ใจความหลักๆตามหัวเรื่อง แต่ขออนุญาตใช้บทเกริ่นนำที่ยาวซักเล็กน้อยค่ะ // สถานการณ์ปัจจุบันคือโดนลามปามมาเรื่องส่วนตัวแล้ว
เรื่องของเรื่องคือช่วงหยุดสงกรานต์ เราตั้งใจไปเกาหลีค่ะ ด้วย 2 เหตุผล
1. เรายังไม่เคยไปเลย เคยแต่ผ่านทรานสิต (ไหนๆตอนนี้ช่วงซากุระ ก็อยากไป)
2. ครอบครัวฝั่งแม่จะไปดูซากุระที่ญี่ปุ่น แม้ว่าเรายังไม่เคยเห็นตอนบานเต็มที่ซักที เพราะต้องกลับไทยก่อนตลอด แต่ทริปนี้ลูกพี่ลูกน้องคนที่ไม่ถูกขี้หน้ากันจะตามมาด้วย บวกกับว่าเราขอบินแยก เพราะเราไม่เอาไฟลท์โต้รุ่ง แล้วสุขภาพเราไม่ได้ แต่ญาติฝั่งแม่ไม่อนุมัติค่ะ เลยเทญาติไป
จริงๆช่วงสงกรานต์มันหยุดนานอยู่แล้ว แต่เราอยากมาทำงานชดเชย เพื่อเก็บวันอื่นไปลาต่อ (คืออยากใช้วันลาทีเดียวตอนช่วงวันแรงงานค่ะ ไหนๆต้องบินไปพรีเซ้นท์งานที่ฮ่องกงอยู่แล้ว เลยอยากบินเลยอีกนิดไปฮอกไกโด แล้วไปเยี่ยมบ้านเกิดของครอบครัวโฮสต์เราในญี่ปุ่นค่ะ)
ในกลุ่มแชทไลน์ของเพื่อนที่มหาลัย มีคนอยู่ 10 คนพอดี มีแทบจะครบทุกเพศสภาวะ (เป็นรุ่นพี่ 4 คน แล้วรุ่นเดียวกันอีก 5 คน)
ในการเล่าเรื่อง ขอแยกเป็น 2 เฝส เฝสแรกตามหัวข้อค่ะ คือเป็นเรื่องระหว่างเรากับรุ่นพี่คนหนึ่งค่ะ และเฝสหลังคือเป็นเรื่องระหว่างเรากับเพื่อนรุ่นเดียวกันเอง (ที่ในกรณีนี้เราคิดว่าเพื่อนกันเองทำเกินกว่าเหตุ)
แจกแจงตัวละครนิดนึงนะคะ
ของรุ่นพี่เรา พี่คนที่เป็นปัญหา ทำงานเป็น Sale Manager ที่นึง เงินเดือน 5x,xxx แล้วก็คบคนที่ทำงานเดียวกัน แต่เป็นอดีตเด็กฝึกงาน (ที่ตอนนี้ไม่ได้ฝึกแล้ว กลับไปเป็นนักศึกษาเฉยๆ) พี่คนนี้ไปญี่ปุ่นกับเราบ้างเป็นครั้งคราว นานๆครั้ง มีทั้งครั้งที่ไปแล้วเป็นปัญหา และครั้งที่ไปแล้วราบรื่น ส่วนเรื่องแฟนนางที่เป็นเด็กฝึกงานนั้น ไม่ทราบว่าเป็นไงมาไง เราไม่ได้ใส่ใจอะค่ะ ทราบแค่พี่เค้าเคยโทรมาตัดพ้อกับเราตอนที่ทะเลาะกับแฟนเด็กคนนี้ว่า ไอโฟนแฟน นางก็เป็นคนซื้อให้ (อารมณ์เหมือนเปย์แฟน ไรงี้) ส่วนรุ่นพี่อีก 3 คนกำลังต่อป.โทที่รามค่ะ
ส่วนของรุ่นเดียวกัน ก็มีทั้งคนที่ต่อป.โทมหาลัยเดิม คนที่ซิ่วไปมหาลัยอื่น คนที่สอบปลัดได้ และอื่นๆอีกมากมาย // มาพีคเอาตรงชีคนนึงที่ขายตรงค่ะ
เข้าเรืองเฝสแรกเลยนะคะ
