ห้องเพลงคนรากหญ้า *พักยกการเมือง* มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม..มีแต่เสียง 12/03/2018 "ตอบพี่ภูเขาทะเลเรื่องน้องมันแกวครับ"

สวัสดีเพื่อนๆและผู้อ่านทุกคนครับ  วันนี้ MC ขอเปิดหัวด้วยภาพสวยๆมีกากบาทที่หน้าอกเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ พร้อมแคปชั่นของน้องมันแกว รุ่งตะวัน ก่อนครับผม




จากกระทู้ของพี่ภูเขาทะเลกระทู้นี้ ** น้องมันแกว คราวนี้เราคงเห็นต่างกันล่ะ ** https://pantip.com/topic/37432173


MC คิดว่าเป็นกระทู้ที่น่าสนใจ และเห็นด้วยในเหตุผลในกระทู้นั้น ทั้งเรื่องกติกา  พรรคการเมือง  และความคิดของประชาชน ตามความคิดของพี่ภูเขาทะเล  แต่ MC อยากจะลองมานำเสนอในมุมกลับกันดูบ้าง ว่าการเลือกตั้งอาจต้องมีความจำเป็นอย่างยิ่งในตอนนี้ครับ  ถือว่าแลกเปลี่ยนกันครับผม  คงไม่มีคนใดคนหนึ่งถูกต้องไปทั้งหมด


ก่อนอื่น MC ก็ต้องขอชื่นชมการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของน้องมันแกวที่ใช้อวัยวะส่วนเด่นได้เป็นประโยชน์ ทั้งเป้าหมายทางตรงและเป้าหมายทางอ้อม  เปรียบเสมือนหลักการโฆษณาโดยทั่วๆไปที่ต้องมีพรีเซนเตอร์เพื่อดึงดูดความสนใจให้ผู้คนเข้าไปดู ไปอ่าน ไปติดตามในสิ่งที่นำเสนอ และขอชื่นชมพี่ภูเขาทะเลที่ยกตัวอย่าง เหตุผล และสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมานำเสนอเพื่อให้คนอ่านได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น  


รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน แม้จะชนะคะแนนโหวตเลือกกันเข้ามา แต่ผลการสำรวจจากสำนักวิจัยสยามเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโพลล์ (ระดับอุดมศึกษา) แถลงผลการสำรวจความรับรู้และความคิดเห็นของประชาชนทั่วไปในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลต่อการลงประชามติในร่างรัฐธรรมนูญก่อนที่จะมีการโหวตรัฐธรรมนูญว่าพฤติกรรมการอ่านร่างรัฐธรรมนูญนั้น กลุ่มตัวอย่างถึงร้อยละ 61.3 ยอมรับว่าตนเองยังไม่ได้อ่านร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะมีการลงประชามติเลย ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 28.54 ระบุว่าได้อ่านเป็นบางส่วนแล้ว โดยที่มีกลุ่มตัวอย่างเพียงร้อยละ  10.16 ที่ได้อ่านหมดทั้งฉบับแล้ว
http://m.eduzones.com/content.php?id=165100


จึงเป็นการดี ที่ประชาชนจะได้เรียนรู้จากการนำมาใช้จริงว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะทำให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นเป็ดง่อยตามยุทธศาสตร์ชาติขึ้นมาจริงๆหรือไม่ครับ  เปรียบเสมือนเรานำทฤษฎีในโต๊ะเรียนที่เขียนไว้อย่างไร แล้วเราจำเป็นต้องทำ Work Shop ด้วยตามทฤษฎีนั้นๆ เพื่อพิสูจน์ตัวทฤษฎีเองว่ามันใช้ได้จริง ใช้แล้วดี หรือมีปัญหาอย่างไร ประชาชนทั้งประเทศจะได้หูตาสว่างหรือเกิดการเรียนรู้ในการปฏิบัติจริงครับ  MC เองจึงเฝ่ารอและอยากเห็นการเลือกตั้งในเร็ววัน  เพื่อที่จะอยากดูใจ 250 สว. ที่โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้นั้น จะโหวตตามกระแสความต้องการผู้นำประเทศของประชาชน หรือเลือกโหวตให้กับคณะผู้ที่แต่งตั้งตนขึ้นมาเป็น สว. ให้ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกันแน่  นี่คือจุดที่ประชาชนทั้งประเทศสมควรได้เห็นมันไปพร้อมๆกัน


พรรคการเมืองนั้นแน่นอนว่าประชาชนยังต้องการเห็นตัวเลือกใหม่ๆเข้ามาเป็นอีกทางเลือก  แต่ถ้ามันไม่มี หรือมีแล้วมันยังไม่ดีพอ  เราก็ต้องอยู่กับความจริงไปให้ได้  อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีช่องโหวตโนให้เราได้มีโอกาสแสดงออกทางตัวเลข เพื่อให้นักการเมืองเห็นว่าตัวเลือกปัจจุบันมันยังไม่ได้เรื่อง หรือแม้ว่ามันไม่ได้เรื่องแต่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศต้องการซะอย่าง เราก็ต้องอยู่กับมันไปให้ได้แล้วรอเวลา ให้โอกาสพิสูจน์การทำงาน  ทำไม่ดีก็ตกม้าตายเองนั่นแหละครับ


