นิ้วกลม เปรียบเทียบ ปราสาทเหล่านี้ เหมือนยางลบ
นับวันจะมีแต่สึกกร่อนลงไป
จึงต้องรีบบอกทุกคนว่า รีบไปชมด้วยตา ก่อนที่ความงาม อันยิ่งใหญ่นี้จะหายไป

ผมและแฟน เดินทางไปด้วยเครื่องบิน แอร์เอเชีย ด้วยเหตุผลว่า รักสบาย ในราคาที่พอรับได้ และซื้อเวลา
เพราะใช้เวลาบินแค่ 50 นาที เท่านั้น
การเดินทางครั้งนี้ รวม 5 วัน 4 คืน
เลือกจองโรงแรม แบบบูทีค ราคาถูก ประมาณ 600 กว่า ไม่มีอาหารเช้า โดยมีเงื่อนไข ว่า ต้องมีอ่างอาบน้ำ เพราะคิดว่าเดินเยอะ อยากแช่เท้าแช่ตัวให้สบาย และทำเล ต้องใกล้ พอจะเดินได้ ก็ได้ที่ Aksana ถือว่ามีครบตามที่ต้องการแต่เดินไกลนิดนึง

ไปถึงสนามบิน ทางโรงแรมก็ส่งตุ๊กตุ๊ก ชื่อ เจ มารับเราฟรี โดยหวังว่าเราจะใช้บริการเขาในวันต่อไป
ก็แนะนำเลยครับ ตุ๊กตุ๊ก ของโรงแรม ส่วนใหญ่นิสัยดี บริการดี สื่อสารได้ ราคาไม่แพง
เพราะโรงแรมเข้มงวด กลัวโดนด่าลงออนไลน์
ไปถึงก็รีบนอนเอาแรง เพราะตอนเช้าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เจ นัด ตอนตี 4 ครึ่ง ลงมา ก็รอเราอยู่ก่อนแล้ว
ออกไปซื้อตั๋วก่อนเลย เพราะเริ่มเปิดขายตอนตี 4 ครึ่ง
พอไปถึง มีคนเข้าแถวซื้อตั๋วกันเยอะพอควร ราคาตั๋ว 3 วัน 62 US
ตรงนี้ มีเทคนิคพิเศษ ในการซื้อตั๋วไว ไม่ต้องเข้าคิว คือ ยื่นดูช่องที่ยังไม่เปิด แต่มี เจ้าหน้าที่ ที่ดูแล เขาพร้อมแล้ว พอเปิดช่องใหม่ เราก็เข้าไปเลย ได้คิวแรกทันที เทคนิคนี้ใช้ได้เฉพาะ เช้าตรู่แบบนี้เท่านั้นนะครับ เพราะช่องยังเปิดไม่ครบทั้งหมด
ไปถึงนครวัด ยังมืดอยู่ ก็คลำทาง เดินตามๆ กันไป มีแต่ชาวต่างชาติ ทำใจได้เลย คนไทยน้อยมาก
พอเริ่มสว่างก็เดินเข้าไปชมความงาม อลังการมาก ไฮไลท์คนไทย คือ กองทัพสยาม ที่เป็นทัพหน้าให้กับกองทัพสุริยวรมัน ที่ 2 แต่ดูคนที่นี่ ไม่มีใครสนใจกันนะครับ เพราะมีอะไรที่อลังการกว่า อย่าง รามเกียรติ มหาภารตะยุทธ

จากนั้นก็ไป นครธม ซึ่งใหญ่กว่านครวัด มีสถานที่สำคัญคือ
บายน ทีมีหน้าคนยิ้มละมัย เป็นจุดเด่น
บา ปวน ก็ซ้อมเดินขึ้นที่สูง
ตาแก้ว ได้เดินบันไดที่สูงกว่า เสียวกว่า
ตาพรหม พบกับมหัศจรรย์ รากไม้ อันใหญ่โต ที่ยิ่งช้า สถานที่นี้ก็จะยิ่งพังลงไปตามกาลเวลา
วันแรก เป็น Mini tour ราคา 20 US
วันรุ่งขึ้น ก็เที่ยวปราสาท รอบใหญ่ จนเอียนไปเลยทีเดียว
