ก่อนจะเล่าเรื่องราวของ Arthur Wellesley ต่อขอกล่าวถึงเหตุการณ์ในสเปนสักนิดหน่อยก่อน หลังจากความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องทั้งใน โปรตุเกสและสเปน สิ่งเหล่านี้สร้างความประหลาดใจให้ นโปเลียน เป็นอย่างยิ่ง กองทัพอันเกรียงไกรของเขาไม่เคยพ่ายแพ้ใครมาก่อนแต่กลับมาพ่ายแพ้แก่กองโจรกระจอกๆในสเปน .... และมันยังทำให้ภาพพจน์อันไร้เทียมทานของฝรั่งเศสถูกสั่นคลอน นโปเลียนเลยยกทัพเข้ามาใน สเปนด้วยตัวเอง ไม่มีกองทัพ สเปน กองใดหยุดกองทัพ นโปเลียน ได้ นโปเลียนเข้ากรุง มาดริดพร้อมทหาร 80,000 นาย ในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 1808 และ โจเซฟ พี่ชายของเขาได้กลับมาเป็นกษัตริย์ของสเปนอีกครั้ง เหล่า Junta (คือพวกคณะนายทหารหรือนักการเมือง สเปน ที่ตั้งขึ้นในช่วงสงครามคาบสมุทร) หนีออกจาก กรุงมาดริดกันเจ้าละหวั่น ถึงแม้การมาของ นโปเลียนจะทำให้สถานการณ์ในคาบสมุทรดูเปลี่ยนแปลง กองทัพฝรั่งเศสกลับมากำชัยอีกครั้ง แต่ไม่นานนัก ออสเตรีย ก็ประกาศสงครามกับฝรั่งเศสอีกครั้ง เกิด สงครามสัมพันธมิตรครั้งที่ 5 ขึ้น นโปเลียนจำต้องเดินทางกลับไปทำศึก กับออสเตรียแต่ก็ยังคงทิ้งทหารบางส่วนไว้ใน สเปน
ทางฝ่ายอังกฤษนั้น ผู้บัญชาการกองทัพอังกฤษในโปรตุเกส Sir John Moore นั้นมีแผนจะส่งกองทัพของเขาเข้าไปใน สเปน เพื่อช่วยเหลือพวกเขาต่อสู้กับ นโปเลียน แต่กองทัพของฝรั่งเศสนั้นใหญ่โตกว่ามาก เขาได้สู้รบกับกองทัพของฝรั่งเศสครั้งใหญ่ในแถบตอนเหนือของสเปนที่ Corunna กับ จอมพล Jean-de-Dieu Soult แห่งฝรั่งเศส ผลการรบนั้นคือ อังกฤษพ่ายแพ้และถูกผลักดันกลับเข้าไปในโปรตุเกส อีกทั้ง Sir John Moore ยังเสียชีวิตในการรบอีกด้วย ทางโปรตุเกสนั้นได้ร้องขอ ผู้บัญชาการกองทัพผสมอังกฤษ – โปรตุเกสคนใหม่ และรัฐบาลของพวกเขายังเสนอชื่อ Arthur Wellesley ก็ได้กลับไปบัญชาการกองทัพผสมอังกฤษ – โปรตุเกสใน Lisbon ที่มีจำนวน 23,000 นาย อีกครั้ง เขาเดินทางมาถึง Lisbon ในวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1809 และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากบรรดาชาวโปรตุเกส สถานการณ์ในช่วงนี้ของ สเปนค่อนข้างย่ำแย่พอควร กองทัพของจอมพล Soult นั้นอยู่ทางเหนือของ โปรตุเกสและมีจำนวน 20,000 นาย ในขณะที่ จอมพล Claude Victor-Perrin แห่ง จักรวรรดิฝรั่งเศสอีกคนที่มีกำลังพลอีก 30,000 นาย ก็เพิ่งเอาชนะสเปนได้และผลักดันให้พวกเขาเข้ามาใกล้พรมแดนโปรตุเกส Arthur ตัดสินใจจัดการกับ Soult ก่อน เขาออกเดินทางไปในวันที่ 27 เมษายน ด้วยกำลังเพิ่มเติมทั้งสิ้น 37,000 