การที่มีประชาชนจำนวนหนึ่ง ที่ยังชอบการปกครองแบบนี้  หากเลือกตั้งแล้วมีอะไรไม่ถูกใจฉัน  ก็จะมีการก่อม็อบมาอีก ไม่จบไม่สิ้น ในส่วนของตรงนี้คิดว่าประชาชนได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากหลายปีที่ผ่านมา และรัฐบาลปัจจุบันถือว่าตอบโจทย์ได้ดีกับการแก้ปัญหาม็อบ ซึ่งจะทำให้ม็อบถูกจุดติดได้ยากกว่าเดิม จากเดิมที่จุดติดง่ายมากจาก พรบ.นิรโทษ ปัญหาเรื่องราคายาง สร้างรถไฟความเร็วสูง ราคาพืชผลทางการเกษตร ความจงรักภักดีต่อสถาบัน ฯลฯ  โดยคิดว่าตนเองที่ออกมาตามท้องถนน-ปิดถนน-ปิดศูนย์ราชการนั้นคือการทำเพื่อชาติ เพื่อรักชาติมากกว่าใคร เป็นคนดีมากกว่าคนอื่นเขา  มาขับไล่คนโกงคนชั่วนั้น   หากหลายคนมองว่ารัฐบาลอยู่ได้เพราะแก้ปัญหาม็อบเหล่านี้ได้นั่นยิ่งแสดงให้เห็นว่าสังคมไทยเบื่อม็อบแล้ว   จากที่เคยคิดว่ารัฐประหารจะแก้ปัญหาความขัดแย้งแล้วเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง-ปฏิรูปประเทศไทยสู่ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนก็คงนำเรื่องนี้มาจุดม็อบให้ติดได้ยากอีกเช่นกัน เพราะช่วงเวลาปฏิรูปนี้กว่าจะถึงการเลือกตั้งครั้งหน้ามันเกินวาระของรัฐบาลปกติเสียด้วยซ้ำ และมีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมายที่เป็นข้อติฉินนินทาจากประชาชนทั่วๆไปหลายเรื่อง    สิบกว่าปีที่ผ่านมาประชาชนไทยได้ลองผิดลองถูกมาหลายครั้ง  แต่สิ่งเดียวที่ไม่เคยทำนั่นคือปล่อยให้รัฐบาลทำหน้าที่จนครบวาระแล้วถ้าไม่ถูกใจค่อยหาทางเลือกใหม่  และ MC เชื่อว่าประชาชนในชีวิตจริงและโลกโซเชียลมีสติกันมากขึ้นจากประสบการณ์ตรงที่ได้รับผลกระทบจากชีวิตตนเองและการหารายได้


บ้านเมืองมาถึงจุดนี้แล้ว  ต้องปล่อยไปให้สุด  และการปล่อยให้สุดๆจริงๆคือการเรียนรู้ที่จะอยู่กับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันด้วยการปฏิบัติจริงถึงจะรู้ซึ้งว่าดีหรือไม่ดี  หากอยู่แบบปัจจุบันนี้ต่อให้ไม่ดีแค่ไหนมันก็ต้องมีคนมาบอกว่าดี  มีทีมโฆษกพร้อมที่จะแถลงว่าดีในทุกปรากฏการณ์อยู่แล้ว  สื่อทางโทรทัศน์ยังไม่กล้าหือ แม้แต่สื่อทางโลกโซเชียลถ้าเขียนตรงๆมากก็อาจได้ไปลั้นลาปรับทัศนคติอยู่แล้วครับ  เพราะฉะนั้นการที่จะปล่อยให้สุดๆ ต้องปล่อยให้ประชาชนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงหลังจากการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้  ภาพต่างๆที่ประชาชนทั่วๆไปยังมองไม่เห็นถึงปัญหา มันจะเริ่มชัดเจนขึ้นในตอนนั้น    เราอย่าไปเอากลุ่มก้อนประชาชนเลือกข้างเลือกสีเข้ามาเป็นบรรทัดฐานจะดีกว่าครับ  ประเทศไทยเป็นของคนไทยทุกคน เราจะเอาสีใดสีหนึ่งมาเป็นตัวตั้งเป็นบรรทัดฐานไม่ได้  มันมีคนบางประเภทที่อยู่ได้ทุกสถานการณ์เพราะตั้งความเกลียดชังส่วนตนเป็นฮาร์ดแวร์อยู่แล้ว  อยู่ได้อยู่ไม่ได้ อยู่ดีอยู่ลำบากคนพวกนี้เขาไม่สนหรอกครับ  ขอแค่ไม่ได้เห็นหน้าคนที่ตนไม่ชอบในเวทีการเมืองก็พอ  โดยส่วนตัวแล้ว  MC ไม่เคยคิดเลยสักครั้งว่ามวลมหาประชาชนเป็นล้านๆคนมันจะมีอยู่จริง  แดงทั้งแผ่นดินมันก็ไม่มีอยู่จริง   แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศจริงๆที่เขาไม่ได้มีสีอะไร ทำมาหากินไป ใครทำอะไรให้ชีวิตความเป็นอยู่เขาดีขึ้นเขาก็เลือก  อันนี้มีอยู่จริงแน่นอนครับผม


เดี๋ยวค่อยมาต่อในส่วนช่องคอมเม้นต์ครับ  ช่วงหัวค่ำอาจไม่ค่อยว่างเท่าไหร่นะครับเพราะงานยุ่งมากช่วงนี้ แต่จะลงต่อตรงช่องคอมเม้นต์ไว้ให้ครับผม







ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ

1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน  ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น





เพลงดื่มนมคาราโอเกะ by เพลงเด็ก indysong kids

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 58
ขออภัย มาช้าหน่อยครับ  ช่วงนี้ถ้าไม่เห็นลิงค์มาแทบจะไม่ได้เข้าบอร์ดเลย
คุณมาริโอเขียนได้ชัดเจนมากจนสารภาพตามตรงเลยว่าอ่านไม่หมด

แต่ไม่ว่าใครจะคิดยังไง  บทของมันจะเป็นยังไง ช่องของรัฐธรรมนูญมีมากมีน้อยแค่ไหน
ผมก็ยังยืนยันความคิดเดิม
ต้องปล่อยให้มันไปสุดทาง

กับเด็ก  บางทีเราบอกว่าร้อนนะ  ร้อน  เค้าไม่รู้ว่าร้อนมันเป็นยังไง
ก็คงต้องให้ได้สัมผัสเองจริงๆสักที  ต่อไปก็ไม่ต้องเตือนซ้ำอีก

วันนี้....
สิ่งผิดกฎหมายต่างๆหายไปหรือไม่
การโกงกินยังพบเห็นอยู่มั้ย
ธุรกิจมืดยังดำเนินตามปกติหรือเปล่า
วงจรอุบาทว์ทั้งหลาย เส้นสาย พวกพ้อง ยังมีให้เห็นใช่มั้ย
ประเทศ เจริญก้าวหน้าขึ้นแค่ไหนกับสี่ปีที่ผ่านมา!!

