⚘💗~มาลาริน~เห็นด้วยค่ะ..โพลเผยคนจนมีความสุขมากกว่าคนรวยทุกด้าน เว้นเรื่องเงิน ตัวอย่างในสังคมตอนนี้ก็พอบอกได้

กระทู้คำถาม


ซูเปอร์โพล สำรวจความสุขชุมชนคนไทย พบคนจนมีความสุขมากกว่าคนรวยในเกือบทุกด้าน ยกเว้นเรื่องเงิน  ส่วนคนชั้นกลางมีความสุขน้อยที่สุดในเกือบทุกด้าน

11 มี.ค. 2561 นายนพดล  กรรณิกา ผู้อำนวยการ สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) มูลนิธิ สถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ เปิดเผยผลสำรวจ เรื่อง ความสุขชุมชน กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพ จำนวนทั้งสิ้น 1,114  ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่าง วันที่ 1 – 10 มีนาคม พ.ศ. 2561  ที่ผ่านมา พบว่า

ส่วนใหญ่หรือ 98.1% ภูมิใจมากที่ได้อยู่บนผืนแผ่นดินไทย เมื่อจำแนกตามระดับรายได้ น้อย รายได้ปานกลาง และรายได้มาก พบว่า ผู้มีรายได้น้อยกลับมีความภูมิใจที่ได้อยู่บนผืนแผ่นดินไทยมากที่สุดคือ 98.7% รองลงมาคือ ผู้มีรายได้ปานกลาง 96.5% และผู้มีรายได้มาก 97.4% ที่ภูมิใจได้อยู่บนผืนแผ่นดินไทย ตามลำดับ

ที่น่าพิจารณาคือ ค่าคะแนนเฉลี่ยความสุขตอบโจทย์ความสุขชุมชน เมื่อคะแนนเต็ม 10 คะแนน จำแนกตามระดับรายได้ พบว่า ผู้มีรายได้น้อยกลับมีความสุขสูงสุดในเกือบทุกตัวชี้วัดความสุขชุมชนยกเว้นเรื่องเงินในกระเป๋าของตนเองที่เมื่อนึกถึงแล้วมีความสุขต่ำสุดโดยพบว่า ผู้มีรายได้น้อยมีค่าคะแนนเฉลี่ยความสุขสูงที่สุดอยู่ที่ 9.26 คะแนนที่ได้เห็นคนไทยเป็นหนึ่งเดียวกันแสดงความจงรักภักดี ทำความดีถวายในหลวง เช่น เป็นคนดี มีวินัย ปกป้องการล่วงละเมิดสถาบัน ใช้ชีวิตพอเพียง ทำหน้าที่ มีจิตอาสา ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีน้ำใจ สู้ปัญหาชีวิต ไม่ท้อ ไม่โกง เป็นต้น สูงกว่าผู้มีรายได้มาก 9.12 คะแนนและ ผู้มีรายได้ปานกลาง 8.95 คะแนน

ด้านความสุขในครอบครัว ผู้มีรายได้น้อยอยู่ที่ 8.65 คนรายได้ปานกลางอยู่ที่ 8.39 คนรายได้มากอยู่ที่ 8.48 ด้านความสุขต่อวัฒนธรรม งานบุญ งานบวช คนรายได้น้อยมีความสุขอยู่ที่ 8.33 คนรายได้ปานกลางอยู่ที่ 7.81 และคนรายได้มากอยู่ที่ 8.23 ด้านความสุขที่เห็นคนไทยรักกัน ช่วยเหลือเกื้อกุลกัน คนรายได้น้อยมีความสุขอยู่ที่ 7.89 คนรายได้ปานกลางอยู่ที่ 7.63 และคนรายได้มากอยู่ที่ 7.83

นอกจากนี้ ด้านความสุขในชุมชนที่พักอาศัย คนรายได้น้อยมีความสุขอยู่ที่ 7.58 คนรายได้ปานกลางอยู่ที่ 7.20 และคนรายได้มากอยู่ที่ 7.30 ด้านความสุขเมื่อได้ช่วยกันรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คนรายได้น้อยมีความสุขอยู่ที่ 7.20 คนรายได้ปานกลางอยู่ที่ 6.28 และคนรายได้มากอยู่ที่ 6.91

ที่น่าเป็นห่วงคือ ความสุขชุมชนใน 3 มิติ ได้แก่ ด้านความปลอดภัยนอกบ้าน พบว่า คนรายได้น้อยมีความสุขอยู่ที่ 6.56 คนรายได้ปานกลางอยู่ที่ 5.93 และคนรายได้มาก อยู่ที่ 5.98 ด้านความสุขเมื่อนึกถึงสถานการณ์การเมือง คนรายได้น้อยมีความสุขอยู่ที่ 5.22 คนรายได้ปานกลางอยู่ที่ 4.60 และคนรายได้มากอยู่ที่ 4.81  และด้านความสุขเมื่อนึกถึงเงินในกระเป๋าของตนเอง พบว่า คนรายได้น้อยมีความสุขต่ำสุดคือ 5.21 คนรายได้ปานกลางอยู่ที่ 5.49 และคนรายได้มากมีความสุขอยู่ที่ 6.23

http://www.thaipost.net/main/detail/4713





   “…เก็บผักเก็บปลากิน ปลูกพืชสวนครัวไว้กินเองบ้าง ปลูกไม้ผลไว้หลังบ้าน 2-3 ต้น พอที่จะมีไว้กินเองในครัวเรือน เหลือจึงนำไปขาย ไม่ฟุ่มเฟือยไปซื้อของแพงๆ มาใช้…”