นาย กว่าครึ่งเป็น ชาวโปรตุเกส และได้สั่งให้นายพล William Beresford นายพลอังกฤษซึ่งบัญชาการกองทัพโปรตุเกส ตรึงกำลังของ Victor เอาไว้ ...... ดูเหมือนว่า Soult จะโดนสงครามกองโจรสเปนเล่นงานเข้าให้ กองทัพของ Soult นั้นต้องกระจายกำลังกันจัดการกับกองโจรทำให้เขาเหลือทหารหมื่นนายเท่านั้น และเมื่อทราบว่ากองทัพของ อังกฤษมาถึง ในวันที่ 10 เมษายน เขาก็ถอยกรูดออกจากตอนเหนือของ โปรตุเกส อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในวันที่ 19 ของเดือนเดียวกัน Arthur นั้นมีแผนการจะรุกเข้าไปในสเปนต่อเนื่องพวก Junta ในสเปนนั้นจะยอมร่วมมือและส่งทหารเขาสนับสนุน Arthur อย่างเต็มที่ Arthur จึงได้จัดกองทัพขึ้นใหม่ โดยให้ จอมพล Beresford อยู่เฝ้า โปรตุเกส ในขณะที่ Arthur นั้น รุกเข้าไปใน สเปนอย่างว่องไว โดยทหารอังกฤษ 20,000 นาย และได้สนธิกำลังกับนายพลสเปน Cuesta 33,000 นาย เคลื่อนทัพเข้าเข้าสู่หมู่บ้าน Tagus ซึ่งอยู่ห่างจาก Madrid เพียง 120 ไมล์ทางใต้เท่านั้น ..และไปที่ตำบล Talavera ต่อในวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 1809 ทางฝรั่งเศสนั้นรวบรวมผลใหม่ โดยมีทหารทั้งสิ้น 46,000 นาย และปืนใหญ่ 80 กระบอก ภายใต้การนำของ พระเจ้า Joseph I แห่ง สเปน และจอมพล Claude Victor และ ที่ปรึกษาส่วนตัวของกษัตริย์จอมพล Jean-Baptiste Jourdan..วีรบุรุษในช่วงสงครามปฎิวัติฝรั่งเศสอีกด้วย
หากสรุปกองกำลังทั้ง 2 ฝ่ายอย่างละเอียดจะมีดังนี้
กองทัพอังกฤษบัญชาการโดย นายพล Arthur Wellesley มี ทหารราบ 4 กองพล รวมถึงมีทหาร King’s German 2 กรมอีกด้วย และทหารม้า 3 กองพลน้อย เป็นทหารม้าหนัก 1 กองพลน้อยจำนวน 1,100 นาย และทหารม้าเบา 2 กองพลน้อย จำนวน 1,900 นาย รวมถึงปืนใหญ่อีก 30 กระบอก รวมกำลังพลทั้งสิ้น 20,641 นาย
กองทัพสเปน ของนายพล Cuesta มีจำนวนทั้งสิ้น 5 กองพลทหารราบ จำนวนทั้งสิ้น 28,000 นาย และ 2 กองพลทหารม้าอีก 6,000 นาย รวมปืนใหญ่ 30 กระบอก รวมทั้งหมด 35,000 นาย
สรุปแล้วกำลังผสม อังกฤษ – สเปนจะมีทั้งหมด 55,641 นาย และปืนใหญ่ 60 กระบอก
ฝั่งกองทัพฝรั่งเศส มี Corps ที่ 1 และ 4 (Corps นั้นใหญ่กว่ากองพลแต่เล็กกว่ากองทัพ) ทหารราบ 37,700 นาย ทหารม้า 8,000 นาย และปืนใหญ่อีก 80 กระบอก
การยุทธแห่ง Talavera