สิ่งต่างๆเหล่านี้  ไม่ต้องไปคิดไปหาทฤษฎีวิชาการ
สามารถพบเห็นได้จากภาคปฏิบัติเลย

ถ้าคนส่วนใหญ่ยังเห็นกงจักรเป็นดอกบัวต่อไปอีก
ก็ปล่อยประเทศนี้ไปเถอะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
การเมืองไทยเมื่อเทียบกับเจ้าพัดลมหนึ่งตัว คิดว่าทุกบ้านคงมีเจ้าเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวนี้ติดบ้านกันทุกบ้าน


ภาพประกอบไม่ได้มีเจตนาเพื่อโฆษณา



พัดลมบ้านประกอบด้วยส่วนประกอบหลักๆที่เราพอจะทราบหลักๆนั่นคือ สายไฟ+ปลั๊ก สวิทช์ส่วนควบคุมความเร็วรอบ มอเตอร์+แกนมอเตอร์ที่ผ่านการหา Alignment และ Centering แล้ว และส่วนของใบพัดลม โดยทั่วไปใบพัดลมบ้านจะมีอยู่ 3 ใบ



หลังจากที่สวมใบพัดลมเข้ากับแกนมอเตอร์แล้ว เดินเครื่องด้วยความเร็วรอบต่างๆ ใบพัดลมแต่ละใบจะมีแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ ในทิศทางที่ตั้งฉากกับแนวแกนของมอเตอร์ที่ผ่านการหา Alignment และ Centering แล้ว ทำให้พัดลมเวลาเดินเครื่องมีความนิ่งและสมดุลในการหมุน ไม่เกิดแรงเหวี่ยงไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ไม่เกิด Vibration ขึ้นในขณะเดินเครื่อง เนื่องจากความสมดุลกันของใบพัดทั้ง 3 ด้าน

MC จะลองเขียนอะไรเล่นๆลงในเจ้าพัดลม 3 ใบนี้ แล้วมามองในภาพรวมของการเมืองไทย



เมื่อใบพัดน้ำหนักเท่ากัน การจัดเรียงทิศทาง-องศาที่เท่ากันจะเกิดการถ่วงดุลซึ่งกันและกันของแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ทั้ง 3 ใบพัด ไม่ให้ใบใดมีแรงเหวี่ยงมากเกินไปการหมุนของเจ้าพัดลมตัวนี้ก็จะมีความนิ่ง ไม่เกิดแรงเหวี่ยงไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งจนสั่นและล้มค่ำในที่สุด


ประเทศไทยมีการปกครองแบบประชาธิปไตย  อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  หมายความว่า  อำนาจอธิปไตย  หรือ  อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศมาจากปวงชนชาวไทย  อันมีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข  ทรงใช้อำนาจอธิปไตยผ่านทางรัฐสภา  คณะรัฐมนตรีและศาลตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ  โดยอำนาจขององค์กรทั้ง 3 ฝ่าย  จะต้องเป็นไปอย่างเท่าเทียมกัน  และอยู่ในลักษณะการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน
    
การแบ่งอำนาจอธิปไตย   อำนาจอธิปไตยทั้งสามฝ่าย  คือ  นิติบัญญัติ  บริหาร  ตุลาการ  มีการถ่วงดุลอำนาจกันไม่ให้อำนาจใดมีอำนาจมากเกินไปหรืออ่อนแอ  เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพมิให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้อำนาจจนเกินขอบเขต

คำปฏิญาณตนก่อนปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร  “ข้าพเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณว่า ข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

คำปฏิญาณตนก่อนปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายตุลาการ “ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธยด้วยความซื่อสัตย์สุจริตโดยปราศจากอคติทั้งปวงเพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ประชาชน และความสงบสุขแห่งราชอาณาจักร ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายทุกประการ”

    
ภายหลังการรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2549 และได้บัญญัติขึ้นตามมาตรา 35 ของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2549 ให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญปฏิบัติหน้าที่แทน และมีบทบาทสำคัญต่อการเมืองการปกครองของประเทศไทยเป็นอย่างมาก ศาลรัฐธรรมนูญชุดใหม่ก็ได้ขึ้นปฏิบัติการจากกระบวนการคัดสรรตามคำสั่งของคณะรัฐประหาร ซึ่งการดำเนินการพิจารณาคดีต่างๆที่เกิดขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากว่าขัดต่อหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญอยู่เสมอ และขยายขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญออกไปเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนด รวมถึงการก้าวก่ายอำนาจของฝ่ายบริการและฝ่ายนิติบัญญัติ

ผลงานในอดีตของศาลรัฐธรรมนูญ

พ.ศ. 2550

ตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย พรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทย จากการจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง และเพิกถอนสิทธิลงเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค 5 ปี โดยในภายหลัง นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้น กล่าวถึงการวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองทั้ง 3 พรรค ณ ขณะนั้นเป็นไปเพื่อรักษาความสงบของบ้านเมือง ซึ่งไม่ได้วินิจฉัยคดีโดยวางอยู่บนพื้นฐานนิติรัฐ นิติธรรม

ตัดสินให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความผิดในทุกข้อกล่าวหาในกรณีจ้างพรรคเล็กใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย ซึ่งในภายหลังนายสุขสันต์ ไชยเทศ อดีตผู้อำนวยการพรรคพัฒนาชาติไทย และนายชวการ โตสวัสดิ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพัฒนาชาติไทย ซึ่งเป็นพยานปากเอกคดียุบพรรคไทยรักไทย เปิดเผยว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ สัญญาว่าจะให้เงินพยานพรรคเล็กคนละ 15 ล้านบาทและช่วยเรื่องคดีแลกกับการที่ให้พยานเหล่านี้ให้การว่าไปพบ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยาเพื่อรับการว่าจ้างให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยที่ความจริงแล้วมิได้มีเหตุการณ์ดังกล่าว โดยในระหว่างการดำเนินคดี นายสุเทพ เทือกสุบรรณได้นำพยานเหล่านี้ไปเก็บตัวในเซฟเฮาส์ทางภาคใต้ และสุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยเหลือเรื่องคดีกับพยานพรรคเล็กเหล่านี้ดังที่สัญญาไว้แต่อย่างใด

