เรื่องมีอยู่ว่าคุณพ่อผมแกมีที่ดินเปล่าขนาด 30 ไร่ อยู่ย่าน กทม.ปริมณฑล ฝั่งตะวันตก ปัจจุบันคุณพ่อผม(ป๊า)ได้เสียชีวิตแล้วและได้เขียนพินัยกรรมเอาไว้โดยยกที่ดินเปล่าทั้งผืนให้เป็นมรดกกับลูกๆทั้ง3คนโดยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ฟังดูแล้วก็น่าอิจฉาใช่มั๊ยครับ แต่เรื่องมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นโดยมีรายละเอียดดังนี้
- ที่ดินเปล่ามรดก 30 ไร่ มีบริษัทพัฒนาอสังหาฯ A มาขอซื้อในราคา 3XX ล้านบาท หักภาษีและค่าใช้จ่ายแล้วเหลือสุทธิ 300 ล้านบาท
- ที่ดินเป็นโฉนดผืนเดียว และบริษัทพัฒนาอสังหาฯขอซื้อยกแปลง 30 ไร่ เพื่อเอาไปทำบ้านจัดสรร
- ที่ดินดังกล่าวถือกรรมสิทธิ์ 3 คนพี่น้องมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว และประกาศขายมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว
- ที่ดินปัจจุบันส่วนหนึ่งเป็นที่ว่างเปล่า ส่วนหนึ่งปล่อยให้ชาวบ้านเช่าทำเกษตรกรรม ในราคาถูก
- 2ปีที่แล้วมีบริษัทพัฒนาอสังหาฯ 1 รายมาติดต่อขอซื้อในราคาไม่ถึง 300 ล้านบาท (ซึ่งทุกคนมีความเห็นตรงกันว่าไม่ขายเพราะเชื่อว่าราคาซื้อถูกเกินไป)
- พี่ชายคนโต (เฮีย) อายุ 52 ปี เป็นเจ้าของกิจการ รายได้สุทธิหลังหักทุกอย่างแล้ว > 200,000 บาท ไม่มีภาระหนี้ กิจการก็ไปได้ดีไม่เครียดและไม่มีปัญหาใดๆ
- พี่สาวคนกลาง (เจ้) อายุ 50 ปี เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ รายได้สุทธิประมาณ 75,000 บาท ไม่มีภาระหนี้ ชีวิตปกติเรื่อยๆแบบข้าราชการ
- ผมคนสุดท้องอายุ 48 ปี เป็นผู้บริหารระดับกลางบริษัทเอกชน รายได้สุทธิประมาณ 100,000 บาท ไม่มีภาระหนี้ มีเงินเก็บประมาณ 2 ล้านบาท (ไม่รวม Provident Fund) และค่อนข้างเครียดกับการทำงานมาก
ปัญหาคือ
- พี่ชายยังไม่ยอมขายที่ดินในราคาดังกล่าว จะขายก็ต่อเมื่อได้รับเงินสุทธิ 360 ล้านบาท
- พี่สาวและผม มีความเห็นเหมือนกันคืออยากขายที่ดินในราคาที่บริษัทพัฒนาอสังหาฯ A เสนอซื้อมา (เพราะเชื่อว่าราคาเหมาะสมและพอใจกับราคาดังกล่าวแล้ว)
- บริษัทพัฒนาอสังหาฯต้องการซื้อยกแปลง
ความเห็นส่วนตัวของผม
- ต้องการขาย่ที่ดินดังกล่าวและแบ่งเงินกันคนละ 100 ล้านบาท เพื่อเอาไปฝากประจำกับธนาคาร
- เมื่อแบ่งเงินที่ได้จากการขายที่ดินคนละ 100 ล้านบาทแล้ว ผมจะลาออกจากงาน
- ใช้เฉพาะเงินเก็บสะสมที่มีรวมกับ Provident Fund ที่ได้หลังจากลาออกไปลงทุน และเปิดกิจการเล็กๆ โดยไม่กู้หนี้ยืมสินแต่อย่างใด
- คิดง่ายๆว่าจะนำเงินไปฝากประจำ 100 ล้านบาท มีรายได้จากดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1.5%ต่อปี ก็เท่ากับ 1.5 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 125,000 บาทต่อเดือน หักภาษีแล้วปัดกลมๆเป็น 100,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเพียงพอและเหลือเฟือต่อการดำรงชีพในแต่ละเดือน
