ทริปนี้วางมาแต่แผนการกินอย่างเดียว ไม่มีแพลนเที่ยวเลยสักนิด ส่วนร้านที่ไปก็หลากหลายมาก เรียกว่ามีตั้งแต่มิชลินสตาร์ยันสะเต๊ะริมถนน กินอย่างเดียวเที่ยวไม่สนจริงๆค่ะ
รายละเอียดเจาะลึกในบางร้าน มีทยอยลงไว้ที่เพจสามารถติดตามกันได้นะคะ
https://www.facebook.com/esdydiary
ร้านที่ 1 : Labyrinth [12 เมนู]
ร้านนี้เป็น innovative food ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากอาหารท้องถิ่นของชาวสิงคโปร์
เราตัดสินใจจองร้านนี้ทันทีที่อ่านเจอเมนู "chili crab ice cream" ที่เป็น signature ของร้าน จินตนาการถึงรสชาติไม่ออกเลยจริงๆว่าจะออกมาเป็นยังไง
ทำการจองล่วงหน้าผ่าน chope.com ก่อนถึงวันที่จองจะมีเมล์จากทางร้านมาคอนเฟิร์มเวลา และรายละเอียดของทางร้าน โดยการแต่งกายกำหนดเป็น smart casual ค่ะ
อาหารทั้งหมดมี 10 เมนู รวมของหวาน โดยสามารถอัพเกรดเมนูได้ 2 เมนูคือ
เมนูแรกจากริซ๊อตโต้กุ้ง เป็นบะหมี่ซุปกุ้งกับไข่หอยเม่น [เพิ่ม 20$] >> เมนูนี้ควรอัพค่ะเพราะอร่อยกว่าเมนูเดิมมาก
ซุปก๋วยเตี๋ยวเป็นซุปข้นกุ้งที่เข้มข้น อร่อยมากๆ
เมนูที่สองจากสะเต๊ะเนื้อแบลคแองกัส เป็น ฮอกไกโด วากิว A4 [เพิ่ม 38$] >> ซอสและการตกแต่งจานจะเหมือนกัน ต่างกันแค่ชนิดของเนื้อค่ะ
เรากะน้องเลือกอัพกันคนละเมนูเพื่อจะได้ลองให้ครบทุกแบบ เลยได้มาทั้งหมด 12 เมนู
ตลอดระยะเวลาสองชั่วโมงในการเสริฟมื้อนี้ คำว่า "คิดได้ยังไงเนี่ย" น่าจะออกจากปากเรามากที่สุดเพราะ จากอาหารสิงคโปร์ธรรมดา เชฟก็เอามาพลิกแพลงเปลี่ยนรูปจนเราคาดไม่ถึง
bak chor mee ที่หน้าตาเหมือนบะหมี่เส้นแบนทั่วไป สร้างความประหลาดใจให้เราตั้งแต่คำแรก เพราะตัวเส้นเป็นเนื้อปลาหมึกเหนียวนุ่มหนึบดีจริงๆ ที่คล้ายหมูสับนั่นก็เป็น olive powder กับแองโชวี่ แถมด้วย Hokkaido scallop ชิ้นโตที่มาเป็นตัวแทนลูกชิ้นปลา ราดมาด้วยซีอิ้วรสชาติเปรี้ยวกับพริกเผาที่มีกลิ่นกุ้งแห้งนิดๆ อร่อยจนอยากขอชามใหญ่ๆเลยค่ะ
ปูผัดพริก : เป็นปูนิ่มทอดทานคู่กับไอศครีมรสซอสพริก ทานแยกจะรู้สึกแปลกๆ แต่พอทานรวมกันกลับเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ แถมจานนี้ตกแต่งเป็นทะเล มีฟองคลื่นสวยมาก
Kaya toast ที่เราเห็นขายอยู่ทั่วไปในสิงคโปร์นั้น เชฟเอาส่วนสังขยามาทำเป็นไอศครีมหอมหวานชื่นใจมาก ส่วนตัวขนมปังอบเนยก็กรอบหอมรวมกับรสเค็มของคาร์เวียร์ที่ท๊อปมาด้านบนด้วยแล้ว โอ๊ยยย เรารักจานนี้มาก