พ.ศ. 2551

วินิจฉัยให้นายสมัคร สุนทรเวช พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากจัดรายการชิมอาหาร ซึ่งในภายหลังนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ได้ยอมรับว่าการวินิจฉัยถอด นายสมัคร สุนทรเวช ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นั้นผิดพลาด ด้วยการนำข้อกฎหมายมาวางก่อน แล้วค่อยนำข้อเท็จจริงมาพิจารณา

ตัดสินให้ยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌมาธิปไตย และเพิกถอนสิทธิลงเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค 5 ปี

ยกคำร้อง กรณีนายอภิชาต สุขัคคานนท์ นายทะเบียนพรรคการเมือง ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวหาว่า พรรคประชาธิปัตย์ใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมืองจำนวน 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ โดยศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2553 ด้วยมติสี่ต่อสองว่า กฎหมายกำหนดให้ผู้ร้องยื่นคำร้องมาภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ปรากฏแก่ตนว่าผู้ถูกร้องฝ่าฝืนกฎหมายอันเป็นเหตุให้ถูกยุบได้ มว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องมาล่วงระยะเวลาสิบห้าวันดังกล่าวนี้ จึงไม่ชอบที่จะพิจารณาวินิจฉัยคำร้องสืบไป และให้ยกคำร้อง

ยกคำร้อง กรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวหาว่า พรรคประชาธิปัตย์รับเงินบริจาคจำนวน 258 ล้านบาท จากบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2548 โดยศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า เนื่องจากกระบวนการยื่นขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ชอบที่จะพิจารณาวินิจฉัยคำร้องสืบไป และให้ยกคำร้อง


พ.ศ. 2556

ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาและคุณสมบัติของ ส.ว.เป็นการกระทำที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 68 โดยจากกรณีนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากต่อส่วนหนึ่งของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่กล่าวว่า ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยแม้จะให้ถือเอามติฝ่ายเสียงข้างมากเป็น เกณฑ์ก็ตาม แต่หากละเลยหรือใช้อำนาจตามอำเภอใจกดขี่ข่มเหงฝ่ายเสียงข้างน้อยโดยไม่ฟังเหตุผลและขาดหลักประกันจนทำให้ฝ่ายเสียงข้างน้อยไม่มีที่อยู่ที่ยืนตามสมควรแล้วไซร้ จะถือว่าเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร หากแต่ก็จะกลับกลายเป็นระบอบเผด็จการฝ่ายข้างมาก ขัดแย้งต่อระบอบการปกครองของประเทศไปอย่างชัดแจ้ง


จากบทบาทของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนี้เสมือนว่ามีอีก 1 อำนาจ ที่เข้ามาเพิ่มจาก 3 อำนาจแรกในข้างต้น

MC จะมาลองเปลี่ยนใบพัดลมดู แล้วลองเขียนอะไรลงในนั้น



หากแม้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่ที่ไร้ครหาเรื่อง 2 มาตรฐานในการตัดสิน เป็นอำนาจที่เป็นอิสระเฉพาะจากการพิจารณาคดีความต่าง ๆ ย่อมต้องเป็นกลางและมิได้มีการถ่วงดุลหรือคานอำนาจกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง พัดลมเครื่องนี้ก็จะหมุนไปด้วยความนิ่งเป็นปกติ ไร้ซึ่งครหาในการทำหน้าที่ แต่ความเป็นจริงเป็นเช่นไรแล้วแต่ผู้อ่านจะพิจารณา

และรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยังคงมีอยู่เช่นเคย โดยถูกกำหนดบทบาทหน้าที่ไว้ไม่ได้น้อยไปกว่าเดิม ยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจํานวน 9 คนนี้ ผู้ได้รับการคัดเลือกหรือสรรหาเพื่อแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา พูดกันง่ายๆก็คือ มาจาก สว. นั่นเอง (สว. ตาม รธน นี้มาจากการแต่งตั้งทั้งหมดจาก คสช)


MC จะมาลองลงภาพพัดลมใหม่อีกครั้ง ขออภัยที่ภาพนี้ไม่สวยเพราะไม่ถนัดวาดภาพ



เมื่อเราให้น้ำหนักกับใบพัดใบใดมากเกินไป จะไม่เกิดสมดุลในการหมุนเพราะแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ของใบพัดนั้นจะมีมากกว่าแรงที่มาจากทิศทางอื่น ทำให้เกิด Vibration ในการเดินเครื่องขึ้นมา  ทำให้เกินการสั่นและเหวี่ยงอย่างไร้ทิศทางจนพัดลมเครื่องนั้นล้มลงและพังเสียหายได้ เปรียบเสมือนกับการถ่วงดุลอำนาจของอธิปไตยที่กล่าวมาข้างต้น หากจะเดินหน้าประเทศไทยต่อไป การถ่วงดุลที่เหมาะสมของอำนาจทั้ง 3 ควรที่จะกันไม่ให้อำนาจใดมีอำนาจมากเกินไปหรืออ่อนแอ  เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพมิให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้อำนาจจนเกินขอบเขต

ในนามประชาชนไทยคนหนึ่ง อยากเห็นประเทศชาติเดินหน้าด้วยความนิ่ง ไม่เกิดแรงกระเพื่อมไปกับอคติมุมมองในการทำหน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่พร้อมจะประหักประหารฝ่ายตรงข้าม หรือตรีตราความชอบธรรมให้กับฝ่ายที่ตนรัก โดยใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญที่เป็นของปวงชนชาวไทยทั้งแผ่นดิน โดยเฉพาะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พวกท่านต้องแก้ข้อครหาที่ประชาชนมองว่าพวกท่าน 2 มาตรฐานออกไปให้ได้ และทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลางที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการเมือง-เสถียรภาพทางการเมืองต้องมาแขวนอยุ่บนเส้นด้ายภายใต้อคติในการพิจารณาของพวกท่าน