- เศรษฐกิจการเมืองไม่แน่นอนแบบนี้ถือเงินสดไว้ดีกว่า
- ไม่มั่นใจว่าจะมีบริษัทพัฒนาอสังหาฯ อื่นๆมาขอซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวอีก หรือถ้ามีจะให้ราคาได้เท่านี้หรือไม่
- ราคาส่วนต่างที่ได้เพิ่มขึ้นระหว่างราคาขายของพี่ชาย 360 ล้าน ลบ ราคาปัจจุบัน 300 ล้าน เท่ากับ 60 ล้านบาท หาร 3 เท่ากับ 20 ล้านบาท ผมเลือกที่จะได้รับเงิน 100 ล้านบาทตอนนี้เลยดีกว่า และ 100 ล้านบาทก็เพียงพอแล้ว
ความเห็นส่วนตัวของพี่สาว
- ลาออกจากราชการ เพื่อพักผ่อน และขอรับเงินบำนาญประมาณ 50,000 บาทต่อเดือน
- เอาเงินไปฝากประจำธนาคารเช่นกัน และกินดอกเบี้ยเหมือนผม
- ถือเงินสดไว้ดีกว่า มีเงิน 100 ล้านบาทก็เพียงพอแล้ว
ความเห็นส่วนตัวของพี่ชาย
- คิดว่าที่ดินแปลงดังกล่าวมีศักยภาพเพราะเป็นที่ดินแปลงใหญ่แปลงเดียวที่เหลืออยู่ในย่านนี้ คิดว่าจะต้องมีเจ้าอื่นมาขอซื้ออีก หรือไม่ก็เก็บที่ดินไว้เพื่อรอราคาเพิ่มสูงขึ้น (ถ้าจะขายตอนนี้ก็ขายในราคาที่ตั้งไว้)
- พวกลื้อไม่เดือดร้อนอะไร ไม่จำเป็นต้องรีบขายหรอก
ผมรบกวนปรึกษาและขอคำแนะนำเพื่อนๆชาวพันทิป ว่าผมจะมีวิธีการเจรจาอย่างไรดีกับพี่ชายคนโตซึ่งมี Power ที่สุดในบ้าน ให้ยอมตกลงขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับบริษัทฯ A ที่มาติดต่อขอซื้อในตอนนี้ครับ
ขอบคุณมากๆครับ
ปล.รบกวนขอความกรุณาอย่าพาดพิงถึงคุณพ่อ(ป๊า)ที่ล่วงลับไปแล้วนะครับ
ความเห็นที่ไม่ลงตัวกับมรดกที่ดินเปล่ามูลค่า 300 ล้านบาท ระหว่างพี่น้อง3คน
- ที่ดินเปล่ามรดก 30 ไร่ มีบริษัทพัฒนาอสังหาฯ A มาขอซื้อในราคา 3XX ล้านบาท หักภาษีและค่าใช้จ่ายแล้วเหลือสุทธิ 300 ล้านบาท
- ที่ดินเป็นโฉนดผืนเดียว และบริษัทพัฒนาอสังหาฯขอซื้อยกแปลง 30 ไร่ เพื่อเอาไปทำบ้านจัดสรร
- ที่ดินดังกล่าวถือกรรมสิทธิ์ 3 คนพี่น้องมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว และประกาศขายมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว
- ที่ดินปัจจุบันส่วนหนึ่งเป็นที่ว่างเปล่า ส่วนหนึ่งปล่อยให้ชาวบ้านเช่าทำเกษตรกรรม ในราคาถูก
- 2ปีที่แล้วมีบริษัทพัฒนาอสังหาฯ 1 รายมาติดต่อขอซื้อในราคาไม่ถึง 300 ล้านบาท (ซึ่งทุกคนมีความเห็นตรงกันว่าไม่ขายเพราะเชื่อว่าราคาซื้อถูกเกินไป)
- พี่ชายคนโต (เฮีย) อายุ 52 ปี เป็นเจ้าของกิจการ รายได้สุทธิหลังหักทุกอย่างแล้ว > 200,000 บาท ไม่มีภาระหนี้ กิจการก็ไปได้ดีไม่เครียดและไม่มีปัญหาใดๆ
- พี่สาวคนกลาง (เจ้) อายุ 50 ปี เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ รายได้สุทธิประมาณ 75,000 บาท ไม่มีภาระหนี้ ชีวิตปกติเรื่อยๆแบบข้าราชการ