                พระราชดำรัส ตอนหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสไว้ เพื่อกระตุ้นให้คนไทยรู้จักใช้ชีวิตแบบพอเพียง รู้จักกินรู้จักใช้ ที่สำคัญพระองค์ทรงอยากให้คนไทย นำสิ่งนี้ไปปฏิบัติจนเป็นนิสัย เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2540


  โดย “การใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด” เป็นแนวทางหนึ่งที่พระองค์ท่านทรงห่วงใย และตรัสอยู่เสมอว่า บ้านเมืองของเรานั้นเป็นสังคมเกษตรกรรมไม่ใช่สังคมอุตสาหกรรม ให้ใช้ทรัพยากรฯ เหล่านั้นอย่างคุ้มค่าอย่าฟุ่มเฟือย อย่าลืมสิ่งที่บรรพบุรุษของเราหวงแหนปกป้องผืนแผ่นดินมาอย่างอยากลำบาก อย่าเห็นแก่ความร่ำรวย จนนำที่ดินทำมาหากินขายเพื่อที่จะถมที่สร้างเป็นโรงงานอุตสาหกรรม ถ้าคนไทยยังเห็นแก่ความร่ำรวยที่ฉาบฉวยประเทศของเราคงสิ้นที่ดินทำมาหากิน จากเมืองอู่ข้าวอู่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ กลับกลายเป็นว่าเราต้องซื้อของกินจากต่างประเทศคงเป็นแน่!!


               ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่ “ในหลวง” ท่านทรงสอนในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง ก็เพื่อต้องการให้คนไทยรู้จักที่จะดำเนินชีวิตในสังคมด้วยความสามารถที่จะอุ้มชูตัวเองได้ โดยที่ตัวเองและคนอื่นนั้นไม่เดือนร้อน... อีกทั้งต้องดูแลตัวเองและครอบครัวให้มีความพอมี พอกิน พอใช้ ไม่หวังที่จะร่ำรวยแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่จำกัดเฉพาะเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนาเพียงเท่านั้น แต่เป็นเศรษฐกิจพอเพียงของทุก อาชีพ ที่อยู่ในเมืองและอยู่ชนบท...

               ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2541 ที่ว่า

                “...ให้พอเพียงก็หมายความว่า มีกิน มีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้แต่ว่าพอ แม้บางอย่างอาจจะดูฟุ่มเฟือย แต่ถ้าทำให้มีความสุข ถ้าทำได้ก็สมควรที่จะทำ สมควรที่จะปฏิบัติ…”

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้




เป็น'คนจน' ดีกว่าเป็น'คนรวย' อย่างไร


โดย....ผศ.ดร.มงคลชัย วิริยะพินิจ

คนรวยส่วนใหญ่มักเป็นที่อิจฉาของคนจน
แต่หารู้ไหมว่าคนจนนั้นน่าจะดีใจได้บ้างที่ตนเกิดมายากจน และถ้าอยากคิดอยากจะอิจฉากันจริง ๆ
ควรจะไปอิจฉาคนจนด้วยกันที่มีความสุขเสียดีกว่า

เพราะการเป็นคนรวยนั้น มิได้นำมาซึ่งความสุขได้ง่าย ๆ อย่างที่คิด
คนที่ร่ำรวยนั้นบางทีการได้รับประทานอาหารที่มีราคาแพง หรือมีรถยนต์ดี ๆ ราคาแพงขับก็ไม่ได้ทำให้เขาเหล่านั้นรู้สึกมีความสุขได้

เพราะการมีกินมีใช้นั้นถือเป็นเรื่องที่คนรวยเคยชิน แต่สิ่งที่ทำให้คนรวยมีความสุขคือการมียศถาบรรดาศักดิ์ และการได้รับคำสรรเสริญเยินยอ การมีชื่อเสียงที่ดี สิ่งเหล่านี้จะเป็นเครื่องช่วยให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทอง กล่าวคือ คนรวยก็ยังอยากรวยอยู่เรื่อย ๆ เพื่อรักษาความเป็นคนรวยต่อไป เพื่อรักษาเกียรติชื่อเสียง และคำสรรเสริญเยินยอที่ยังอยากได้ยินอยู่เรื่อย ๆ