ในช่วงวันที่ 27 กรกฎาคม กองทัพอังกฤษนั้นกำลังข้ามแม่น้ำ Alberche แต่แล้วพันธมิตร สเปนของพวกเขาที่อยู่ทางปีกขวาก็ถูก โจมตีด้วยกองทหารม้าของฝรั่งเศสอย่างรุนแรงจนถอยร่นกลับ... Arthur นั้นรีบสั่งให้ ทหารม้าของเขา เขาชาร์จทหารม้าฝรั่งเศสเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ แต่ด้วยความสับสนในคำสั่งปรากฎว่ากรมทหารม้าของอังกฤษดันถอยกลับดื้อๆ ทำเอาทหารม้าฝรั่งเศส ไล่ฆ่าฟาดฟันเหล่าทหารม้าอังกฤษจนล้มตายไปกว่า 400 นาย ..... กองทัพ Arthur ถอยกลับไปตั้งหลักที่ บริเวณ Talavare อีกครั้ง .. การต่อสู้ยังดำเนินต่อไปถึงตอนกลางคืนเมื่อกองทัพ Victor จอมพลฝรั่งเศส ได้สั่งให้ กองพลทหารราบเข้ายึดเนินของอังกฤษที่ตั้งมั่นอยู่ที่ Medellín ...แต่ ทหาร ถึง 2 กรมของฝรั่งเศสนั้นเดินหลงไปในความมืด แต่ทหาร กรมทหารราบ King’s German Legion นั้นได้ต่อสู้กับทหารราบฝรั่งเศสอย่างดุเดือด จนกระทั่งสามารถผลักดันทหารราบฝรั่งเศสลงจากเนินไปได้ ในขณะเดียวกันทหารอังกฤษก็สูญเสียถึง 800 นาย ส่วนทางสเปนที่อยู่ปีกขวานั้น ก็โดนโจมตีอย่างหนักหน่วงด้วยทหารม้า Dragoon ของฝรั่งเศส ซึ่งใช้วิธิยิงแล้วหนี หรือ Hit And Run เมื่อ ทหารสเปนจะยิงตอบโต้ ทหารม้า Dragoon ก็ควบหนีไปไกลเกินระยะยิง นอกจากนี้ การยิงซัลโวกระหน่ำจากปืนใหญ่ฝรั่งเศสบนเนินอีกฝั่ง ยิ่งทำให้ความสูญเสียของฝั่ง สเปนพุ่งสูงขึ้น กล่าวกันว่า ทหารสเปน 2,000 กว่าคนวิ่งหนีแล้วหลบมาอยู่หลัง แนวทหารอังกฤษ แม้การบุกของฝรั่งเศสจะไม่สัมฤทธิ์ผลแต่ การยิงปืนใหญ่ตอบโต้กันระหว่าง 2 ฝ่าย ตลอดทั้งคืนนั้นก็สร้างความเสียหายให้กับทั้ง 2 ฝ่ายยิ่งนัก จนกล่าวได้ว่า นี้คือครั้งหนึ่งในช่วงสงครามนโปเลียนที่มีการยิงปืนใหญ่ตอบโต้กันอย่างยาวนานที่สุด.....
จนกระทั่งเช้าตรู่ วันที่ 28 กองทัพอังกฤษนั้นมีปีกซ้ายเป็นทหารม้าคุ้มกัน ไล่มาทางขวาจะมีเนินซึ่งมี Medellin ซึ่งมีกองทหารปืนใหญ่ และทหาร King’s German Legion เฝ้าอยู่ถัดไปเรื่อยๆจะเป็นกรมทหารราบ และ กองทัพของสเปน ซึ่งปีกขวามีแม่น้ำ Tagus คุ้มกัน ส่วนด้านหลังเป็นตำบล Talavera ฝั่งฝรั่งเศส นั้น ปีกขวาเป็นกองทหารม้าเช่นกัน ไล่มาทางซ้ายเรื่อยๆก็จะเป็นเนิน Cascajal ซึ่งตั้งกองทหารปืนใหญ่เอาไว้ และไล่ไปก็จะเป็นกรมทหารราบ และทหารม้า Dragoon ที่คุ้มกันปีกขวา ซึ่งถ้าวิเคราะห์ดูจะพบว่าชัยภูมิที่ตั้งคู่ตั้งทัพอยู่นั้นไม่ต่างกันมากเลย คือ มีเนินตรงกลางกองทัพทั้งคู่ไว้ตั้งปืนใหญ่..... ทางฝั่งฝรั่งเศสนั้นทาง จอมพล Jourdan ที่ปรึกษากษัตริย์ แนะนำกับพระเจ้า Joseph ว่ายังไม่ต้องบุกฝั่งอังกฤษ รอให้กองทัพของจอมพล Soult ที่เพิ่งถอยจากโปรตุเกสมา รวมพลเสียก่อนแล้วจึงเข้าตีพร้อมกัน ในขณะที่จอมพล Victor นั้น เสนอว่าควรเข้าตีเต็มรูปแบบเพื่อชัยชนะอย่างเด็ดขาด เพราะเมื่อคืนเขาประมาณการณ์ไว้ว่าอังกฤษนั้นอ่อนแอลงพอสมควร ซึ่งพระเจ้า Joseph เลือกอย่างที่ 2 นั้นคือ เข้าโจมตีอย่างเต็มรูปแบบ เพราะกลัวว่าถ้าปล่อย Madrid ไว้นานอาจจะเกิดจลาจลได้ล่ะพวก Junta จะเข้ามายึดเมืองอีกครั้ง ดูเหมือน Arthur จะได้รับบทเรียนว่าปืนใหญ่ของฝรั่งเศสนั้นมีอานุภาพการยิงที่น่ากลัวนัก เขาจึงสั่งย้ายทหารบางส่วนออกจากที่โล่ง รวมถึงสร้างแนวป้องกันที่กลางแนวรบอีกด้วย การโจมตีหลักเกินขึ้นเมื่อ Victor ส่งกรมทหารราบ 3 กรม ขึ้นไปเพื่อยึดเนิน Medellin ทหารฝรั่งเศสนั้นจัดกองทัพตามรูปแบบมาตรฐาน นั้นคือเป็น Column หรือ แถวตอนลึก โดยแต่ละ Column จะมีจำนวน 160 นาย เป็นแถวตอนเรียง 9 ซึ่งเหมาะสำหรับการผลักดันข้าศึกไปข้างหน้า แต่อย่างไรก็ตาม อังกฤษนั้นใช้ปืนไรเฟิลที่มีระยะยิงไกลกว่า และพวกเขานั้นก็จัดเป็นแถวหน้ากระดานเรียงกันยาว 2 – 3 แถว และระดมยิงใส่ Column ของ ฝรั่งเศสจากทุกทิศทุกทาง จนพวกเขาเสียหายอย่างหนักและถอยร่นกลับไป
Victor ยังไม่ลดละความพยายาม เขาเปิดการโจมตีอีกครั้งด้วยทหารราบกว่า 10,000 นาย เพื่อเข้าโจมตีตอนกลางของ กองทัพอังกฤษ – สเปนที่เป็นที่โล่ง เพื่อตัดขาดทั้งคู่ นี้นับว่าอาจเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุดของเขา เมื่อ ตรงกลางกองทัพของเขาเกือบแตกออก การยิงสนับสนุนจากปืนใหญ่ฝรั่งเศส สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับกองทัพอังกฤษ – สเปน ทหาร King’s German Legion ที่ถูกดึงมาช่วยก็สูญเสียไปตายถึง 500 นาย Arthur ต้องส่งกรมทหารราบที่ 48 เข้าไปอุดแนวรบของเขาที่กำลังจะพังลง และกองพลน้อยที่ 3 ที่ยังเหลืออยู่ก็เข้าตีโอบหลังกองทัพฝรั่งเศส ....... การสู้รบเป็นไปอย่างนองเลือดสุดท้ายการโจมตีครั้งที่ 2 ก็ ล้มเหลว พลตรี Pierre Belon Lapisse ผู้นำการบุก เสียชีวิตในสนามรบ กองทหารฝรั่งเศสถอยร่นออกมา Arthur สั่งทหารม้า King’s German Legion Hussar ที่1 และ Light Dragoon ที่ 23 เข้าชาร์จ กองทหารฝรั่งเศสที่กำลังถอยร่น แต่พวกฝรั่งเศสยังคงอยู่ในระเบียบวินัย และพวกเขาจัดขบวนสี่เหลี่ยมจัตุรัสได้ทัน ....... ทำให้ทหารม้า Dragoon อังกฤษเสียชีวิตไปเกือบ 105 นาย เรียกได้ว่า นี้คือการยุทธที่หนักหน่วงและรุนแรงสุดๆสำหรับทั่ง 2 ฝ่าย กองทัพอังกฤษ – สเปนเสียทหารไป 7,468 นาย ส่วนฝรั่งเศส นั้นเสียทหารไป 7,398 นาย ซึ่งไม่หยิ่งหย่อนกันเลย แต่ไม่นาน Arthur ก็ได้ข่าวว่า จอมพล Soult รวบรวมพลได้ราวๆ 30,000 และกำลังจะยกทัพลงใต้มาปิดทางหนีของ Arthur.. Arthur เห็นว่าเปล่าประโยชน์ที่จะรบต่อจึงถอยกลับ โปรตุเกส พวก Junta ในสเปน พยายามดึง Arthur ไว้เพื่อให้ช่วยเหลือพวกเขาในการรบครั้งต่อไป แต่ Wellesley ให้เหตุผลว่า เขานั้นไม่มีเสบียงและระบบส่งกำลังบำรุงที่ดีพอจะอยู่ได้ในสเปนนาน...และถอนตัวกลับไปในที่สุด
ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าในการยุทธแห่ง Talavera นั้น ใครเป็นผู้ชนะ ก็จริงอยู่ที่กองทัพของ Arthur สามารถผลักดันการโจมตีของฝรั่งเศสออกไปได้ แต่เขาก็ไม่บรรลุจุดประสงค์คือการยึดกรุง Madrid ทั้งยังสูญเสียกำลังพลไปเป็นจำนวนมาก และถอยกลับไปอย่างสูญเปล่า แต่ถึงอย่างไรก็ตามหลังศึกครั้งนี้เขาก็ได้รับยกย่องให้เป็นขุนนางชั้นสูงในอังกฤษและได้ตำแหน่ง Viscount Wellington
The "Iron Duke" Part 8 : การยุทธแห่ง Talavera ชัยชนะอันสูญเปล่า
ทางฝ่ายอังกฤษนั้น ผู้บัญชาการกองทัพอังกฤษในโปรตุเกส Sir John Moore นั้นมีแผนจะส่งกองทัพของเขาเข้าไปใน สเปน เพื่อช่วยเหลือพวกเขาต่อสู้กับ นโปเลียน แต่กองทัพของฝรั่งเศสนั้นใหญ่โตกว่ามาก เขาได้สู้รบกับกองทัพของฝรั่งเศสครั้งใหญ่ในแถบตอนเหนือของสเปนที่ Corunna กับ จอมพล Jean-de-Dieu Soult แห่งฝรั่งเศส ผลการรบนั้นคือ อังกฤษพ่ายแพ้และถูกผลักดันกลับเข้าไปในโปรตุเกส อีกทั้ง Sir John Moore ยังเสียชีวิตในการรบอีกด้วย ทางโปรตุเกสนั้นได้ร้องขอ ผู้บัญชาการกองทัพผสมอังกฤษ – โปรตุเกสคนใหม่ และรัฐบาลของพวกเขายังเสนอชื่อ Arthur Wellesley ก็ได้กลับไปบัญชาการกองทัพผสมอังกฤษ – โปรตุเกสใน Lisbon ที่มีจำนวน 23,000 นาย อีกครั้ง เขาเดินทางมาถึง Lisbon ในวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1809 และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากบรรดาชาวโปรตุเกส สถานการณ์ในช่วงนี้ของ สเปนค่อนข้างย่ำแย่พอควร กองทัพของจอมพล Soult นั้นอยู่ทางเหนือของ โปรตุเกสและมีจำนวน 20,000 นาย ในขณะที่ จอมพล Claude Victor-Perrin แห่ง จักรวรรดิฝรั่งเศสอีกคนที่มีกำลังพลอีก 30,000 นาย ก็เพิ่งเอาชนะสเปนได้และผลักดันให้พวกเขาเข้ามาใกล้พรมแดนโปรตุเกส Arthur ตัดสินใจจัดการกับ Soult ก่อน เขาออกเดินทางไปในวันที่ 27 เมษายน ด้วยกำลังเพิ่มเติมทั้งสิ้น 37,000 นาย กว่าครึ่งเป็น ชาวโปรตุเกส และได้สั่งให้นายพล William Beresford นายพลอังกฤษซึ่งบัญชาการกองทัพโปรตุเกส ตรึงกำลังของ Victor เอาไว้ ...... ดูเหมือนว่า Soult จะโดนสงครามกองโจรสเปนเล่นงานเข้าให้ กองทัพของ Soult นั้นต้องกระจายกำลังกันจัดการกับกองโจรทำให้เขาเหลือทหารหมื่นนายเท่านั้น และเมื่อทราบว่ากองทัพของ อังกฤษมาถึง ในวันที่ 10 เมษายน เขาก็ถอยกรูดออกจากตอนเหนือของ โปรตุเกส อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในวันที่ 19 ของเดือนเดียวกัน Arthur