- ผมคนสุดท้องอายุ 48 ปี เป็นผู้บริหารระดับกลางบริษัทเอกชน รายได้สุทธิประมาณ 100,000 บาท ไม่มีภาระหนี้ มีเงินเก็บประมาณ 2 ล้านบาท (ไม่รวม Provident Fund) และค่อนข้างเครียดกับการทำงานมาก
ปัญหาคือ
- พี่ชายยังไม่ยอมขายที่ดินในราคาดังกล่าว จะขายก็ต่อเมื่อได้รับเงินสุทธิ 360 ล้านบาท
- พี่สาวและผม มีความเห็นเหมือนกันคืออยากขายที่ดินในราคาที่บริษัทพัฒนาอสังหาฯ A เสนอซื้อมา (เพราะเชื่อว่าราคาเหมาะสมและพอใจกับราคาดังกล่าวแล้ว)
- บริษัทพัฒนาอสังหาฯต้องการซื้อยกแปลง
ความเห็นส่วนตัวของผม
- ต้องการขาย่ที่ดินดังกล่าวและแบ่งเงินกันคนละ 100 ล้านบาท เพื่อเอาไปฝากประจำกับธนาคาร
- เมื่อแบ่งเงินที่ได้จากการขายที่ดินคนละ 100 ล้านบาทแล้ว ผมจะลาออกจากงาน
- ใช้เฉพาะเงินเก็บสะสมที่มีรวมกับ Provident Fund ที่ได้หลังจากลาออกไปลงทุน และเปิดกิจการเล็กๆ โดยไม่กู้หนี้ยืมสินแต่อย่างใด
- คิดง่ายๆว่าจะนำเงินไปฝากประจำ 100 ล้านบาท มีรายได้จากดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1.5%ต่อปี ก็เท่ากับ 1.5 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 125,000 บาทต่อเดือน หักภาษีแล้วปัดกลมๆเป็น 100,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเพียงพอและเหลือเฟือต่อการดำรงชีพในแต่ละเดือน
- เศรษฐกิจการเมืองไม่แน่นอนแบบนี้ถือเงินสดไว้ดีกว่า
- ไม่มั่นใจว่าจะมีบริษัทพัฒนาอสังหาฯ อื่นๆมาขอซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวอีก หรือถ้ามีจะให้ราคาได้เท่านี้หรือไม่
- ราคาส่วนต่างที่ได้เพิ่มขึ้นระหว่างราคาขายของพี่ชาย 360 ล้าน ลบ ราคาปัจจุบัน 300 ล้าน เท่ากับ 60 ล้านบาท หาร 3 เท่ากับ 20 ล้านบาท ผมเลือกที่จะได้รับเงิน 100 ล้านบาทตอนนี้เลยดีกว่า และ 100 ล้านบาทก็เพียงพอแล้ว
ความเห็นส่วนตัวของพี่สาว
- ลาออกจากราชการ เพื่อพักผ่อน และขอรับเงินบำนาญประมาณ 50,000 บาทต่อเดือน
- เอาเงินไปฝากประจำธนาคารเช่นกัน และกินดอกเบี้ยเหมือนผม
- ถือเงินสดไว้ดีกว่า มีเงิน 100 ล้านบาทก็เพียงพอแล้ว
ความเห็นส่วนตัวของพี่ชาย
- คิดว่าที่ดินแปลงดังกล่าวมีศักยภาพเพราะเป็นที่ดินแปลงใหญ่แปลงเดียวที่เหลืออยู่ในย่านนี้ คิดว่าจะต้องมีเจ้าอื่นมาขอซื้ออีก หรือไม่ก็เก็บที่ดินไว้เพื่อรอราคาเพิ่มสูงขึ้น (ถ้าจะขายตอนนี้ก็ขายในราคาที่ตั้งไว้)
- พวกลื้อไม่เดือดร้อนอะไร ไม่จำเป็นต้องรีบขายหรอก
ผมรบกวนปรึกษาและขอคำแนะนำเพื่อนๆชาวพันทิป ว่าผมจะมีวิธีการเจรจาอย่างไรดีกับพี่ชายคนโตซึ่งมี Power ที่สุดในบ้าน ให้ยอมตกลงขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับบริษัทฯ A ที่มาติดต่อขอซื้อในตอนนี้ครับ
ขอบคุณมากๆครับ
ปล.รบกวนขอความกรุณาอย่าพาดพิงถึงคุณพ่อ(ป๊า)ที่ล่วงลับไปแล้วนะครับ