ประเทศไทยไม่ใช่เครื่องสั่นสลายไขมัน ไม่ใช่เครื่องนวดผ่อนคลายหยอดเหรียญ ไม่ใช่อุปกรณ์ให้ความสุขทางเพศ ที่จะต้องใช้แรงเหวี่ยงหนีศูนย์ให้เกิดการสั่นสะเทือนในการใช้งาน  ประชาชนบอบช้ำมามากแล้ว จงทำให้ประเทศชาติเดินหน้าด้วยความนิ่งและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เป็นกลางที่สุด  ในวันนี้-วันพรุ่งนี้และวันต่อๆไป จงสร้างมาตรฐานเดียวในการทำหน้าที่ให้ประชาชนเห็นและหยุดการคลางแคลงใจในการทำหน้าที่  ทุกหน้าในประวัติศาสตร์การเมืองไทยล้วนถูกจารึกไว้ให้อนุชนคนรุ่นหลังได้เรียนรู้ ยิ่งยุคปัจจุบันแล้วการบันทึกเรื่องราวต่างๆยิ่งเป็นไปได้ง่ายกว่ารุ่นก่อนๆหลายเท่าตัวนัก ไม่มีใครหนีความจริงไปพ้นว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นดีหรือไม่ดี ทุกๆอย่างหนีสายตาประชาชนไปไม่พ้น ทุกเรื่อง
ความคิดเห็นที่ 5
ยังมีความสงสัยมากมายว่าหลังเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้  จะเกิดอะไรขึ้นตามที่สงสัยหรือไม่ จึงอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมพิสูจน์ไปพร้อมๆกันกับประชาชนครับ


มาตรา 5 ในกรณีที่ประเทศเกิดปัญหาทางการเมืองโดยให้องค์กรที่เกี่ยวข้องต้องพูดคุยและหาทางออกร่วมกัน หากเกิดกรณีที่ใช้มาตรา 5 เพื่อหาทางออกร่วมกัน เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญจัดให้มีการประชุมร่วมระหว่างประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา นายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานองค์กรอิสระเพื่อวินิจฉัย ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร+ประธานวุฒิสภา+ประธานศาลรัฐธรรมนูญ+ประธานองค์กรอิสระ ครึ่งหนึ่งของคณะประชุมมีโอกาสสูงมากที่จะออกความเห็นหรือลงมติมาในทิศทางเดียวกันครับ แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะได้ทางออกที่ถูกต้อง

     มาตรา 47 เรื่องสิทธิการรักษาพยาบาล บุคคลผู้ยากไร้ย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายบัญญัติ ทำไมต้องเป็นผู้ยากไร้หรือต้องไปลงทะเบียนผู้ยากไร้เท่านั้นเหรอครับถึงจะได้รับความคุ้มครองตรงนี้ ในขณะที่พยายามสื่อว่ากำลังลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม แต่นี่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการแยกคำว่าบุคคลกับผู้ยากไร้ออกจากกันเพื่อแลกมาให้ได้ในสิทธินี้ ผมว่ามันไม่ควรครับ

     มาตรา 54 เรื่องเรียนฟรี ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนเอาไว้ชัดเจนว่าเรียนฟรีแค่ 12 ปี เป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชนผู้มีกำลังทรัพย์น้อยในการส่งบุตรหลานเข้าเรียนครับ

     มาตรา 80 ในกรณีที่ไม่มีประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธานสภาผู้แทนราษฎรไม่อยู่ หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภาได้ให้ประธานวุฒิสภาทำหน้าที่ประธานรัฐสภาแทน นี่คือการก้าวข้ามหน้าที่จากฝ่ายนิติบัญญัติมาทำหน้าที่ควบคุมฝ่ายบริหารใช่หรือไม่ ทั้งๆที่ความเป็นจริงอำนาจสมควรที่จะถ่วงดุลกันและไม่ก้าวล่วงเข้ามาทำหน้าที่ทั้งๆที่รองประธานสภาฯก็ยังมี มิหนำซ้ำในระหว่างที่ประธานวุฒิสภาต้องทำหน้าที่ประธานรัฐสภาตามวรรคสอง แต่ไม่มีประธานวุฒิสภา และเป็นกรณีที่เกิดขึ้นในระหว่างไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ให้รองประธานวุฒิสภาทำหน้าที่ประธานรัฐสภา ถ้าไม่มีรองประธานวุฒิสภา ให้สมาชิกวุฒิสภาซึ่งมีอายุมากที่สุดในขณะนั้นทำหน้าที่ประธานรัฐสภา นี่คือการวางหมากเพื่อล้วงลูกก้าวข้ามอำนาจหน้าที่กันหรือไม่ แล้วคุณเอารองประธานสภาไปซุกไว้ที่ไหน?

     ย่อหน้านี้อาจจะมีหลายมาตราที่เกี่ยวเนื่องกันนะครับ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนไม่มีเสถียรภาพพร้อมที่จะถูกล้มได้ทุกเมื่อหากเกิดกรณี 2 มาตรฐานขึ้นมาอีกครั้ง ในกรณีใช้อำนาจทางศาลรัฐธรรมนูญในการล้มรัฐบาลประชาชน หรือเกิดกรณี 2 มาตรฐานอีกครั้ง  (ไม่ไม่จำกัดนะครับว่าจะมาจากทางขั้วการเมืองไหน จะเป็นเพื่อไทยก็ได้ หรือประชาธิปัตย์ก็ได้) หรือแม้กระทั่งการรอการขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของคนนอกจึงจำเป็นที่จะต้องเอาผิดรัฐบาลประชาชนให้ได้เสียก่อน  ก็สามารถทำได้โดยใช้ มาตรา ๘๒ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก ว่าสมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหนึ่งแห่งสภานั้นสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๐๑ (๓)(๕) (๖) (๗) (๘) (๙) (๑๐) หรือ (๑๒) หรือมาตรา ๑๑๑ (๓) (๔) (๕) หรือ (๗) แล้วแต่กรณี และให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับคำร้อง ส่งคำร้องนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกผู้นั้นสิ้นสุดลงหรือไม่

จากมาตรา 82 มีสิ่งที่สามารถเชื่อมต่อเพื่อเอาผิดผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ตามมาตรา 101 ข้อที่ 7 กระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๑๘๔ หรือมาตรา ๑๘๕