นั้นมีแผนการจะรุกเข้าไปในสเปนต่อเนื่องพวก Junta ในสเปนนั้นจะยอมร่วมมือและส่งทหารเขาสนับสนุน Arthur อย่างเต็มที่ Arthur จึงได้จัดกองทัพขึ้นใหม่ โดยให้ จอมพล Beresford อยู่เฝ้า โปรตุเกส ในขณะที่ Arthur นั้น รุกเข้าไปใน สเปนอย่างว่องไว โดยทหารอังกฤษ 20,000 นาย และได้สนธิกำลังกับนายพลสเปน Cuesta 33,000 นาย เคลื่อนทัพเข้าเข้าสู่หมู่บ้าน Tagus ซึ่งอยู่ห่างจาก Madrid เพียง 120 ไมล์ทางใต้เท่านั้น ..และไปที่ตำบล Talavera ต่อในวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 1809 ทางฝรั่งเศสนั้นรวบรวมผลใหม่ โดยมีทหารทั้งสิ้น 46,000 นาย และปืนใหญ่ 80 กระบอก ภายใต้การนำของ พระเจ้า Joseph I แห่ง สเปน และจอมพล Claude Victor และ ที่ปรึกษาส่วนตัวของกษัตริย์จอมพล Jean-Baptiste Jourdan..วีรบุรุษในช่วงสงครามปฎิวัติฝรั่งเศสอีกด้วย
หากสรุปกองกำลังทั้ง 2 ฝ่ายอย่างละเอียดจะมีดังนี้
กองทัพอังกฤษบัญชาการโดย นายพล Arthur Wellesley มี ทหารราบ 4 กองพล รวมถึงมีทหาร King’s German 2 กรมอีกด้วย และทหารม้า 3 กองพลน้อย เป็นทหารม้าหนัก 1 กองพลน้อยจำนวน 1,100 นาย และทหารม้าเบา 2 กองพลน้อย จำนวน 1,900 นาย รวมถึงปืนใหญ่อีก 30 กระบอก รวมกำลังพลทั้งสิ้น 20,641 นาย
กองทัพสเปน ของนายพล Cuesta มีจำนวนทั้งสิ้น 5 กองพลทหารราบ จำนวนทั้งสิ้น 28,000 นาย และ 2 กองพลทหารม้าอีก 6,000 นาย รวมปืนใหญ่ 30 กระบอก รวมทั้งหมด 35,000 นาย
สรุปแล้วกำลังผสม อังกฤษ – สเปนจะมีทั้งหมด 55,641 นาย และปืนใหญ่ 60 กระบอก
ฝั่งกองทัพฝรั่งเศส มี Corps ที่ 1 และ 4 (Corps นั้นใหญ่กว่ากองพลแต่เล็กกว่ากองทัพ) ทหารราบ 37,700 นาย ทหารม้า 8,000 นาย และปืนใหญ่อีก 80 กระบอก
การยุทธแห่ง Talavera
ในช่วงวันที่ 27 กรกฎาคม กองทัพอังกฤษนั้นกำลังข้ามแม่น้ำ Alberche แต่แล้วพันธมิตร สเปนของพวกเขาที่อยู่ทางปีกขวาก็ถูก โจมตีด้วยกองทหารม้าของฝรั่งเศสอย่างรุนแรงจนถอยร่นกลับ... Arthur นั้นรีบสั่งให้ ทหารม้าของเขา เขาชาร์จทหารม้าฝรั่งเศสเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ แต่ด้วยความสับสนในคำสั่งปรากฎว่ากรมทหารม้าของอังกฤษดันถอยกลับดื้อๆ ทำเอาทหารม้าฝรั่งเศส ไล่ฆ่าฟาดฟันเหล่าทหารม้าอังกฤษจนล้มตายไปกว่า 400 นาย ..... กองทัพ Arthur ถอยกลับไปตั้งหลักที่ บริเวณ Talavare อีกครั้ง .. การต่อสู้ยังดำเนินต่อไปถึงตอนกลางคืนเมื่อกองทัพ Victor จอมพลฝรั่งเศส ได้สั่งให้ กองพลทหารราบเข้ายึดเนินของอังกฤษที่ตั้งมั่นอยู่ที่ Medellín ...