เตะหมูเข้าปากหมา หรือ หมาหวงก้าง กันแน่ ???

จากกรณีที่สังคมออน์ไลน์กำลังมีประเด็นร้อนแรง จากกลุ่มสหภาพกลุ่มหนึ่งว่า
"รัฐเอื้อนายทุน - กำลังเสียค่าโง่ให้กับเอกชนที่เข้ามาประมูลรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน"
ทำให้รัฐบาลต้องลงทุนมูลค่ากว่า 123,784 ล้านบาท ขณะที่เอกชนลงทุนแค่ 90,000 ล้านบาท ได้สัมปทานผูกขาด 50 ปี พ่วงที่ดินมักกะสัน และแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ให้ไปบริหารจัดการ


ความจริง
รฟท. ถือครองที่ดินกว่า 36,000 ไร่ และปล่อยให้เช่าได้เงินฟรีๆ 1,000 ล้านบาทต่อปี (มีที่ดินเอาไปปล่อยเช่าได้เงินฟรี)
รฟท. ผูกขาดการเดินรถทางรางมาเจ้าเดียวเป็น 100 ปี โดยไม่เสียสัมปทานด้วย (ผูกขาดฟรี)
รฟท. ใช้รถไฟ ตู้ขบวน ที่ดิน งบประมาณจากภาครัฐทั้งหมด (ต้นทุนแทบจะไม่มีเลย)

รฟท = ต้นทุนไม่มี + ค่าดำเนินการต่ำ-กลาง  + ค่าโดยสารพันกว่า + ได้เงินฟรีจากค่าเช่าที่ปีละ 1,000 ล้านบาท
                          ขาดทุนสะสม 7 หมื่นกว่าล้านบาทแล้ว

แล้วเงินที่ไปใช้อุ้มการรถไฟอยู่คือเงินของใคร ก็เงินภาษีของคนไทยทั้งประเทศ

แต่พอจะมีคนเข้ามาช่วยพัฒนา รับภาระหนี้สิน และสร้างประโยชน์ให้กับพื้นที่รกร้างที่ไม่ได้สร้างรายได้จำนวนมหาศาล กลับถูกออกมาต่อต้านจากลุ่มคนที่ไม่ยอมเปลี่ยน อยากอยู่ใน Comfort Zone ของตัวเอง พอสิ้นเดือนก็จะรับเงินเดือน พอสิ้นปีก็จะขอโบนัส พอเงินไม่พอใช้ก็จะออกมาเดินขบวนเรียกร้อง แต่ในความจริงองค์กรนั้นกำลังย่ำแย่สุดๆ

ในขณะที่ให้เอกชนเข้ามาบริหาร ยังไม่ทันได้สร้างก็ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ย ในการกู้เงินมาลงทุนแล้ว
การลงทุนรถไฟฟ้าความเร็วสูงก็ต้องจัดซื้อตัวระบบราคาแพง อาณัติสัญญาณ ระบบต่างๆ  ค่าบำรุงรักษา ค่าเช่าต่างๆ ค่าจ้างและพนักงานตำแหน่งต่างๆ เรียกว่าต้องทำใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่การปูพื้นความรู้ให้คนในชาติ ไปจนถึงแรงงานที่กำลังจะเกิดใหม่อีกหลายสิบ หลายร้อย หลายพันอัตราในอนาคต

เพียงแค่นี้ก็ทำให้ต้นทุนในการดำเนินกิจการขยับตัวสูงขึ้นมากละ แล้วจะไปคาดหวังว่าจะได้กำไรใน 5 ปี 10 ปี ยิ่งไม่มีทาง

หากไม่สร้างวันนี้ รอไปอีกปี สองปี ค่าก่อสร้างก็มีแต่จะขยับขึ้นไปเรื่อยๆ คงไม่มีทางที่จะถูกลงได้นะ



ล่าสุด ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม รักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ชี้แจงว่า

"การลงทุนรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน เปิดสัมปทาน 50 ปี เป็นเงื่อนไขร่วมลงทุนแบบ PPP Net Cost เอกชนรับความเสี่ยงด้านปริมาณผู้โดยสาร โครงการมีมูลค่าสูงจึงมีความเสี่ยงมาก ระยะเวลาคืนทุนนาน โดยเอกชนต้องลงทุน 2.2 แสนล้านบาท ขณะที่ภาครัฐจะทยอยผ่อนใช้คืนไม่เกินค่างานโยธาไม่น้อยกว่า 10 ปี ยันเงื่อนไขร่วมลงทุนคำนึงถึงประโยชน์ของภาครัฐ และความเป็นไปได้ของโครงการ

การลงทุนแบบ PPP Net Cost  เป็นประโยชน์ต่อภาครัฐในหลายด้าน
• ภาครัฐไม่ต้องรับความเสี่ยงการขาดทุนจากการดำเนินงาน หากปริมาณผู้โดยสารน้อยกว่าที่ประมาณการไว้
• ภาครัฐไม่มีความเสี่ยงด้านการเปิดให้บริการล่าช้ากว่า 5 ปี เนื่องจากเอกชนจะไม่ได้รับเงินที่รัฐร่วมลงทุนหากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้
• ภาครัฐจ่ายเงินร่วมลงทุนเท่าเดิมโดยไม่เกินกรอบงบประมาณที่วางไว้ หากเอกชนมีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนั้นสัญญายังกำหนดให้เอกชนต้องจ่ายค่าปรับหากดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จล่าช้าอีกด้วย

ที่สำคัญที่สุด ภาครัฐมีโอกาสประหยัดเงินที่ร่วมลงทุนได้ หากมีการแข่งขันในการประมูล เกณฑ์คัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน จะพิจารณาจากผู้ยื่นข้อเสนอที่ผ่านคุณสมบัติและข้อเสนอทางเทคนิค ที่ขอรับเงินร่วมลงทุนจากรัฐน้อยสุด

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าเงื่อนไขการร่วมลงทุนดังกล่าว ได้คำนึงถึงประโยชน์ของภาครัฐ ความเป็นไปได้ของการร่วมลงทุน และการจัดสรรความเสี่ยงต่าง ๆ อย่างรอบคอบแล้ว โดยภาครัฐไม่ได้เสียเปรียบเอกชนแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาตามสัญญาร่วมลงทุน ทรัพย์สินทั้งหมดในโครงการก็จะตกเป็นของภาครัฐ"

แล้วตกลงภาครัฐกำลังเอื้อเอกชน หรือเอกชนกำลังเอื้อรัฐ เพื่อช่วยดึงดูดการลงทุนเพิ่มในประเทศไทย กันแน่ ???

หรือต้องไปถามสหภาพการรถไฟก่อน

รายละเอียดเนื้อข่าวทั้งหมด ---> [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่