ภาพแสดงมาตรา 101 ข้อที่ 7

ภาพแสดงมาตรา 185
มาตรา ๑๘๕ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภากระทำการใดๆ อันมีลักษณะที่เป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมืองไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในเรื่องดังต่อไปนี้
(๑) การปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของข้าราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น
(๒) กระทำการในลักษณะที่ทำให้ตนมีส่วนร่วมในการใช้จ่ายเงินงบประมาณ หรือให้ความเห็นชอบในการจัดทำโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐ เว้นแต่เป็นการดำเนินการในกิจการของรัฐสภา
(๓) การบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย โอน เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนเงินเดือนหรือการให้พ้นจากตำแหน่งของข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำและมิใช่ข้าราชการการเมือง พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น

จากทั้ง 3 ข้อในมาตรา 185 นี้ หากเกิดกรณี 2 มาตรฐานขึ้นมาในการตัดสินความของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็สามารถกระทำการได้โดยง่ายเช่นในอดีตที่ผ่านมา เพราะสามารถตีความออกไปได้กว้างและออกได้ทุกทางว่าผิดจริงหรือไม่ผิด ฉะนั้นแล้วเราจะมีความเชื่อมั่นได้อย่างไรว่าจะไม่เกิดกรณีนี้ขึ้น การตีความเพื่อเอาผิดจากกรณีทางการเมืองต่างๆก็มีให้เห็นดังเช่นอดีต เช่นทำกับข้าวออกทีวียังผิด สั่งย้ายข้าราชการที่ทำหน้าที่ไม่ได้ก็ยังผิด เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าทำอะไรแล้วจะไม่ผิด ในเมื่อทำหน้าที่รัฐบาลก็คงหลีกเลี่ยงที่จะมีภารกิจต่างๆมากมายที่จะทำ หากจะตีความเอาผิดโดยคณะ ตลก ที่ถูกแต่งตั้งมาจาก สว. สรรหา ที่ถูกแต่งตั้งมาจากบุคคลคณะเดียว ก็สามารถดำเนินการได้ทุกเมื่อ

     กติกาการเลือกตั้งตามร่าง รธน. ฉบับนี้ปิดโอกาสของคำว่าเลือกคนที่รักเลือกพรรคที่ชอบออกไป โดยในส่วนของ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อมีหลักการคำนวนที่พึงได้มาตามมาตรา 91

ซึ่งกติการการเลือกตั้งใหม่นี้ไม่ทราบว่ามีการคำนวนและวิเคราะห์เชิงตัวเลขมาก่อนหรือไม่ว่ามีโอกาสสูงที่จะทำให้พรรคใดพรรคหนึ่งมีคะแนนลดลงมาไม่ถึงครึ่ง ส่วนพรรครองลงมาได้คะแนนเพิ่มขึ้นมาเพื่อบีบคะแนนให้ใกล้เคียงกันขึ้นมา และพรรคอันดับสองมีโอกาสเสียมารยาททางการเมืองในการจับมือร่วมกับพรรคอื่นที่เหลือเพื่อจัดตั้งรัฐบาล โดยปล่อยให้พรรคที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเลือกเข้ามาเป็นอันดับหนึ่งต้องกลายไปเป็นฝ่ายค้านเดี่ยว หรือในกรณีที่คะแนนรวมสูสีใกล้เคียงกัน จึงเป็นการยากที่จะหาข้อสรุปในการแต่งตั้งนายกฯที่มาจากการนำเสนอตามมาตรา 88

จึงเป็นการเปิดช่องให้เกิดมาตรา 272 กรณีที่ไม่อาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ ไม่ว่าด้วยเหตุใด และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อ ที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘

และสิ่งนี้หรือไม่ที่เป็นที่มาของคำถามพ่วงท้ายการโหวตร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องการโหวตรับ-ไม่รับนายกรัฐมนตรีของ สว. สรรหาทั้ง 250 คน เพื่อปูทางให้เกิดนายกฯคนนอกที่ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งจากเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ

     มาตรา 269 ที่มาของ สว. จะเห็นได้ว่า สว. ทั้งหมดในวาระเริ่มต้น 250 คน ถูกแต่งตั้งมาจาก คสช. ทั้งหมด เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีการส่งกลุ่ม สว.เหล่านี้มาเพื่อต่อท่ออำนาจให้กับกลุ่มคณะใดคณะหนึ่ง หรือมาทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติเพื่อประชาชนไทยจริงๆ ทุกอย่างยังเป็นปริศนาเพราะอำนาจ สว. มีมากมายเพียงพอที่จะล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนไทยได้ทุกเมื่อ โดยใช้อำนาจของคณะทำงานศาลรัฐธรรมนูญที่ตัวเองเป็นฝ่ายแต่งตั้งขึ้นมาจัดการกับรัฐบาลได้ทุกเมื่อ

     มาตรา ๒๐๐ ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจำนวนเก้าคน มาตรา ๒๐๔ ผู้ได้รับการคัดเลือกหรือสรรหาเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา สรุปแล้วคือ สว. ที่มาจาก คสช. แต่งตั้ง คณะ ตลก ผู้ที่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายให้กับรัฐบาลมาอีกที ผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะตัดสินโดยไม่เอนเอียงในการตัดสินความหรือเกิดกรณี 2 มาตรฐานค้านสายตาประชาชนมาหลายคดีอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีต
ความคิดเห็นที่ 10
MC จะลองพาทุกท่านเข้าสู่บรรยากาศเลือกตั้งกัน แต่เป็นบรรยากาศเลือกตั้งในโลกสมมุติฐาน ภายใต้กติกาการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันครับ

เราจะมาลองพิสูจน์ทางตัวเลขภายใต้กติการการคัดเลือก ส.ส. แบบแบ่งเขต 350 ที่นั่ง และแบบบัญชีรายชื่อ 150 ที่นั่ง  ผู้มีสิทธิโหวตเลือกนายกฯได้คือ ส.ส. ทั้ง 500 เสียง + สว. 250 เสียง

สมมุติฐานแบบสุดขั้วไปเลยว่า  นักการเมืองถูกล้างไพ่กันจนหมดทุกขั้วการเมือง  ทำให้เกิดพรรคการเมืองหน้าใหม่ขึ้นมา 5 พรรคเป็นทางเลือกให้กับประชาชน คือ พรรค A B C D E