แต่ ทหาร ถึง 2 กรมของฝรั่งเศสนั้นเดินหลงไปในความมืด แต่ทหาร กรมทหารราบ King’s German Legion นั้นได้ต่อสู้กับทหารราบฝรั่งเศสอย่างดุเดือด จนกระทั่งสามารถผลักดันทหารราบฝรั่งเศสลงจากเนินไปได้ ในขณะเดียวกันทหารอังกฤษก็สูญเสียถึง 800 นาย ส่วนทางสเปนที่อยู่ปีกขวานั้น ก็โดนโจมตีอย่างหนักหน่วงด้วยทหารม้า Dragoon ของฝรั่งเศส ซึ่งใช้วิธิยิงแล้วหนี หรือ Hit And Run เมื่อ ทหารสเปนจะยิงตอบโต้ ทหารม้า Dragoon ก็ควบหนีไปไกลเกินระยะยิง นอกจากนี้ การยิงซัลโวกระหน่ำจากปืนใหญ่ฝรั่งเศสบนเนินอีกฝั่ง ยิ่งทำให้ความสูญเสียของฝั่ง สเปนพุ่งสูงขึ้น กล่าวกันว่า ทหารสเปน 2,000 กว่าคนวิ่งหนีแล้วหลบมาอยู่หลัง แนวทหารอังกฤษ แม้การบุกของฝรั่งเศสจะไม่สัมฤทธิ์ผลแต่ การยิงปืนใหญ่ตอบโต้กันระหว่าง 2 ฝ่าย ตลอดทั้งคืนนั้นก็สร้างความเสียหายให้กับทั้ง 2 ฝ่ายยิ่งนัก จนกล่าวได้ว่า นี้คือครั้งหนึ่งในช่วงสงครามนโปเลียนที่มีการยิงปืนใหญ่ตอบโต้กันอย่างยาวนานที่สุด.....
จนกระทั่งเช้าตรู่ วันที่ 28 กองทัพอังกฤษนั้นมีปีกซ้ายเป็นทหารม้าคุ้มกัน ไล่มาทางขวาจะมีเนินซึ่งมี Medellin ซึ่งมีกองทหารปืนใหญ่ และทหาร King’s German Legion เฝ้าอยู่ถัดไปเรื่อยๆจะเป็นกรมทหารราบ และ กองทัพของสเปน ซึ่งปีกขวามีแม่น้ำ Tagus คุ้มกัน ส่วนด้านหลังเป็นตำบล Talavera ฝั่งฝรั่งเศส นั้น ปีกขวาเป็นกองทหารม้าเช่นกัน ไล่มาทางซ้ายเรื่อยๆก็จะเป็นเนิน Cascajal ซึ่งตั้งกองทหารปืนใหญ่เอาไว้ และไล่ไปก็จะเป็นกรมทหารราบ และทหารม้า Dragoon ที่คุ้มกันปีกขวา ซึ่งถ้าวิเคราะห์ดูจะพบว่าชัยภูมิที่ตั้งคู่ตั้งทัพอยู่นั้นไม่ต่างกันมากเลย คือ มีเนินตรงกลางกองทัพทั้งคู่ไว้ตั้งปืนใหญ่..... ทางฝั่งฝรั่งเศสนั้นทาง จอมพล Jourdan ที่ปรึกษากษัตริย์ แนะนำกับพระเจ้า Joseph ว่ายังไม่ต้องบุกฝั่งอังกฤษ รอให้กองทัพของจอมพล Soult ที่เพิ่งถอยจากโปรตุเกสมา รวมพลเสียก่อนแล้วจึงเข้าตีพร้อมกัน ในขณะที่จอมพล Victor นั้น เสนอว่าควรเข้าตีเต็มรูปแบบเพื่อชัยชนะอย่างเด็ดขาด เพราะเมื่อคืนเขาประมาณการณ์ไว้ว่าอังกฤษนั้นอ่อนแอลงพอสมควร ซึ่งพระเจ้า Joseph เลือกอย่างที่ 2 นั้นคือ เข้าโจมตีอย่างเต็มรูปแบบ เพราะกลัวว่าถ้าปล่อย Madrid ไว้นานอาจจะเกิดจลาจลได้ล่ะพวก Junta จะเข้ามายึดเมืองอีกครั้ง ดูเหมือน Arthur จะได้รับบทเรียนว่าปืนใหญ่ของฝรั่งเศสนั้นมีอานุภาพการยิงที่น่ากลัวนัก เขาจึงสั่งย้ายทหารบางส่วนออกจากที่โล่ง รวมถึงสร้างแนวป้องกันที่กลางแนวรบอีกด้วย การโจมตีหลักเกินขึ้นเมื่อ Victor ส่งกรมทหารราบ 3 กรม ขึ้นไปเพื่อยึดเนิน Medellin ทหารฝรั่งเศสนั้นจัดกองทัพตามรูปแบบมาตรฐาน นั้นคือเป็น Column หรือ แถวตอนลึก โดยแต่ละ Column จะมีจำนวน 160 นาย เป็นแถวตอนเรียง 9 ซึ่งเหมาะสำหรับการผลักดันข้าศึกไปข้างหน้า แต่อย่างไรก็ตาม อังกฤษนั้นใช้ปืนไรเฟิลที่มีระยะยิงไกลกว่า และพวกเขานั้นก็จัดเป็นแถวหน้ากระดานเรียงกันยาว 2 – 3 แถว และระดมยิงใส่ Column ของ ฝรั่งเศสจากทุกทิศทุกทาง จนพวกเขาเสียหายอย่างหนักและถอยร่นกลับไป
