เรื่องสั้นวันพุธ (14 มี.ค. 61) : ค่าของชีวิต

เรื่องสั้น : ค่าของชีวิต
โดย .......ลิอ่อง


    “อำนวย...อำนวย”

    เสียงเรียกของผู้หญิงที่ดังมาจากช่องหน้าต่างสำนักงาน ทำให้ผู้ชายสวมแว่นตาดำที่กำลังยืนถือสายยางรดน้ำต้นไม้อยู่หันขวับไปทางต้นเสียงทันทีพร้อมกับขานรับ

    “ครับหัวหน้า”

    “เชิญที่มุมรับแขกนะคะ เจ้าหน้าที่มาแล้ว”

    เขายังยืนผินหน้าไปทางต้นเสียงนั้นชั่วครู่ แล้วก็พยักหน้ารับพร้อมกับวางสายยางไว้บนกอเตยก่อนจะก้าวเท้าเดินมาบนแผ่นหินใหญ่ที่เรียงต่อกันไว้เป็นจังหวะก้าวเพื่อทอดไปสู่หัวก๊อกท่อน้ำประปา ปิดก๊อกแล้วก็เดินไปตามทางที่ทอดสู่อาคารสำนักงานแพทย์แผนไทยซึ่งตนเองเข้ามาทำงานในตำแหน่งหมอนวดแผนไทยตั้งแต่ต้นปีก่อน นับถึงวันนี้รวมเป็นเวลาปีเศษ

    เมื่อเขาพาตัวเองขึ้นไปถึงสำนักงาน ดวงพร หัวหน้างานของเขาก็แนะนำตัวให้ทันที

    “นี่คุณอำนวย  แม้นเมือง หมอนวดแผนไทย คนพิการทางสายตาของเราค่ะ” แล้วเธอก็หันมาทางอำนวยและพูดต่อ “อำนวย ที่ยืนตรงหน้าคุณนี่คือคุณวิไล เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิพัฒนาอาชีพคนพิการที่นัดมาสัมภาษณ์คุณไงล่ะ”

    อำนวยยกมือกระพุ่มไหว้พร้อมก้มศีรษะลงและทักทาย “สวัสดีครับ คุณวิไล”

    ดวงพรนำคนทั้งคู่ไปนั่งตรงมุมรับแขกซึ่งอยู่ชิดหน้าต่างด้านหลังอาคาร เธอลอบสังเกตสีหน้าท่าทางของผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ครู่หนึ่งจึงขอตัวออกมา

    ในวัยสี่สิบสาม อำนวยเป็นพ่อม่ายที่ใช้ชีวิตเพียงลำพังทั้งที่เขามีลูกชายสองคนกับเมียที่ตายจากไปด้วยโรคร้ายในวัยเพียงสามสิบเมื่อแปดปีก่อน เพราะย่าและยายของเด็กได้ช่วยกันอุปการะไว้ฝ่ายละคน หลังจากที่อำนวยได้คิดสั้นผูกคอกับขื่อบ้านหมายจะตายตามเมียไปอีกคน แต่กลายเป็นว่าเพื่อนสนิทของเขาไปพบเข้าขณะที่ยังมีสัญญาณชีพจร จึงช่วยพาส่งโรงพยาบาล ซึ่งพอฟื้นขึ้นมา อำนวยก็แลไม่เห็นสิ่งใดอีก เพราะประสาทตาของเขาถูกทำลายเนื่องมาจากการขาดออกซิเจนของสมองตอนที่ลำคอของเขาถูกเชือกรัดแน่นแล้ว

    อำนวยพยายามปรับตัวกับสถานภาพของชายตาบอดมาหนึ่งปีเต็ม แล้วก็ไปเรียนวิชาการนวดตามคำแนะนำของญาติอีกหนึ่งปี จากนั้นก็เป็นหมอนวดอยู่ที่บ้านอีกสี่ปีเศษ ก่อนจะสมัครเข้ามาทำงานที่แผนกแพทย์แผนไทยของโรงพยาบาลอำเภอที่เป็นบ้านเกิดของตัวเองด้วยเงื่อนไขทางกฎหมายที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนพิการยุคใหม่

    “คนจ่ายเงินเดือนคุณน่ะคือบริษัท แต่บริษัททำข้อตกลงกับโรงพยาบาล ให้คุณมาทำงานที่โรงพยาบาลของเราค่ะ” ดวงพรชี้แจงเขาในวันที่เข้ามาสมัครตามคำแนะนำของบุคลากรโรงพยาบาลที่เข้าไปทำงานกับชุมชนกระทั่งรับรู้เรื่องราวตลอดจนปัญหาต่างๆ ของคนในชุมชนนั้น