ข้อเสียคือเมนมีแต่เมนูเนื้อ สำหรับคนไม่ทานเนื้ออย่างเรา เลยได้แต่ชิ้มซอสแล้วส่งเนื้อให้น้องทาน
เบ็ดเสร็จมื้อนี้สองคนเช็คบิลออกมาที่ 355.45 $ เป็นมื้อที่แพงที่สุดในทริปเลยทีเดียวค่ะ
Opening hours
Lunch : 12.00pm - 2.30pm
Dinner : 6.00pm - 11.00 pm [last order 8.45 pm]
Location : ชั้น 2 , Esplanade Mall [สถานี Esplanade]
ร้านที่ 2 : Candlenut [12 เมนู]
Candlenut เป็นร้านอาหารเปอรานากันร้านแรกและร้านเดียวที่ได้ดาวมิชลิน
อาหารเปอรานากันคือการผสมผสานระหว่างอาหารจีนและอาหารมลายู หาทานได้แถวทางใต้ของบ้านเราอย่างภูเก็ต มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย
ร้านนี้อยู่ที่ Dempsey Hill ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รวมร้านอาหารและคาเฟ่ดังๆหลายร้านเลยค่ะ
เพื่อความไม่ประมาท ควรจองไปก่อนนะคะ จองได้ตามลิ้งนี้เลยค่ะ >>
http://comodempsey.sg/restaurant/candlenut
เราจะได้เมล์คอนเฟิร์มหลังกรอกรายละเอียดการจอง รวมถึง 1 วันก่อนหน้าวันที่เราจองทางร้านจะโทรมาคอนเฟิร์มอีกครั้งค่ะ
ที่ candlenut มื้อเย็นเราสามารถเลือกสั่งได้ทั้งอลาคาร์ท หรือ โอมากาเสะ คอร์ส
แต่แค่เริ่มอ่านชื่อเมนูเราก็เลือกแบบโอมากาเสะในทันที เพราะชื่อแต่ละเมนูเป็นภาษาเฉพาะที่เราไม่คุ้นจริงๆค่ะ
โดยคอร์สนี้จะประกอบไปด้วย Appetizer 2 , ซุป 1, กับข้าว 7 ชนิด และข้าวหอมมะลิจากเมืองไทย ปิดท้ายด้วยของหวานอีก 2
ก่อนเสริฟทุกโต๊ะจะได้รับ complementary เป็นข้าวเกรียบปลา 1 ตะกร้า กับซอสที่ทำมาจากซีอิ้วหวานๆ ข้าวเกรียบนี่เหมือนที่อัมพวาเลยจร้าา
เมนูส่วนใหญ่มีพริกแกงเป็นส่วนประกอบ ค่อนข้างคล้ายกับอาหารไทยแต่มีความเข้มข้นและรุนแรงกว่า
ส่วนซิกเนเจอร์ของอาหารเปอรานากันที่มีส่วนประกอบของลูก Buan Keluak นั้นหน้าตาไม่น่ากินสุดในทุกจานที่เสริฟมา อิลูกบัวเคลอะ ที่ว่าเป็นเหมือนถั่วเปลือกหนาสีดำสนิทที่เอาไปดอง รสชาติขมขื่นมาก ไม่สามารถอธิบายเปรียบเทียบกับสิ่งใดได้ รู้แต่มันหนืดๆขื่นๆ ต้มมากับเนื้อแบลคแองกัสที่เปื่อยมาก เราลองไปหนึ่งคำถ้วนเท่านั้นแล้วก็ขอยกธงขาว
ของหวานทั้งหมดคือความดีงาม อย่างแรกเป็นน้ำแข็งใส ที่ตัวน้ำแข็งทำมาจากน้ำมะพร้าว ท๊อปด้วยเยลลี่สีขาวๆ กรุบๆคล้ายลูกตาลแก่
มีส้มจี๊ดน้ำผึ้งเป็นเดรสซิ่ง .... โอ้โห!! ถ้วยนี้สดใสซาบซ่ามาก หวานอมเปรี้ยว เย็นๆ เผลอแป๊บเดียววิดหมดชาม
ขนมจานสุดท้ายทำเราตกใจไม่น้อย เพราะมีเมนูแยกมาต่างหาก ประกอบไปด้วยขนม 5 ชนิด ทานคู่กับชาอัญชัญตะไคร้ร้อน