ไฮไลท์สุดท้าย คือจะขึ้นปราสาทพนมบาเค็ง เพื่อดูพระอาทิตย์ตก แต่เนื่องจากเราทำเวลาได้ดีเกินไป จึงไปถึงตั้งแต่ บ่ายสองกว่าๆ แดดเปรี้ยงจนขี้เกียจรอ เลยขอบายกลับโรงแรมดีกว่า
วันที่สองเป็น Big tour ราคา 18 US
วันที่ 3 ราคา 35 US พาออกไปไกลมาก ชมสถานที่สวยงามที่สุดอีกแห่ง คือ ป้อมสตรี สีชมพู (บันทายสรี)
และไป กบาลเสปียน ที่เป็นหินแกะสลักในลำธาร เดินกันประมาณ 1.5 กิโล เหงื่อพอชุ่ม
ตอนนี้เริ่มสนุกกับชื่อแปลกๆ แบบเขมรละ อย่างคำว่า กบาล คำนี้ก็ชัดอยู่แล้ว คนไทยรู้ความหมายกันดี ส่วนเสปียน ก็คือสะพาน
รวมความ แปลว่า หัวสะพาน นั่นเอง
ซึ่งความจริง คำเขมร กับคำไทยนั้น คล้ายกันมาก
เพียงแต่ออกเสียงต่างกันไป แต่ความหมายเดียวกัน
หลังจากนั้นเราก็เริ่มสนุกกับการอ่านภาษาเขมรกันละ
เริ่มจากตัวเลข ก่อนเลย ง่ายสุด ดูแล้วรู้แน่นอน
ส่วนตัวอักษร จากที่ดูแล้วงง แต่ถ้าเข้าใจหลักการ ก็ดูคล้ายๆ กัน
อยู่ที่นี่ เราสนุกกับการพูดไทย ใส่เขาเลย 555 เขาฟังเราออกทุกคน แต่พูดกลับไม่ได้เท่านั้น
อย่าง เนียกเปียน ก็คือ นาคพัน
ก่อนกลับเราแวะไป Landmine museum เสียค่าเข้าคนละ 5 US ซึ่งเรายินดีเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าที่นี่ เล็ก และไม่ค่อยมีอะไร นอกจากระเบิดประเภทต่างๆ ที่ขุดกันขึ้นมา แต่เราก็ถือว่า ช่วยกันบริจาคเงิน เป็นทุนให้อาสาช่วยกันไปขุดระเบิด ให้หมดไป ป้องกันไม่ให้เด็กๆ รับอันตรายจากภัยนี้อีก
วันสุดท้าย ผมกลับไฟลท์ดึก เลยมีเวลาเดินเล่นที่ National Museum สนนราคาค่าเข้า คนละ 12 US ที่นี่ผมรู้สึกได้เลย การจัดการที่นี่ ดีกว่า National museum ของไทย เยอะทีเดียว ทั้งที่ มีของแสดงน้อยกว่ากันมาก
แนะนำให้เข้ามาชมที่นี่ก่อน ค่อยไปชมของจริง จะทำให้เข้าใจเรื่องราวได้ดีขึ้น ที่นี่มีบรรยายเป็นภาษาไทยด้วย
ซึ่งหาได้น้อยมาก ทุกที่ที่มีภาษาไทย แสดงว่าเจ้าของเป็นคนไทยมาร่วมทุน และแน่นอน พิพิธภัณท์แห่งชาตินี้ก้เป็นเอกชนไทยมาร่วมทุนจัดทำขึ้นนั่นเอง
ก่อนกลับ กินก๋วยเตี๋ยวเขมร ให้เยอะดี รสชาติอร่อย ราคาชามละ 1.5 US
ขากลับก็นั่งตุ๊กๆ กลับ นัดไว้ 7.30 เขาก็มารอตรงเวลาตลอด ราคา 6 US
ที่สนามบิน มี Wifi ฟรีด้วย
ลาก่อน เสียมเรียบ ที่ทำให้ผมได้สมหวัง หลังจากรอคอยมานานร่วมยี่สิบปี

