"Tomb Raider (2018)" = 7.5/10
"หนังจากเกมส์มักจะห่วย?
แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้! อาจไม่ถึงกับดีเลิศ
แต่มันดีมากพอที่จะจ่ายค่าตั๋วเข้าโรงแน่ๆ"
- ชอบการนำเสนอความเป็น Feminism ในตัว Lara Croft คนนี้มาก
มันไม่ใช่ Feminist สุดโต่งแบบหนังบางเรื่อง ที่เอะอะก็สาวแกร่งๆห้าวๆ ไร้ความกลัว อะไรๆก็สิทธิสตรี (ซึ่งส่วนตัวรู้สึกว่ามันเป็นความ Feminist ที่บางเบา) แต่มันทำให้ตัวละครมีทั้งความกลัว ความอ่อนแอ อ่อนหวาน ไม่มั่นคง ผสมกับความแกร่งและความเป็นนักสู้เข้าด้วยกัน
มันเลยเป็น Lara ที่มีการพัฒนาและมีมิติมากกว่าครั้งก่อน เป็น Lara ที่เราเชื่อได้ เราเข้าใจ และจับต้องได้ ว่าเธอคือสาวแกร่งที่ก็เป็นมนุษย์เพศแม่คนนึงนะ มีอัตตา มีอีโก้ แต่ก็มีอะไรที่อ่อนนุ่มและยืดหยุ่นได้อยู่ข้างใน
และที่ชอบคือ Lara คนนี้เหมือนตบหน้าผช.สายหื่น ที่ชอบติและมีภาพจำว่า Lara "ต้องอกตู้ม"
เพราะหนังทำ Lara คนนี้ให้ออกมาไม่ใช่ Sex Symbol แต่ทำออกมาดูมี Value และมีสเนห์ในแบบของตัวเอง
ผมเลยรู้สึกว่ามันไม่ใช่ Feminist by Strong
แต่มันคือ "Feminist by Respect"
- ดูแล้วรู้สึกได้ว่ามันเป็นหนังจากเกมส์ที่เขาตั้งใจทำ ตั้งใจคิดมาพอสมควรแล้วจริงๆ
เพราะการรวบเนื้อหาจากเกมส์ 2 ภาค (ที่ภาคนึงก็ความยาวเป็น 10 ชม.) ให้ออกมาอยู่ในหนังความยาวไม่ถึง 2 ชม.ได้ว่ายากแล้ว แถมต้องทำให้คนทั่วไปดูสนุก เข้าถึง ไหนจะต้องเอาใจแฟนเกมส์อีก ซึ่งเรื่องนี้ทำได้ดี ถึงไม่ดีมาก แต่ไม่ห่วยแน่นอน เรารู้แหละว่ามันต้อง"แปลง"เนื้อหาจากเกมส์มาแน่นอน ในเมื่อมันเป็นของแปลง เลยไม่ได้คาดหวังว่าต้องมีมากมีน้อย ต้องเหมือนเกมส์แค่ไหน ขอแค่ดูในฐานะ"หนัง"เรื่องนึงแล้วมันเหมาะสม เข้าใจได้ก็โอเคแล้ว
- ฉากแอคชั่น หนีตาย เอาตัวรอดทำได้ดี
หลายซีนเล่นเอาคนดูเหนื่อยไปด้วยเลยเหมือนกัน บางชอตดูไม่รู้เรื่อง แต่เป็นชอตไม่รู้เรื่องที่ดี เพราะเขาไม่ได้ใช้ชอตแบบนั้นพร่ำเพรื่อ คือดูแล้วเข้าใจว่าผกก.ต้องการให้คนดูรู้สึก Panic สติแตก โฟกัสไม่ถูกเหมือนตัวละครที่กำลังShipHighอยู่ในเรื่องนั่นแหละ
- หนังเดินตามสูตร คาดเดาอะไรได้ไม่ยาก และไม่ซับซ้อน
มีหลายจุดที่ยังเกิดคำถาม (คิดว่าน่าจะรอตอบในภาคต่อ) และแน่นอนตามสไตล์หนังสร้างจากเกมส์ คือความ Nonsense จะถูกพบเห็นได้ทั่วไป แต่ไม่ได้มากจนเกินงามนะ คือรวมๆแล้วไม่ทำให้หนังหลุดโทน
คือโอเคเลยล่ะ ลองไปดูเถอะ จบครับบ!