แต่พอมาเสริฟค่อยโล่งใจเพราะเป็นขนมชิ้นเล็กน่ารัก 4 แบบ ที่คล้ายกับขนมไทยอย่าง ข้าวเหนียวสังขยา ขนมต้ม ขนมหม้อแกงที่มีไส้ขนมใส่ไส้วางอยู่ด้านบน อีกอันเป็นบัตเตอร์เค้ก กับสาคูน้ำกะทิถ้วยเล็กที่กะทิหอมน้ำตาลมากๆ ขนมทั้งหมดหวานน้อยอร่อยกำลังดี

มื้อนี้สองคนโดนไป 277.75 $ อาหารค่อนข้างทานยาก แม้ว่าจะคล้ายกับอาหารบ้านเรา แต่เพราะความเข้มและแรงของเครื่องเทศทำให้โดยรวมไม่ถูกปากเท่าไหร่นัก
Opening hours
Lunch : 12:00pm – 3:00pm (Mom-Sun)
(Last seating 2:30PM)
Dinner : 6:00pm – 10:00pm (Sun-Thu)
(Last seating 9:30PM)
Location : Block 17A Dempsey Road, Singapore 249676
** เรียก Uber ไม่ต้องเดินไกลค่ะจาก orchard ประมาณ 5-7 $ **
ร้านที่ 3 : Tsuta [2 เมนู]
Tsuta ที่สาขาโตเกียวเป็นร้านราเมงเจ้าแรกของโลกที่ได้รับ 1 ดาวมิชลิน แต่ที่สิงคโปร์ร้านนี้อยู่ในลิส บิบ กูร์มองต์ [bib gourmand] หรือร้านอาหารคุณภาพในราคาย่อมเยาว์ของสิงคโปร์ ปี2017 ค่ะ
ร้านนี้มีที่นั่งรอบเค้าเตอร์แค่ 15 ที่ ปกติน่าจะคิวยาวเพราะที่หน้าร้านมีพื้นที่รอคิวแบบเป็นกิจลักษณะ แต่เราโชคดีที่ไปไม่ตรงมื้อชาวบ้านคนเลยโล่งค่ะ
เข้าร้านมาก็จะเจอตู้สั่งอัตโนมัติ ซึ่งจะมีพนักงานคอยช่วยแนะนำ การจ่ายสามารถใช้ได้ทั้งการ์ดและเงินสดค่ะ
ซิกเนเจอร์ของที่นี่คือ โซบะซุปโชยุ ซึ่งเราก็ไม่พลาดที่จะลอง และจัดเต็มมาทุกสิ่งอันในเมนู ชาชู อาจิทามะ โชยุ โซบะ สนนราคา 22.8 $
ของน้องเลือกเป็น ชาชู อาจิทามะ ชิโอะ โซบะ ราคา 22.8 $เท่ากันค่ะ
น้ำเปล่าอีกคนละขวดขวดละ 1 $ เรียบร้อยก็จะได้บิลกับใบออเดอร์มา เดินไปเลือกที่นั่งที่หน้าเค้าเตอร์
ใบออเดอร์พนักงานจะเก็บไปส่วนเราก็นั่งรอชมการทำโซบะค่ะ
ชิมซุปคำแรกต้องบอกเลยว่า "เค็ม" แอบรู้สึกผิดหวังเล็กๆ
โชยุซุบชามนี้จะมีทรัฟเฟิลออยใส่แปะลงมาให้ก้อนเท่าปลายนิ้ว คนให้ทรัฟเฟิลกระจายตัว แล้วชิมน้ำซุปใหม่อีกครั้ง ความหอมของทรัฟเฟิลออยจะเด่นมาก แม้รสชาติความเค็มยังคงอยู่ แต่เราก็ยังซดได้เรื่อยๆ
ชาชู4ชิ้นโต นุ่มมากมาแบบมีเดียมนิดๆ ที่เลิฟที่สุดคืออาจิทามะ หรือไข่ต้มที่รสชาติเข้มข้นซึมเข้าไปถึงไข่แดงเยิ้มๆ เส้นค่อนไปทางนิ่ม มีต้นหอมญี่ปุ่นกับหน่อไม้มาช่วยตัดความเลี่ยน
อีกชามที่เป็นชิโอะซุปไม่มีทรัฟเฟิลออยมาเลยไม่หอมเท่าโชยุซุป เครื่องต่างๆสามารถแอดเพิ่มได้ตั้งแต่ตอนกดตู้ แต่สำหรับเราแค่นี้ก็เยอะมากแล้วค่ะ
Opening hours : 11.00 am - 10.00 pm
Location : 9 Scotts Road, #01-01, Pacific Plaza, Singapore 228210