มีรูปแต่โหลดไม่ได้ เพราะเกิน 700 และคอมไม่ดี ย่อรูปไม่ได้ หรือนานมาก เลยละไว้ เอาแต่ข้อมูลไปละกันนะ
[CR] เสียมเรียบ นครวัด นครธม เสน่ห์ที่คนไทยไม่ควรพลาด
นับวันจะมีแต่สึกกร่อนลงไป
จึงต้องรีบบอกทุกคนว่า รีบไปชมด้วยตา ก่อนที่ความงาม อันยิ่งใหญ่นี้จะหายไป
เพราะใช้เวลาบินแค่ 50 นาที เท่านั้น
การเดินทางครั้งนี้ รวม 5 วัน 4 คืน
เลือกจองโรงแรม แบบบูทีค ราคาถูก ประมาณ 600 กว่า ไม่มีอาหารเช้า โดยมีเงื่อนไข ว่า ต้องมีอ่างอาบน้ำ เพราะคิดว่าเดินเยอะ อยากแช่เท้าแช่ตัวให้สบาย และทำเล ต้องใกล้ พอจะเดินได้ ก็ได้ที่ Aksana ถือว่ามีครบตามที่ต้องการแต่เดินไกลนิดนึง
ไปถึงสนามบิน ทางโรงแรมก็ส่งตุ๊กตุ๊ก ชื่อ เจ มารับเราฟรี โดยหวังว่าเราจะใช้บริการเขาในวันต่อไป
ก็แนะนำเลยครับ ตุ๊กตุ๊ก ของโรงแรม ส่วนใหญ่นิสัยดี บริการดี สื่อสารได้ ราคาไม่แพง
เพราะโรงแรมเข้มงวด กลัวโดนด่าลงออนไลน์
ไปถึงก็รีบนอนเอาแรง เพราะตอนเช้าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เจ นัด ตอนตี 4 ครึ่ง ลงมา ก็รอเราอยู่ก่อนแล้ว
ออกไปซื้อตั๋วก่อนเลย เพราะเริ่มเปิดขายตอนตี 4 ครึ่ง
พอไปถึง มีคนเข้าแถวซื้อตั๋วกันเยอะพอควร ราคาตั๋ว 3 วัน 62 US
ตรงนี้ มีเทคนิคพิเศษ ในการซื้อตั๋วไว ไม่ต้องเข้าคิว คือ ยื่นดูช่องที่ยังไม่เปิด แต่มี เจ้าหน้าที่ ที่ดูแล เขาพร้อมแล้ว พอเปิดช่องใหม่ เราก็เข้าไปเลย ได้คิวแรกทันที เทคนิคนี้ใช้ได้เฉพาะ เช้าตรู่แบบนี้เท่านั้นนะครับ เพราะช่องยังเปิดไม่ครบทั้งหมด
ไปถึงนครวัด ยังมืดอยู่ ก็คลำทาง เดินตามๆ กันไป มีแต่ชาวต่างชาติ ทำใจได้เลย คนไทยน้อยมาก
พอเริ่มสว่างก็เดินเข้าไปชมความงาม อลังการมาก ไฮไลท์คนไทย คือ กองทัพสยาม ที่เป็นทัพหน้าให้กับกองทัพสุริยวรมัน ที่ 2 แต่ดูคนที่นี่ ไม่มีใครสนใจกันนะครับ เพราะมีอะไรที่อลังการกว่า อย่าง รามเกียรติ มหาภารตะยุทธ
จากนั้นก็ไป นครธม ซึ่งใหญ่กว่านครวัด มีสถานที่สำคัญคือ
บายน ทีมีหน้าคนยิ้มละมัย เป็นจุดเด่น
บา ปวน ก็ซ้อมเดินขึ้นที่สูง
ตาแก้ว ได้เดินบันไดที่สูงกว่า เสียวกว่า
ตาพรหม พบกับมหัศจรรย์ รากไม้ อันใหญ่โต ที่ยิ่งช้า สถานที่นี้ก็จะยิ่งพังลงไปตามกาลเวลา
วันแรก เป็น Mini tour ราคา 20 US
วันรุ่งขึ้น ก็เที่ยวปราสาท รอบใหญ่ จนเอียนไปเลยทีเดียว