- Nark!n's Review -
ส่วนตรงนี้คือการตีความฉากที่ผมชอบเป็นการส่วนตัวครับ **ยังไม่ดูอย่าเพิ่งอ่านนะครับ!**
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้- "พ่อคะ.. หนูบาดเจ็บ" (ฉากเจอพ่อในถ้ำ) -
อย่างที่เราเห็นกันว่าลาร่าเป็นสาวแกร่ง ทะนงตน มีทุกอย่างแต่ไม่พึ่งพาสักอย่าง(ที่มีพร้อมอยู่แล้ว)
แต่เธอขาดสิ่งเดียวที่เป็นทุกอย่างของเธอ ก็คือพ่อ เธอเลยสร้างกำแพงสาวแกร่งขึ้นมา
เพื่อคลุมส่วนที่โหวงเหวงในใจของตัวเอง รวมถึงที่ไม่เซ็นรับมรดกจากพ่อ
จนกว่าจะพิสูจน์การตายของพ่อเธอได้จริงๆ และจะไม่ยอมรับมรดกต่อเพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอสร้างเอง
(อีกนัยหนึ่งก็คือยังยอมรับการจากไปของพ่อไม่ได้ด้วย)
เธอใช้กำแพงเดียวกันนี่แหละพาตัวเองมาจุดนี้
จุดที่เธอต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายที่ทำให้เธอเกือบเอาชีวิตไม่รอด
จะเห็นได้ว่าหนังค่อยๆพรากกำแพงสาวแกร่งของเธอออกทีละนิด
คลื่นทุกสายที่กดให้จม กระสุนปืนทุกนัดที่วิ่งผ่าน กิ่งไม้ทุกก้านที่ทิ่มแทงเธอ
หรือลมหายใจคนอื่นที่เธอจำเป็นต้องพรากมันมาเพื่อความอยู่รอด
สิ่งเหล่านี้มันค่อยๆปลอกเปลือกกำแพงสาวแกร่งของเธอออกไป
จนถึงวินาทีที่กำแพงนั้นพาเธอมาเจอสิ่งที่ตามหา(พ่อ)
ถึงตอนนั้นกำแพงที่ใกล้จะพังจากบาดแผล ความเหนื่อยล้า ความเจ็บปวด และความกลัว
ถูกรื้อถอนออกไปในที่สุด โดยสิ่งที่เธอใช้กำแพงนั้นตามหา
"พ่อคะ หนูบาดเจ็บ" ประโยคสั้นๆในฉากนี้จึงเป็นการทลายกำแพงของเธอ
จากสาวแกร่ง กลายเป็นเด็กผู้หญิงที่ร้องไห้หาพ่อหลังถูกเสี้ยนตำนิ้วมือ
เธอจึงได้เข้าใจว่า "ความแข็งแกร่ง" ไม่ใช่แค่เธอแกร่งได้แค่ไหน
แต่คือการที่เธอให้ความแกร่ง อยู่ร่วมกับความอ่อนแอข้างในได้ดีแค่ไหน
"เพราะจริงๆแล้ว.. เธอไม่ได้ตามหาคนที่ทำให้กำแพงของเธอหนาแน่นขึ้น..
แต่เธอกำลังหาคนที่ทำให้เธอกล้าพลิกกำแพงอีกด้านให้ดูมากกว่า"
Tomb Raider (2018) "หนังจากเกมส์=ห่วย?" (Nark!n's Review) *Non Spoiler*
"หนังจากเกมส์มักจะห่วย?
แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้! อาจไม่ถึงกับดีเลิศ
แต่มันดีมากพอที่จะจ่ายค่าตั๋วเข้าโรงแน่ๆ"
- ชอบการนำเสนอความเป็น Feminism ในตัว Lara Croft คนนี้มาก
มันไม่ใช่ Feminist สุดโต่งแบบหนังบางเรื่อง ที่เอะอะก็สาวแกร่งๆห้าวๆ ไร้ความกลัว อะไรๆก็สิทธิสตรี (ซึ่งส่วนตัวรู้สึกว่ามันเป็นความ Feminist ที่บางเบา) แต่มันทำให้ตัวละครมีทั้งความกลัว ความอ่อนแอ อ่อนหวาน ไม่มั่นคง ผสมกับความแกร่งและความเป็นนักสู้เข้าด้วยกัน
มันเลยเป็น Lara ที่มีการพัฒนาและมีมิติมากกว่าครั้งก่อน เป็น Lara ที่เราเชื่อได้ เราเข้าใจ และจับต้องได้ ว่าเธอคือสาวแกร่งที่ก็เป็นมนุษย์เพศแม่คนนึงนะ มีอัตตา มีอีโก้ แต่ก็มีอะไรที่อ่อนนุ่มและยืดหยุ่นได้อยู่ข้างใน
และที่ชอบคือ Lara คนนี้เหมือนตบหน้าผช.สายหื่น ที่ชอบติและมีภาพจำว่า Lara "ต้องอกตู้ม"
เพราะหนังทำ Lara คนนี้ให้ออกมาไม่ใช่ Sex Symbol แต่ทำออกมาดูมี Value และมีสเนห์ในแบบของตัวเอง
ผมเลยรู้สึกว่ามันไม่ใช่ Feminist by Strong
แต่มันคือ "Feminist by Respect"
- ดูแล้วรู้สึกได้ว่ามันเป็นหนังจากเกมส์ที่เขาตั้งใจทำ ตั้งใจคิดมาพอสมควรแล้วจริงๆ
เพราะการรวบเนื้อหาจากเกมส์ 2 ภาค (ที่ภาคนึงก็ความยาวเป็น 10 ชม.) ให้ออกมาอยู่ในหนังความยาวไม่ถึง 2 ชม.ได้ว่ายากแล้ว แถมต้องทำให้คนทั่วไปดูสนุก เข้าถึง ไหนจะต้องเอาใจแฟนเกมส์อีก ซึ่งเรื่องนี้ทำได้ดี ถึงไม่ดีมาก แต่ไม่ห่วยแน่นอน เรารู้แหละว่ามันต้อง"แปลง"เนื้อหาจากเกมส์มาแน่นอน ในเมื่อมันเป็นของแปลง เลยไม่ได้คาดหวังว่าต้องมีมากมีน้อย ต้องเหมือนเกมส์แค่ไหน ขอแค่ดูในฐานะ"หนัง"เรื่องนึงแล้วมันเหมาะสม เข้าใจได้ก็โอเคแล้ว
- ฉากแอคชั่น หนีตาย เอาตัวรอดทำได้ดี
หลายซีนเล่นเอาคนดูเหนื่อยไปด้วยเลยเหมือนกัน บางชอตดูไม่รู้เรื่อง แต่เป็นชอตไม่รู้เรื่องที่ดี เพราะเขาไม่ได้ใช้ชอตแบบนั้นพร่ำเพรื่อ คือดูแล้วเข้าใจว่าผกก.ต้องการให้คนดูรู้สึก Panic สติแตก โฟกัสไม่ถูกเหมือนตัวละครที่กำลังShipHighอยู่ในเรื่องนั่นแหละ
- หนังเดินตามสูตร คาดเดาอะไรได้ไม่ยาก และไม่ซับซ้อน
มีหลายจุดที่ยังเกิดคำถาม (คิดว่าน่าจะรอตอบในภาคต่อ) และแน่นอนตามสไตล์หนังสร้างจากเกมส์ คือความ Nonsense จะถูกพบเห็นได้ทั่วไป แต่ไม่ได้มากจนเกินงามนะ คือรวมๆแล้วไม่ทำให้หนังหลุดโทน
คือโอเคเลยล่ะ ลองไปดูเถอะ จบครับบ!
- Nark!n's Review -
ส่วนตรงนี้คือการตีความฉากที่ผมชอบเป็นการส่วนตัวครับ **ยังไม่ดูอย่าเพิ่งอ่านนะครับ!**
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้