[หนังโรงเรื่องที่ 219] Tomb Raider - หนังแปลงจากเกมที่สมบูรณ์แบบที่สุด by ตั๋วหนังมันแพง


[หนังโรงเรื่องที่ 219] Tomb Raider - หนังแปลงจากเกมที่สมบูรณ์แบบที่สุด ; (Roar Uthaug, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง

คะแนนความชอบ : S (จากสเกล D-A)

*ผู้เขียนเป็นแฟนเกมชุดนี้
*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ

เรื่องย่อ: เรื่องราวของ "ลาร่า ครอฟท์" (Alicia Vikander) ผู้เป็นบุตรสาวของ "ลอร์ด ริชาร์ด ครอฟท์" (Dominic West) นักธุรกิจมหาเศรษฐีและนักสำรวจที่เดินทางตามล่าโบราณสถาน สิ่งมหัศจรรย์ และสิ่งเหนือธรรมชาติไปรอบโลก

แต่เขาก็หายตัวไปในการสำรวจครั้งล่าสุดบนเกาะลึกลับแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่เชื่อว่ามีคำสาปของอสูรร้ายถูกจองจำไว้บนเกาะนั้น ... 7 ปีต่อมา ลาร่าเติบโตขึ้นและพร้อมที่จะออกตามหาพ่อของเธอ ในการผจญภัยไปยังเกาะมรณะแห่งนั้น
.
.

ก่อนอื่นต้องขอร้อง ว้าววววววววววววววววววววว ดังๆ ให้กับหนังเรื่องนี้เลย ในฐานะที่อาจจะเป็นหนังเรื่องแรกที่สามารถทำลายคำสาป "หนังทำจากเกมมักจะห่วย" ไปได้ในที่สุด -- หนังสามารถถ่ายทอดอารมณ์ของเกมต้นฉบับออกมาได้แทบจะครบถ้วนมากๆ ทั้งความโหดร้ายของธรรมชาติ ความบอบช้ำของตัวเอก และความป่าเถื่อนของมนุษย์ ทั้งหมดทั้งมวลถูกนำเสนอออกมาได้อย่างไร้ที่ติจริงๆ
.

สิ่งแรกที่ประทับใจก็คือการวางรากฐานที่มาที่ไปของ "ลาร่า ครอฟท์" ตั้งแต่แรกสุดได้อย่างแน่นหนา และปูทางทักษะการต่อสู้ด้านต่างๆ เตรียมพร้อมไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการใช้ธนูก็ดี หรือจะเป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่าก็ดี หนังสามารถใช้เวลาไม่กี่นาทีในช่วงต้นเรื่องอารัมพบทในจุดนี้ได้อย่างแนบเนียนจนทำให้เราสามารถเชื่อได้จริงๆ ว่า "เฮ้ย เขาก็เก่งอย่างมีเหตุผลนี่หว่า" ซึ่งทำให้ความน่าเชื่อถือของหนังเพิ่มขึ้นเป็นกอง
.

อย่างที่สองก็คือความอัดหนักอัดเต็มของหนังที่แต่งแต้มสีสัน (?) ให้กับการผจญภัยของลาร่าได้อย่าง non-stop จริงๆ (ซึ่งเกือบทุกฉากก็แทบจะถอดออกมาจากเกมเลย) โดยเฉพาะช่วงกลางเรื่องนี่หายใจหายคอกันแทบไม่ทันเชียวล่ะ ผนวกกับพลังการแสดงของนางเอกก็ยิ่งทำให้ฉากแอคชั่นเหล่านั้นมันดูลุ้น ดูตึงเครียดยิ่งเข้าไปอีก ถือว่าเป็นจุดที่น่าจดจำของหนังมากๆ
.


