้กับสินค้าเกษตรไทยในตลาดโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์เกษตรและสหกรณ์ ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2560–2564)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อ่านเรื่องดีๆกันยามเช้านะคะ...👍👍👍👍👍👍👍
อรุณสวัสดิ์ค่ะ.....