บ้านเมืองจะพัฒนาให้ก้าวหน้าได้ ... ใช้ซุง อย่ามุ่งปริมาณสวะ

สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ประเทศเกิดวิกฤติติดหล่มไม่สามารถพัฒนาอะไรได้ แต่หลังจากความสงบกลับคืนมาอีกครั้ง ประเทศก็เริ่มจะเดินหน้าพัฒนาต่อได้

ด้วยปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะด้านงบประมาณ การที่รัฐบาลจะขับเคลื่อนประเทศแบบเศรษฐกิจนำการเมืองในขณะที่ไม่มีทุนของตัวเองนั้นเป็นไปได้ยาก จึงต้องหาตัวช่วย โดยดึงภาคเอกชนมาเสริมทัพ อาศัยศักยภาพที่เอกชนมี ทำให้เกิดการพัฒนาหลัก ๆ ผ่านโครงการเมกะโปรเจกท์อย่างอีอีซี เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาช่วยฟื้นเศรษฐกิจของประเทศอีกทางหนึ่ง

แต่กระนั้นปัญหาภายในก็ยังก่อกวนใจไม่สิ้นสุด คอยขัดแข้งขัดขาไม่ให้การพัฒนาเป็นไปได้อย่างราบรื่น ทุกครั้งที่ประเทศจะเดินหน้าพัฒนาอะไร จะปรากฏพวกลูกอีช่างค้านช่างขัดโผล่ออกมาเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็น รัฐเอื้อเอกชน เอกชนจะมากินรวบฮุบประเทศ ต่าง ๆ นานา จะทำหรือไม่ทำอะไร ก็ขัดก็ค้านทั้งขึ้นทั้งล่อง สร้างสังคมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง ขัดขวางการเดินหน้าตลอดเวลา


ได้อ่านคอลัมน์ของคุณเปลว สีเงิน วันนี้ เรื่อง “มหาเศรษฐีบนทางประเทศ” ว่าด้วยประเด็นเอกชนกับการพัฒนาประเทศ เขียนได้กระแทกใจพวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำทีเดียว ใครเนื้อหนังบางหน่อย อ่านแล้วก็น่าจะเปิดโลกทัศน์ได้เห็นอีกมุมหนึ่ง ที่แตกต่างไปจากมุมที่ถูกสะกดจิตหมู่กันมาอย่างต่อเนื่อง

สรุปความได้ว่า [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ความขัดแย้งในสังคมทุกวันนี้มีความรวยกับความจนเป็นตัวขับเคลื่อนทัศนคติ แต่จริง ๆ แล้ว ความรวยกับความจนเป็นสิ่งที่ต้องเกื้อกูลกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย แล้วจะก่อประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือประเทศชาติด้วย

เพราะคนรวยอยู่ได้ ก็เพราะพลังงานจากคนจน และคนจนอยู่ได้ ก็เพราะคนรวยสร้างงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่แต่ละฝ่ายมีดีคนละอย่าง แล้วเอาดีของแต่ละฝ่ายนั้นมาเกื้อกูลกัน จึงเกิดเป็นประโยชน์ต่อส่วนอื่น ๆ

เปรียบเทียบว่า แผ่นดินต้องมีไม้ใหญ่ให้ร่มเงา แตกกิ่งก้าน ดอก ผล จากนั้นพืชชนิดอื่นก็จะอาศัยร่มเงา งอกและเติบโตขึ้น ทุกอย่างต้องเกื้อกูลกัน เพื่อให้สิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้น

ซึ่งการเกื้อกูลกัน คือการพึ่งพาอาศัยกัน ใครทำมากก็ได้มาก ใครทำน้อยก็ได้น้อย แต่ไม่ใช่ได้เท่ากัน เพราะแม้นิ้วมือยังสั้นยาวไม่เท่ากันเลย แต่คนบางจำพวกพยายามจะเรียกร้องให้ได้เท่ากัน ซึ่งความคิดเช่นนี้ หรือรวยก็ต้องรวยเหมือนกัน จนก็ต้องจนเหมือนกัน เป็นความคิดแบบ “หมาหางด้วน”


การที่ประเทศไทยมีคนรวยติดอันดับเศรษฐีโลก แล้วคนเหล่านั้นมีความคิดจะนำความรวยของตัวเองมาเกื้อกูล ลงทุน เพื่อสร้างงาน สร้างเงิน สร้างประเทศที่ตัวเองอยู่อาศัย ทำหน้าที่เป็นผู้สร้างเศรษฐกิจและสังคมประเทศ จะไม่ดีได้อย่างไร


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


เรื่องที่ดินมักกะสัน ซึ่งปล่อยทิ้งร้างไม่เกิดประโยชน์มาเป็นร้อยปี แต่พอจะถูกนำมาทำประโยชน์ ก็มีการออกมาคัดค้านว่าจะขายสมบัติชาติบ้าง หรือประเคนให้นายทุนบ้าง ทั้ง ๆ ที่ของก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่มีใครเอาไปไหนได้ เจ้าของก็ยังเป็นคนเดิม ไม่ได้มีอะไรเสียหาย กลับมีแต่ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นอีก เช่น จากค่าเช่า เพราะมีกฎหมายตีกรอบการร่วมทุนไว้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่พิจารณา เชื่อตามคัดค้านตาม ๆ กันไป ประเภทนี้เรียกว่า “หมาในรางหญ้า”



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

คุณเปลวสรุปให้คิดเองว่า

น้ำตื้น สวะลอย
น้ำลึก จะมีซุงลอย


บ้านเมืองจะพัฒนาให้ก้าวหน้าได้...ใช้ซุง อย่ามุ่งปริมาณสวะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่