Alicia Vikander เป็นตัวเลือกในการเป็นลาร่าได้เหมาะสมที่สุดอย่างไม่มีข้อสงสัย ด้วยโครงร่างที่ผอมบางแต่ก็อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อ และความเล่นหนักเล่นเต็มของเธอยิ่งทำให้ตัวละครดูเป็นมนุษมนายิ่งเข้าไปอีก

โดยเฉพาะการแสดงออกผ่านแววตาที่ทำได้ดีและชัดเจนมาก ชนิดที่ว่าเวลาตัวละครเจ็บ เราก็พลอยรู้สึกเจ็บไปด้วย ผ่านอารมณ์ที่ถูกส่งออกมาทางสีหน้านี่แหละ
.

นอกจากนี้ผู้เขียนยังประทับใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่หนังเก็บมาครบถ้วนซึ่งมันมีส่วนสำคัญต่ออรรถรสของหนังอย่างมาก เช่น สภาพของตัวละครบนเกาะที่เราจะเห็นได้เวลาพวกเขาแทบจะเหงื่อชุ่มตัวตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่ลาร่าที่ทั้งเขลอะขี้ดิน เหนียวเหงื่อไปด้วย

ซึ่งมันช่วยขับเน้น "ความลำบาก" ที่บรรดาตัวละครต้องเผชิญ จนทำให้เราสามารถ "เห็นอกเห็นใจ" กับตัวร้ายอย่าง "มาไทอัส โวเกิล" (Walton Goggins) ได้ คือถ้าเราต้องมาติดแหง่กห่างครอบครัวอยู่บนเกาะนี้เป็นเวลาตั้ง 7 ปี กับสภาพอากาศไม่เป็นใจแบบนี้ ก็ไม่แปลกหรอกที่สติสตังมันจะเพี้ยนไปบ้าง
.

จุดที่ชอบที่สุดก็คือหนังสามารถปรับแต่งโครงเรื่องของเกมให้มันดู "สมจริง" (realistic) มากขึ้นในส่วนของไคลแมกซ์ ทั้งการเปิดเผยเฉลยความลับของเกาะมรณะแห่งนี้ และที่มาที่ไปของตำนานก็ดี ... คือก็คิดอยู่ว่าถ้ามันออกมาในลักษณะสู้กับบอสใหญ่แบบในเกมจริงๆ มันก็คงดูตลกพิลึก แต่เชื่อว่าถ้าหนังภาคแรกออกตัวแรงขนาดนี้ ในภาคต่อๆ ไปก็คงจะมีความแฟนซีแทรกเพิ่มเข้ามาแน่นอน
.


และเป็นหนังน้อยเรื่องที่สอดแทรก "ความเป็นจีน" เข้ามาได้อย่างไม่ประดักประเดิด การปรากฏตัวของ "ลู เร็น" (Daniel Wu) เป็นไปอย่างธรรมชาติและมีเสน่ห์มากๆ บวกกับฉากในฮ่องกงเองก็ดูกลมกลืนไปกับเส้นเรื่อง และถือว่าเป็น side story ที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจของหนังได้ดีอีกด้วย
.

Tomb Raider คือหนังที่สามารถรับใช้บทบาทหน้าที่ของตัวเองในฐานะหนังแอคชั่น-ผจญภัยได้อย่างไร้ที่ติ โดยมีองค์ประกอบของการ "ระเบิดภูเขา เผากระท่อม" ผนวกกับฉากแอคชั่นปะฉะดะที่สุดแสนจะเร้าใจ

แถมในแง่มุมของแฟนเกม หนังยังให้ความเคารพกับความเป็นต้นฉบับได้ดีเยี่ยม แต่ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถวาดเส้นเรื่องเป็นของตัวเองได้อย่างไม่เคอะเขินอีกด้วย สรุปแล้ว ขอให้เป็นหนึ่งใน "หนังในดวงใจ" ของผู้เขียนเลยครับ

ถูกใจกับรีวิวหรืออยากมาพูดคุยเกี่ยวกับหนังกัน ขอเชิญได้ที่เพจเฟซบุ๊ก "ตั๋วหนังมันแพง" นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่