Victor ยังไม่ลดละความพยายาม เขาเปิดการโจมตีอีกครั้งด้วยทหารราบกว่า 10,000 นาย เพื่อเข้าโจมตีตอนกลางของ กองทัพอังกฤษ – สเปนที่เป็นที่โล่ง เพื่อตัดขาดทั้งคู่ นี้นับว่าอาจเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุดของเขา เมื่อ ตรงกลางกองทัพของเขาเกือบแตกออก การยิงสนับสนุนจากปืนใหญ่ฝรั่งเศส สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับกองทัพอังกฤษ – สเปน ทหาร King’s German Legion ที่ถูกดึงมาช่วยก็สูญเสียไปตายถึง 500 นาย Arthur ต้องส่งกรมทหารราบที่ 48 เข้าไปอุดแนวรบของเขาที่กำลังจะพังลง และกองพลน้อยที่ 3 ที่ยังเหลืออยู่ก็เข้าตีโอบหลังกองทัพฝรั่งเศส ....... การสู้รบเป็นไปอย่างนองเลือดสุดท้ายการโจมตีครั้งที่ 2 ก็ ล้มเหลว พลตรี Pierre Belon Lapisse ผู้นำการบุก เสียชีวิตในสนามรบ กองทหารฝรั่งเศสถอยร่นออกมา Arthur สั่งทหารม้า King’s German Legion Hussar ที่1 และ Light Dragoon ที่ 23 เข้าชาร์จ กองทหารฝรั่งเศสที่กำลังถอยร่น แต่พวกฝรั่งเศสยังคงอยู่ในระเบียบวินัย และพวกเขาจัดขบวนสี่เหลี่ยมจัตุรัสได้ทัน ....... ทำให้ทหารม้า Dragoon อังกฤษเสียชีวิตไปเกือบ 105 นาย เรียกได้ว่า นี้คือการยุทธที่หนักหน่วงและรุนแรงสุดๆสำหรับทั่ง 2 ฝ่าย กองทัพอังกฤษ – สเปนเสียทหารไป 7,468 นาย ส่วนฝรั่งเศส นั้นเสียทหารไป 7,398 นาย ซึ่งไม่หยิ่งหย่อนกันเลย แต่ไม่นาน Arthur ก็ได้ข่าวว่า จอมพล Soult รวบรวมพลได้ราวๆ 30,000 และกำลังจะยกทัพลงใต้มาปิดทางหนีของ Arthur.. Arthur เห็นว่าเปล่าประโยชน์ที่จะรบต่อจึงถอยกลับ โปรตุเกส พวก Junta ในสเปน พยายามดึง Arthur ไว้เพื่อให้ช่วยเหลือพวกเขาในการรบครั้งต่อไป แต่ Wellesley ให้เหตุผลว่า เขานั้นไม่มีเสบียงและระบบส่งกำลังบำรุงที่ดีพอจะอยู่ได้ในสเปนนาน...และถอนตัวกลับไปในที่สุด
ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าในการยุทธแห่ง Talavera นั้น ใครเป็นผู้ชนะ ก็จริงอยู่ที่กองทัพของ Arthur สามารถผลักดันการโจมตีของฝรั่งเศสออกไปได้ แต่เขาก็ไม่บรรลุจุดประสงค์คือการยึดกรุง Madrid ทั้งยังสูญเสียกำลังพลไปเป็นจำนวนมาก และถอยกลับไปอย่างสูญเปล่า แต่ถึงอย่างไรก็ตามหลังศึกครั้งนี้เขาก็ได้รับยกย่องให้เป็นขุนนางชั้นสูงในอังกฤษและได้ตำแหน่ง Viscount Wellington