ไฮไลท์สุดท้าย คือจะขึ้นปราสาทพนมบาเค็ง เพื่อดูพระอาทิตย์ตก แต่เนื่องจากเราทำเวลาได้ดีเกินไป จึงไปถึงตั้งแต่ บ่ายสองกว่าๆ แดดเปรี้ยงจนขี้เกียจรอ เลยขอบายกลับโรงแรมดีกว่า
วันที่สองเป็น Big tour ราคา 18 US
วันที่ 3 ราคา 35 US พาออกไปไกลมาก ชมสถานที่สวยงามที่สุดอีกแห่ง คือ ป้อมสตรี สีชมพู (บันทายสรี)
และไป กบาลเสปียน ที่เป็นหินแกะสลักในลำธาร เดินกันประมาณ 1.5 กิโล เหงื่อพอชุ่ม
ตอนนี้เริ่มสนุกกับชื่อแปลกๆ แบบเขมรละ อย่างคำว่า กบาล คำนี้ก็ชัดอยู่แล้ว คนไทยรู้ความหมายกันดี ส่วนเสปียน ก็คือสะพาน
รวมความ แปลว่า หัวสะพาน นั่นเอง
ซึ่งความจริง คำเขมร กับคำไทยนั้น คล้ายกันมาก
เพียงแต่ออกเสียงต่างกันไป แต่ความหมายเดียวกัน
หลังจากนั้นเราก็เริ่มสนุกกับการอ่านภาษาเขมรกันละ
เริ่มจากตัวเลข ก่อนเลย ง่ายสุด ดูแล้วรู้แน่นอน
ส่วนตัวอักษร จากที่ดูแล้วงง แต่ถ้าเข้าใจหลักการ ก็ดูคล้ายๆ กัน
อยู่ที่นี่ เราสนุกกับการพูดไทย ใส่เขาเลย 555 เขาฟังเราออกทุกคน แต่พูดกลับไม่ได้เท่านั้น
อย่าง เนียกเปียน ก็คือ นาคพัน
ก่อนกลับเราแวะไป Landmine museum เสียค่าเข้าคนละ 5 US ซึ่งเรายินดีเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าที่นี่ เล็ก และไม่ค่อยมีอะไร นอกจากระเบิดประเภทต่างๆ ที่ขุดกันขึ้นมา แต่เราก็ถือว่า ช่วยกันบริจาคเงิน เป็นทุนให้อาสาช่วยกันไปขุดระเบิด ให้หมดไป ป้องกันไม่ให้เด็กๆ รับอันตรายจากภัยนี้อีก
วันสุดท้าย ผมกลับไฟลท์ดึก เลยมีเวลาเดินเล่นที่ National Museum สนนราคาค่าเข้า คนละ 12 US ที่นี่ผมรู้สึกได้เลย การจัดการที่นี่ ดีกว่า National museum ของไทย เยอะทีเดียว ทั้งที่ มีของแสดงน้อยกว่ากันมาก
แนะนำให้เข้ามาชมที่นี่ก่อน ค่อยไปชมของจริง จะทำให้เข้าใจเรื่องราวได้ดีขึ้น ที่นี่มีบรรยายเป็นภาษาไทยด้วย
ซึ่งหาได้น้อยมาก ทุกที่ที่มีภาษาไทย แสดงว่าเจ้าของเป็นคนไทยมาร่วมทุน และแน่นอน พิพิธภัณท์แห่งชาตินี้ก้เป็นเอกชนไทยมาร่วมทุนจัดทำขึ้นนั่นเอง
ก่อนกลับ กินก๋วยเตี๋ยวเขมร ให้เยอะดี รสชาติอร่อย ราคาชามละ 1.5 US
ขากลับก็นั่งตุ๊กๆ กลับ นัดไว้ 7.30 เขาก็มารอตรงเวลาตลอด ราคา 6 US
ที่สนามบิน มี Wifi ฟรีด้วย
ลาก่อน เสียมเรียบ ที่ทำให้ผมได้สมหวัง หลังจากรอคอยมานานร่วมยี่สิบปี