    ดวงพรทราบดีว่า เงินเดือนเก้าพันบาทเศษๆ ไม่เป็นที่จูงใจหมอนวดคนตาบอดทั่วไป เพราะการเปิดธุรกิจนวดที่บ้านทำกำไรได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับอำนวยซึ่งก่อนหน้านั้นเขาก็เคยติดป้าย “บริการนวดแผนไทย” ที่หน้าบ้านของตัวเองมาแล้ว กลับคิดต่าง

     “ขอโทษนะคะ แล้วตอนนี้คุณมีครอบครัวใหม่หรือยังคะ?” เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯลดเสียงลงเมื่อถามข้อนี้ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ดวงพรเดินออกไปที่ด้านหน้าสำนักงาน เธอได้ยินคำตอบจากเขาในระดับเสียงและน้ำเสียงที่เป็นปกติ

    “ยังครับ”

    ดวงพรนึกถึงภาพที่เธอและเพื่อนพยาบาลขับรถไปหาเขาที่บ้านเมื่อหลายเดือนก่อน บ้านปูนชั้นเดียวทาสีฟ้า มีห้องหับและพื้นที่ใช้สอยเป็นสัดส่วน บ่งบอกถึงฐานะของเขาว่าไม่ลำบากนัก ถึงกระนั้น ก็ยังคงมีบางสิ่งที่เธอและเพื่อนพยาบาลรู้สึกไม่สบายใจและพะวงอยุ่ลึกๆ จนต้องเข้าไปพูดคุยกับเขา และช่วยกันเก็บข้าวของเครื่องใช้บางอย่างให้พ้นจากมือของเขาในเวลานั้น ทั้งเชือก แถบพลาสติก สายไฟที่ไม่ใช้ หรือพวกสารเคมีอันตราย

    ด้วยเหตุที่เป็นช่วงเวลาซึ่งอำนวยเฝ้าแต่หวนคิดถึงวิธีการเดิมที่เขาเคยทำเมื่อมีอาการซึมเศร้า หดหู่ ไร้แรงใจจะลงมือทำการงานใดๆ ดังที่เขาสูญเสียคู่ชีวิตคนแรกไปนั่นเอง แต่ครั้งนี้คือผู้หญิงคนที่สองในชีวิตของเขาที่อำนวยยอมรับกับดวงพรว่า

    “ผมรักเขามากครับหัวหน้า ผมให้เขาได้ทุกอย่าง เงินทองผมก็ไว้ใจ ให้เขาถือทั้งหมดเลย”

    หล่อนเป็นสาววัยยี่สิบปีที่มีความพิการทางสายตารุนแรงน้อยกว่าอำนวย ยังสมบูรณ์แข็งแรง และรักสวยรักงาม ทั้งสองเคยพบกันในหลักสูตรอบรมวิชาชีพการนวดสำหรับคนตาพิการที่สถาบันแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด ก่อนจะสานสัมพันธ์สู่ความลึกซึ้งซึ่งกันในเวลาต่อมา    

    ทว่า วัยที่ห่างกันถึงยี่สิบสามปีทำให้เส้นทางรักครั้งใหม่ของอำนวยไม่ราบรื่น แม้จะได้ใช้ชีวิตร่วมบ้านฉันผัวเมียมาระยะหนึ่ง แต่ในขณะที่เขามาปฏิบัติงานในโรงพยาบาล และเมียสาวรับจ้างนวดอยู่ที่บ้านหรือออกไปทำกิจกรรมกับเพื่อนคนพิการด้วยกันในบางครั้ง วันหนึ่งก็มีถ้อยคำที่แสนจะทิ่มแทงใจแว่วมาเข้าหูเขาจนได้

    “นี่..เขาว่าที่ไปอบรมต่างจังหวัดรอบนี้ มีคนเห็นเมียแกนอนในโรงแรมห้องเดียวกับไอ้หนุ่มต่างอำเภอเลยนะนวย ไม่ใช่มันจีบกันมาก่อนแล้วเรอะ”

    ความหึงหวงรุนแรงเข้ากลุ้มรุมใจทำอำนวยเลือดขึ้นหน้า ยิ่งฝ่ายหญิงปฏิเสธ ทั้งคู่จึงมีปากเสียงถึงขนาดที่เขาลงมือทุบตีหล่อนจนมีร่องรอยตามเนื้อตัว กระทั่งหล่อนหนีกลับไปบ้านเกิดที่จังหวัดริมโขงนานนับเดือน

(ต่อกรอบล่าง)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่