ชั้น 1 Pacific plaza, MRT สถานี Orchard
[CR] Yummy Singapore :: 3 วัน 12 ร้าน 42 เมนู
รายละเอียดเจาะลึกในบางร้าน มีทยอยลงไว้ที่เพจสามารถติดตามกันได้นะคะ
https://www.facebook.com/esdydiary
ร้านที่ 1 : Labyrinth [12 เมนู]
ร้านนี้เป็น innovative food ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากอาหารท้องถิ่นของชาวสิงคโปร์
เราตัดสินใจจองร้านนี้ทันทีที่อ่านเจอเมนู "chili crab ice cream" ที่เป็น signature ของร้าน จินตนาการถึงรสชาติไม่ออกเลยจริงๆว่าจะออกมาเป็นยังไง
ทำการจองล่วงหน้าผ่าน chope.com ก่อนถึงวันที่จองจะมีเมล์จากทางร้านมาคอนเฟิร์มเวลา และรายละเอียดของทางร้าน โดยการแต่งกายกำหนดเป็น smart casual ค่ะ
อาหารทั้งหมดมี 10 เมนู รวมของหวาน โดยสามารถอัพเกรดเมนูได้ 2 เมนูคือ
เมนูแรกจากริซ๊อตโต้กุ้ง เป็นบะหมี่ซุปกุ้งกับไข่หอยเม่น [เพิ่ม 20$] >> เมนูนี้ควรอัพค่ะเพราะอร่อยกว่าเมนูเดิมมาก
ซุปก๋วยเตี๋ยวเป็นซุปข้นกุ้งที่เข้มข้น อร่อยมากๆ
เมนูที่สองจากสะเต๊ะเนื้อแบลคแองกัส เป็น ฮอกไกโด วากิว A4 [เพิ่ม 38$] >> ซอสและการตกแต่งจานจะเหมือนกัน ต่างกันแค่ชนิดของเนื้อค่ะ
เรากะน้องเลือกอัพกันคนละเมนูเพื่อจะได้ลองให้ครบทุกแบบ เลยได้มาทั้งหมด 12 เมนู
ตลอดระยะเวลาสองชั่วโมงในการเสริฟมื้อนี้ คำว่า "คิดได้ยังไงเนี่ย" น่าจะออกจากปากเรามากที่สุดเพราะ จากอาหารสิงคโปร์ธรรมดา เชฟก็เอามาพลิกแพลงเปลี่ยนรูปจนเราคาดไม่ถึง
bak chor mee ที่หน้าตาเหมือนบะหมี่เส้นแบนทั่วไป สร้างความประหลาดใจให้เราตั้งแต่คำแรก เพราะตัวเส้นเป็นเนื้อปลาหมึกเหนียวนุ่มหนึบดีจริงๆ ที่คล้ายหมูสับนั่นก็เป็น olive powder กับแองโชวี่ แถมด้วย Hokkaido scallop ชิ้นโตที่มาเป็นตัวแทนลูกชิ้นปลา ราดมาด้วยซีอิ้วรสชาติเปรี้ยวกับพริกเผาที่มีกลิ่นกุ้งแห้งนิดๆ อร่อยจนอยากขอชามใหญ่ๆเลยค่ะ
ปูผัดพริก : เป็นปูนิ่มทอดทานคู่กับไอศครีมรสซอสพริก ทานแยกจะรู้สึกแปลกๆ แต่พอทานรวมกันกลับเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ แถมจานนี้ตกแต่งเป็นทะเล มีฟองคลื่นสวยมาก
Kaya toast ที่เราเห็นขายอยู่ทั่วไปในสิงคโปร์นั้น เชฟเอาส่วนสังขยามาทำเป็นไอศครีมหอมหวานชื่นใจมาก ส่วนตัวขนมปังอบเนยก็กรอบหอมรวมกับรสเค็มของคาร์เวียร์ที่ท๊อปมาด้านบนด้วยแล้ว โอ๊ยยย เรารักจานนี้มาก
ข้อเสียคือเมนมีแต่เมนูเนื้อ สำหรับคนไม่ทานเนื้ออย่างเรา เลยได้แต่ชิ้มซอสแล้วส่งเนื้อให้น้องทาน