ตั้งสมมุติฐานแบบสุดขั้วของแต่ละพรรค

พรรคการเมือง A มีนักการเมืองหน้าใหม่ สดมาก ยิ่งกว่าสวรรค์ประทานมาให้ เพื่อมาแก้ปัญหาให้กับประเทศชาติทุกๆด้าน กระแสตอบรับจากประชาชนแรงมาก ประชาชนทุกส่วนใหญ่หมู่เหล่ารักใคร่ อยากได้มาเป็นนายกรัฐมนตรีไทยที่มาจากการเลือกตั้งมากที่สุด กวาดชัยชนะในการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตกราวรูด 350 เขต ทั่วประเทศ คะแนนรวมพรรคเดียว 28 ล้านเสียงจากผู้มีสิทธิ์และไปลงคะแนน 40 ล้านเสียง ถึงแม้ประชาชนรักแค่ไหนก็ตาม แต่ สว. 250 คนไม่รัก ด้วยเหตุผลส่วนตัวหรือด้วยหน้าที่ๆถูกกำหนดมาให้

พรรคการเมือง B แพ้เลือกตั้งทุกเขต แต่คะแนนรวมของทั่วประเทศที่จะนำมาคิดเป็น ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อยังมาเป็นอันดับ 2 ได้คะแนนรวม 6 ล้านเสียงจากผู้มีสิทธิ์และไปลงคะแนน 40 ล้านเสียง  และ 250 สว. ไม่ได้เกลียดพรรคนี้

พรรคการเมือง C D E แพ้เลือกตั้งทุกเขต คะแนนรวมของทั่วประเทศที่จะนำมาคิดเป็น ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อยังมาเป็นอันดับ 3 4 5 ตามลำดับ รวม 6 ล้านเสียง จากผู้มีสิทธิ์และไปลงคะแนน 40 ล้านเสียง

ถึงแม้ว่าพรรคการเมือง A จะชนะทุกเขตการเลือกตั้งก็ตาม แต่ก็จะไม่ได้ ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อเลยแม้แต่ที่นั่งเดียว เนื่องจากตามกติกาการคัดเลือก ส.ส. จะเป็นตามภาพนี้


เครดิตภาพจาก http://ilaw.or.th/node/4079


ที่มาของ ส.ส. บัญชีรายชื่อ

ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจำนวน 150 คน เป็นบัญชีเดียวกันทั้งประเทศ โดยพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งเท่านั้นที่มีสิทธิส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อได้ เนื่องจากการเลือกตั้งจะใช้บัตรใบเดียวคือ หนึ่งคะแนนลงให้ผู้สมัครที่ชื่นชอบในเขตของตน จะถูกนับเป็นหนึ่งคะแนนในการคิดที่นั่ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อให้กับพรรคการเมืองที่ผู้สมัครคนนั้นสังกัดอยู่ด้วย

อย่างไรก็ตาม จำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ไม่ได้แยกขาดจากจำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขต เพราะคะแนนทั้งประเทศที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับจะถูกนำไปคำนวณเพื่อให้ได้จำนวน ส.ส.ที่พรรคนั้นควรจะมี และเมื่อได้จำนวน ส.ส.ที่แต่ละพรรคควรจะมีแล้ว ให้นำมาหักลบกับจำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขต ก็จะทำให้ได้จำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรค

วิธีการนับจำนวนที่นั่ง ส.ส.ที่แต่พรรคการเมืองจะได้

(1) นำคะแนนรวมทั้งประเทศที่พรรคการเมืองทุกพรรคได้รับจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตหารด้วย 500 ซึ่งเป็นจำนวนทั้งหมดของ ส.ส.ทั้งสภา

จากรูป ทุกพรรคการเมืองมีคะแนนรวมกัน 40 ล้านเสียง ก็ให้นำมาหารด้วย 500 จะเท่ากับ 80,000  

(2) นำผลลัพธ์ตาม (1) คือ 80,000 ไปหารจำนวนคะแนนรวมทั้งประเทศของแต่ละพรรคการเมืองที่ได้รับจากการเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตทุกเขต จำนวนที่ได้รับจะเป็นจำนวน ส.ส.ที่พรรคการเมืองจะมีได้

เช่น

      พรรค A ได้คะแนน 28 ล้านเสียง เมื่อนำ 80,000 ไปหาร ก็จะได้จำนวน ส.ส.ที่พรรคจะมีได้คือ จำนวน 350 ที่นั่ง เท่ากับ จำนวน ส.ส. เขตที่ชนะมาทุกเขต ทำให้ไม่ได้ ส.ส. ปารืตี้ลิสต์เลยแม้แต่ที่นั่งเดียว

      พรรค B ได้คะแนน 6 ล้านเสียง เมื่อนำ 80,000 ไปหาร ก็จะได้จำนวน ส.ส.ที่พรรคจะมีได้คือ จำนวน 75 ที่นั่ง = ได้ ส.ส. บัญชีรายชื่อ 75 ที่นั่ง

      พรรคการเมือง C D E  ด้คะแนน 6 ล้านเสียง เมื่อนำ 80,000 ไปหาร ก็จะได้จำนวน ส.ส.ที่พรรคจะมีได้คือ จำนวน 75 ที่นั่ง = ได้ ส.ส. บัญชีรายชื่อ 75 ที่นั่ง


จากข้างต้นการโหวตเลือกนายก มีผู้มีสิทธิโหวตเลือกนายกฯได้คือ ส.ส. ทั้ง 500 เสียง + สว. 250 เสียง รวม 750 เสียง




หากพรรค B C D E รวม 150 เสียง (เอาตำแหน่งหรือผลประโยชน์ทางการเมืองเข้ามาแลกเพื่อขอเสียงสนับสนุนร่วมกัน) จับมือกับ สว. 250 เสียง รวมทั้งหมด 400 เสียง โหวตผู้เป็นตัวแทนคัดเลือกนายกฯจากพรรค B ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีไทยได้ แม้เลือกตั้งแพ้ทุกเขตก็ตาม      
และการแก้ปัญหานั่นคือหยิบยื่นผลประโยชน์ทางการเมืองให้กับ ส.ส. งูเห่า เพื่อแลกกับคะแนนโหวตในการยกมือไม่ไว้วางใจในสภา


ในกรณีที่ ไม่สามารถหาข้อสรุปในการแต่งตั้งนายกฯได้ตามมาตรา 88 แล้วนั้น กระบวนการแต่งตั้งนายกฯจะไหลไปที่มาตรา 272 ได้เช่นกัน แต่ตัวนายกรัฐมนตรีจะไม่ใช่ผู้ที่พรรค B ส่ง เข้ามาแข่งคัดเลือก แต่จะกลายมาเป็นนายกรัฐมนตรีจากคนนอกได้รับการโหวตแทน



นายกรัฐมนตรีคนนอกคือใคร ?