ในทางตรงกันข้ามที่คนจนนั้น ถึงแม้จะดูแล้วชีวิตไม่น่าอภิรมย์อย่างคนรวย

แต่ด้วยสภาวะความที่เป็นคนที่ยากจนก็ทำให้ต้องกินอยู่อย่างพอเพียง เมื่อมีกินก็มีสุข แต่เมื่อไม่มีกินก็ทุกข์ ความสุขหรือทุกข์อยู่ในการมีกินกับไม่มีกินถามว่าการไม่มีกินเป็นความทุกข์หรือไม่ก็เป็น

แต่ถ้ามาชั่งน้ำหนักกับความพยายามที่คนรวยจะต้องรักษาเกียรติรักษาชื่อเสียง รักษาความรวย รักษาความมีหน้ามีตาในสังคม อันนี้อาจจะเป็นน้ำหนักของความทุกข์ที่มากกว่าเมื่อคนจนนั้นไม่มีกินก็เพียงแต่ไปทำมาหากิน ซึ่งก็เป็นทางแก้ทุกข์ที่ตรงไปตรงมา

ในขณะที่คนรวยนั้นมีการศึกษาดีมีหน้าตาทางสังคมที่ดี

แต่บางครั้งอาจไม่มีวิธีแก้ไขปัญหาความทุกข์ได้อย่างตรงไปตรงมาเหมือนคนจน เพราะการจะอาศัยอยู่ในสังคมด้วยภาพลักษณ์ที่ดีและประสบความสำเร็จ มิใช่แค่ทำมาหากินไปวัน ๆ เหมือนคนจน

แต่ต้องคิดต้องวางแผน ต้องคาดการณ์ ต้องระแวงต้องระวังอะไรต่าง ๆ มากมาย และด้วยความที่ต้องทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อรักษาความรวยและภาพลักษณ์ที่ดีก็เป็นเหตุให้จิตใจคนรวยคิดปรุงแต่งฟุ้งซ่านไปสารพัดจนไม่สามารถหยุดคิดได้

เพราะสิ่งที่เรียกกันว่า "ความสุข"ของคนรวยนั้น มันเป็นอะไรที่ซับซ้อนกว่าคนจนเหลือเกินที่ขอแค่มีข้าวกินมีเงินรักษาโรคยามเจ็บป่วยเพียงเท่านี้อันเป็นสิ่งที่ไม่ซับซ้อนและสามารถสร้างความสุขใจได้ โดยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแบกเอาหน้าตาทางสังคมให้คงไว้

การแบกหน้าตาทางสังคมนั้นเป็นการแบกที่หนักมากกว่าการแบกท้องประทังหิวไปวัน ๆ

เพราะการมีหน้าตาทางสังคมที่ดีนั้นหมายถึงทุกอย่างที่ปรากฏต่อสายตาคนอื่น ๆ

ต้องออกมาดูดี แต่คนเรานั้นก็เป็นปุถุชนคนหนึ่ง ๆ ที่มีสิ่งที่อยากทำ และไม่อยากทำ คนรวยหลายต่อหลายคนอยากทำในสิ่งที่อยากทำ แต่ทำไม่ได้เพราะเกรงว่าจะเสื่อมเสียต่อหน้าตาทางสังคม

ในทางตรงกันข้ามเกิดเป็นคนจนจะคิดจะทำอะไรจะอยากทำก็ใคร่ทำ (ยกเว้นเสียแต่ว่าสิ่งที่ใคร่อยากทำนั้นจะนำมาซึ่งความเดือดร้อนให้ผู้อื่น หรือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย) เพราะมิได้เป็นที่สนใจของสื่อมวลชน หรือคนอื่น ๆ เท่าใดนัก อาทิ ลูกคนจนทำความผิดมหันต์ต้องขึ้นโรงพัก ถ้าเป็นคดีรุนแรงก็อาจจะเป็นข่าวสักวันสองวัน

แต่ถ้าเป็นคดีเดียวกันแต่ก่อขึ้นโดยลูกของคนมีสตางค์มีชื่อเสียง ก็จะกลายเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมาทีเดียว

.......

สุดท้ายนี้ มิได้ต้องการสื่อว่าทุกคนควรจะต้องเป็นคนจน หรือคนรวยทุกคนต้องมีความทุกข์ แต่บทความนี้พยายามจะสื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นว่าไม่ว่าท่านจะอยู่ในฐานะใดท่านก็สามารถมีความสุขได้ ด้วยเหตุผลที่ว่า

เกิดเป็นมนุษย์เราแท้จริงก็เพียงแต่มีหน้าที่ดูแลรักษากายและใจให้เป็นสุข ซึ่งกายและใจที่เป็นสุขนั้นมิจำเป็นจะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ๆ เสมอไป


http://library.acc.chula.ac.th/PageController.php?page=FindInformation/ArticleACC/2554/Mongkolchai/Pachachat/P2606111











สรุปว่า...ความสุขไม่ต้องใช้เงินมากมายก็มีความสุขได้....
miniheartminiheartminiheartminiheartminiheart


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่