เบ็ดเสร็จมื้อนี้สองคนเช็คบิลออกมาที่ 355.45 $ เป็นมื้อที่แพงที่สุดในทริปเลยทีเดียวค่ะ
Opening hours
Lunch : 12.00pm - 2.30pm
Dinner : 6.00pm - 11.00 pm [last order 8.45 pm]
Location : ชั้น 2 , Esplanade Mall [สถานี Esplanade]
ร้านที่ 2 : Candlenut [12 เมนู]
Candlenut เป็นร้านอาหารเปอรานากันร้านแรกและร้านเดียวที่ได้ดาวมิชลิน
อาหารเปอรานากันคือการผสมผสานระหว่างอาหารจีนและอาหารมลายู หาทานได้แถวทางใต้ของบ้านเราอย่างภูเก็ต มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย
ร้านนี้อยู่ที่ Dempsey Hill ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รวมร้านอาหารและคาเฟ่ดังๆหลายร้านเลยค่ะ
เพื่อความไม่ประมาท ควรจองไปก่อนนะคะ จองได้ตามลิ้งนี้เลยค่ะ >> http://comodempsey.sg/restaurant/candlenut
เราจะได้เมล์คอนเฟิร์มหลังกรอกรายละเอียดการจอง รวมถึง 1 วันก่อนหน้าวันที่เราจองทางร้านจะโทรมาคอนเฟิร์มอีกครั้งค่ะ
ที่ candlenut มื้อเย็นเราสามารถเลือกสั่งได้ทั้งอลาคาร์ท หรือ โอมากาเสะ คอร์ส
แต่แค่เริ่มอ่านชื่อเมนูเราก็เลือกแบบโอมากาเสะในทันที เพราะชื่อแต่ละเมนูเป็นภาษาเฉพาะที่เราไม่คุ้นจริงๆค่ะ
โดยคอร์สนี้จะประกอบไปด้วย Appetizer 2 , ซุป 1, กับข้าว 7 ชนิด และข้าวหอมมะลิจากเมืองไทย ปิดท้ายด้วยของหวานอีก 2
ก่อนเสริฟทุกโต๊ะจะได้รับ complementary เป็นข้าวเกรียบปลา 1 ตะกร้า กับซอสที่ทำมาจากซีอิ้วหวานๆ ข้าวเกรียบนี่เหมือนที่อัมพวาเลยจร้าา
เมนูส่วนใหญ่มีพริกแกงเป็นส่วนประกอบ ค่อนข้างคล้ายกับอาหารไทยแต่มีความเข้มข้นและรุนแรงกว่า
ส่วนซิกเนเจอร์ของอาหารเปอรานากันที่มีส่วนประกอบของลูก Buan Keluak นั้นหน้าตาไม่น่ากินสุดในทุกจานที่เสริฟมา อิลูกบัวเคลอะ ที่ว่าเป็นเหมือนถั่วเปลือกหนาสีดำสนิทที่เอาไปดอง รสชาติขมขื่นมาก ไม่สามารถอธิบายเปรียบเทียบกับสิ่งใดได้ รู้แต่มันหนืดๆขื่นๆ ต้มมากับเนื้อแบลคแองกัสที่เปื่อยมาก เราลองไปหนึ่งคำถ้วนเท่านั้นแล้วก็ขอยกธงขาว
ของหวานทั้งหมดคือความดีงาม อย่างแรกเป็นน้ำแข็งใส ที่ตัวน้ำแข็งทำมาจากน้ำมะพร้าว ท๊อปด้วยเยลลี่สีขาวๆ กรุบๆคล้ายลูกตาลแก่
มีส้มจี๊ดน้ำผึ้งเป็นเดรสซิ่ง .... โอ้โห!! ถ้วยนี้สดใสซาบซ่ามาก หวานอมเปรี้ยว เย็นๆ เผลอแป๊บเดียววิดหมดชาม
ขนมจานสุดท้ายทำเราตกใจไม่น้อย เพราะมีเมนูแยกมาต่างหาก ประกอบไปด้วยขนม 5 ชนิด ทานคู่กับชาอัญชัญตะไคร้ร้อน