สรุป

- ผู้สมัครนายกฯจากพรรค B มีโอกาสเป็นไปได้ ตามรัฐธรรมนูญใหม่นี้ แม้จะเลือกตั้งแพ้ทุกเขตก็ตาม หาก 250 สว. ชื่นชอบ แต่ ตัวนายกฯจากพรรค B นั้นจะต้องดึงงูเห่าออกมาจากพรรค A ให้ได้มากที่สุด เพื่อการยกมือไว้วางใจในสภา  เสถียรภาพรัฐบาลต่ำ

- ผู้สมัครนายกฯคนนอกมีโอกาสเป็นไปได้ในกรณีสมมุติฐานนี้ เนื่องจากการโหวตแต่งตั้งนายกฯ มี สว. 250 เป็นตัวแปรสำคัญ แต่ พรรคร่วมรัฐบาลในกรณีสมมุติฐานนี้จะต้องมีพรรค A เป็นตัวร่วมรัฐบาลเท่านั้น (อาจรวมกับพรรคอื่นเช่น C D E) เพราะ สว. แม้จะโหวตเลือกตัวนายกฯได้ แต่จะไม่มีโอกาสยกมือไว้วางใจตัวนายกฯในสภา หากจะจับมือกับพรรค B จะต้องดึงงูเห่าจากพรรค A เข้ามาร่วมด้วยช่วยโหวตให้ได้มากที่สุด

- ผู้สมัครนายกฯจากพรรค A แม้จะชนะเลือกตั้งทุกเขตก็ตาม แต่มีโอกาศถูกโดดเดี่ยวให้เป็นผู้นำฝ่ายค้าน แม้ว่าจะกวาดที่นั่งในการเลือก ส.ส. ได้ทุกเขตก็ตาม ยกเว้นกรณีที่ได้คะแนนเกิน 3x,xxx,xxx+ ขึ้น ไป ถึงจะพอได้เอาจำนวน ส.ส. บัญชีรายชื่อเข้ามามีส่วนช่วยในการโหวตคัดเลือกตัวนายกรัฐมนตรีได้ จำนวน ส.ส. ที่ได้มานี้สามารถล้มตำแหน่งนายกฯจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาได้ แต่อาจจะมีปัญหา ส.ส. งูเห่าตามมาดังเช่นหลายปีที่ผ่านมา ทำให้การเมืองเข้าสู่วังวนเดิมๆ ไม่มีอะไรดีขึ้นนอกจากผลประโยชน์ส่วนบุคคลทางการเมืองที่ถูกหยิบยื่นให้

- ผู้สมัครจากพรรค C D E จะต้องเลือกว่าคุณจะปกป้องประชาธิปไตยไว้ ปกป้องเสียงและความต้องการของประชาชนไว้ แต่อาจจะต้องแลกมาด้วยการถูกตราหน้าจากคนกลุ่มหนึ่งว่าเป็นนักการเมืองไม่ดี ในขณะตรงข้ามหากเลือกที่จะไปจับมือกับกลุ่ม สว. และพรรค B เพื่อร่วมจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่คำนึงถึงความต้องการที่แท้จริงของประชาชน แต่คุณอาจจะได้รับความชื่นชมจากคนกลุ่มหนึ่งว่าเป็นนักการเมืองน้ำดีในยุคประดิษฐ์วาทกรรมทางการเมือง

-  การตั้งสมมุติฐานนี้เป็นการตั้งสมมุติฐานอย่างสุดขั้วเท่านั้น ส่วนความเป็นจริงในการเลือกตั้งเป็นไปได้น้อยหรือเป็นไปไม่ได้เลยที่พรรคใดพรรคหนึ่งจะกวาด ส.ส. ได้ครบทุกเขตทั่วประเทศ ทุกพรรคล้วนมีพื้นที่ที่เป็นฐานคะแนนของตนเองทั้งสิ้น แต่ภาพเหล่านี้จะชัดเจนเป็นรูปธรรมขึ้นขึ้นหลังจากที่มีการจับมือกันจัดตั้งรัฐบาลของพรรคต่างๆและร่วมโหวตเลือกตัวนายกรัฐมนตรีไทยร่วมกับ สว.

-  คหสต ของ MC  มารยาททางการเมือง และความเป็นสุภาพบุรุษทางการเมือง สำคัญที่สุด หากต้องการรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้ให้กับลูกหลานในอนาคต จงทำวันนี้ให้เป็นตัวอย่าง จงยึดถือบรรทัดฐานให้มากกว่าความต้องการทางการเมืองที่ไม่มีอะไรยั่งยืน ก่อนที่ประเทศจะไร้ซึ่งบรรทัดฐานและอย่าไปยึดติดกับอำนาจที่ประชาชนไม่ได้อยากหยิบยื่นให้   ในโลกนี้ขึ้นชื่อว่าการเมือง จะให้มีสักกี่ขั้วก็ตาม ขั้วของตนล้วนยึดติดและนำเสนอว่าขั้วของตนนั้นดี ขั้วอื่นมันชั่วมันเลวมันโกงมันไม่ดีไปกว่าตนทั้งนั้น แต่กรรมการที่เป็นกลางที่สุดนั่นคือเสียงของประชาชนทั้งประเทศที่กำลังยืนมองแต่ละขั้วของพวกคุณอยู่ห่างๆ จะเป็นผู้กำหนดเองว่าประชาชนต้องการใครที่มาบริหารประเทศของพวกเขาอย่างแท้จริงเมื่อพวกเขามีโอกาส
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่