แต่พอมาเสริฟค่อยโล่งใจเพราะเป็นขนมชิ้นเล็กน่ารัก 4 แบบ ที่คล้ายกับขนมไทยอย่าง ข้าวเหนียวสังขยา ขนมต้ม ขนมหม้อแกงที่มีไส้ขนมใส่ไส้วางอยู่ด้านบน อีกอันเป็นบัตเตอร์เค้ก กับสาคูน้ำกะทิถ้วยเล็กที่กะทิหอมน้ำตาลมากๆ ขนมทั้งหมดหวานน้อยอร่อยกำลังดี
มื้อนี้สองคนโดนไป 277.75 $ อาหารค่อนข้างทานยาก แม้ว่าจะคล้ายกับอาหารบ้านเรา แต่เพราะความเข้มและแรงของเครื่องเทศทำให้โดยรวมไม่ถูกปากเท่าไหร่นัก
Opening hours
Lunch : 12:00pm – 3:00pm (Mom-Sun)
(Last seating 2:30PM)
Dinner : 6:00pm – 10:00pm (Sun-Thu)
(Last seating 9:30PM)
Location : Block 17A Dempsey Road, Singapore 249676
** เรียก Uber ไม่ต้องเดินไกลค่ะจาก orchard ประมาณ 5-7 $ **
ร้านที่ 3 : Tsuta [2 เมนู]
Tsuta ที่สาขาโตเกียวเป็นร้านราเมงเจ้าแรกของโลกที่ได้รับ 1 ดาวมิชลิน แต่ที่สิงคโปร์ร้านนี้อยู่ในลิส บิบ กูร์มองต์ [bib gourmand] หรือร้านอาหารคุณภาพในราคาย่อมเยาว์ของสิงคโปร์ ปี2017 ค่ะ
ร้านนี้มีที่นั่งรอบเค้าเตอร์แค่ 15 ที่ ปกติน่าจะคิวยาวเพราะที่หน้าร้านมีพื้นที่รอคิวแบบเป็นกิจลักษณะ แต่เราโชคดีที่ไปไม่ตรงมื้อชาวบ้านคนเลยโล่งค่ะ
เข้าร้านมาก็จะเจอตู้สั่งอัตโนมัติ ซึ่งจะมีพนักงานคอยช่วยแนะนำ การจ่ายสามารถใช้ได้ทั้งการ์ดและเงินสดค่ะ
ซิกเนเจอร์ของที่นี่คือ โซบะซุปโชยุ ซึ่งเราก็ไม่พลาดที่จะลอง และจัดเต็มมาทุกสิ่งอันในเมนู ชาชู อาจิทามะ โชยุ โซบะ สนนราคา 22.8 $
ของน้องเลือกเป็น ชาชู อาจิทามะ ชิโอะ โซบะ ราคา 22.8 $เท่ากันค่ะ
น้ำเปล่าอีกคนละขวดขวดละ 1 $ เรียบร้อยก็จะได้บิลกับใบออเดอร์มา เดินไปเลือกที่นั่งที่หน้าเค้าเตอร์
ใบออเดอร์พนักงานจะเก็บไปส่วนเราก็นั่งรอชมการทำโซบะค่ะ
ชิมซุปคำแรกต้องบอกเลยว่า "เค็ม" แอบรู้สึกผิดหวังเล็กๆ
โชยุซุบชามนี้จะมีทรัฟเฟิลออยใส่แปะลงมาให้ก้อนเท่าปลายนิ้ว คนให้ทรัฟเฟิลกระจายตัว แล้วชิมน้ำซุปใหม่อีกครั้ง ความหอมของทรัฟเฟิลออยจะเด่นมาก แม้รสชาติความเค็มยังคงอยู่ แต่เราก็ยังซดได้เรื่อยๆ
ชาชู4ชิ้นโต นุ่มมากมาแบบมีเดียมนิดๆ ที่เลิฟที่สุดคืออาจิทามะ หรือไข่ต้มที่รสชาติเข้มข้นซึมเข้าไปถึงไข่แดงเยิ้มๆ เส้นค่อนไปทางนิ่ม มีต้นหอมญี่ปุ่นกับหน่อไม้มาช่วยตัดความเลี่ยน
อีกชามที่เป็นชิโอะซุปไม่มีทรัฟเฟิลออยมาเลยไม่หอมเท่าโชยุซุป เครื่องต่างๆสามารถแอดเพิ่มได้ตั้งแต่ตอนกดตู้ แต่สำหรับเราแค่นี้ก็เยอะมากแล้วค่ะ
Opening hours : 11.00 am - 10.00 pm
Location : 9 Scotts Road, #01-01, Pacific Plaza, Singapore 228210
ชั้น 1 Pacific plaza, MRT สถานี Orchard