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า การไปเกาหลีนั้น เราไม่มั่นใจว่าเราจะไปคนเดียวไหวมั้ย จึงปรึกษาพี่คนนึงจาก 3 คนที่เรียนป.โทที่รามค่ะ นางเคยไปเกาหลีกับบริษัททัวร์ แล้วก็เลยจบที่ว่า ชวนไปด้วยกัน แต่ทีนี้คุยกันไม่ลงตัวเรื่องบริษัททัวร์ (เลือกกันไม่ได้ซักทีค่ะ ไม่ได้ทะเลาะกันนะคะ) เลยเจอทัวร์ไพรเวทที่รวมทุกอย่างยกเว้นตั๋วเครื่องบิน ของบ.นึง ราคาต่อคนไม่ถึงหมื่น แต่ต้องไป 4 คนขึ้นไป เลยไปชวนอีก 2 คนที่เรียนป.โทรามพร้อมพี่คนนี้
โดยที่เราบอกว่าราคาของทัวร์ไพรเวท เราจ่ายให้ก่อนได้ 60% ของราคาที่เป็นดีลกับบ.ทัวร์ แต่อีก 40% และค่าเครื่องบิน ทุกคนออกเองนะ
<< จุดนี้ เรื่องค่าใช้จ่าย เราพูดเคลียร์ค่ะ
ตอนที่ชวน เลยแท็กเข้าไปในกลุ่มใหญ่ (ที่มี 10 คนอะค่ะ) โดยแท็กชื่อของพี่อีก 2 คนดังกล่าวนั้นไป พี่คนนึงตอบในกลุ่มไปเลยว่า "คิดหนักนะ เพราะยังอยากไปญี่ปุ่นมากกว่าเกาหลี" ส่วนพี่อีกคนทักมาหลังไมค์ ถามว่า "ทำไมไม่ไปญี่ปุ่น ถ้าเป็นเกาหลี ขอยังไม่เอาทริปนี้ได้มั้ย" << ในจุดๆนี้เราไม่ได้มีปัญหาขัดข้องใจได้ๆกับ 2 คนที่อยากไปญี่ปุ่นมากกว่าเกาหลีค่ะ เราเข้าใจความคิดพวกเค้าดี สนิทกันมานาน
ก็เลยจบตรงที่เราเข้าไปสรุปในกลุ่มแชทเดิมกลุ่มนั้นว่า สรุปเรากับเจ๊ที่เคยไปเกาหลีมาแล้ว จะยังเดินหน้าไปเกาหลีนะ ใครจะฝากซื้อไรมั้ย (ถามเป็นมารยาทค่ะ 55555+) //
ก็คือมีพี่คนที่ไม่ได้ชวน เขียนมาพูดกับเราว่า "ฝากหนีบนางไปญี่ปุ่นด้วยคน" // แต่ตอนนั้น เราล้อเล่นไง เราก็เข้าใจว่านางล้อเล่นเหมือนกัน
พี่คนที่ตอบตั้งแต่ในแชทกลุ่มว่าไปไม่ได้ ก็มาเล่นมุขเบาๆค่ะ เราขรรม เพราะรู้ว่าพี่เค้าไม่ได้คิดอะไร แต่พี่คนที่เคยไปเกาหลีมาแล้ว (ละเรายังเข้าใจว่าจะไปด้วยกัน) อยู่ดีๆก็พูดมากลางกลุ่มเลยว่า "ไม่ไปแล้ว" ซึ่งเราก็งงจ้า (ดีว่ายังไม่จองอะไรเลย)
ด้วยความสนิทอะนะคะ เลยถามไปตรงๆว่าทำไมแคนเซิ่ลซะแล้วหล่ะ นางบอกเราว่าก็คนอื่นอยากไปญี่ปุ่นมากกว่า ก็จะรอไปฮอกไกโดรอบหลังกับเรา
(ในจุดๆนี้เรางงค่ะ เพราะทั้งคนที่ตอบในกลุ่มตอนแรกว่าไปไม่ได้ กับคนที่มาหลังไมค์กับเรา ยังไงก็ไม่ไปช่วงนี้แน่ๆ)
เราเลยถามไปตรงๆเหมือนกันว่า "ใครจะไปเหรอ เราไปคนเดียวไม่ใช่เหรอ" << ใช่อยู่ว่า เราเคยบอกคนในกลุ่มก่อนงอกทริปเกาหลี ว่าเราจะมีไปฮอกไกโด เพราะมันต่อจากพรีเซ้นท์งานบริษัทเราที่ฮ่องกงพอดี บินสั้น บินกลางวัน ด้วยความขี้เกียจ 555555+ แต่ไม่ได้ชวนใครไปไง
ในไลน์กลุ่มตอนนั้นคือเงียบกันพักใหญ่ๆเป็นวันเลยค่ะ
แต่ในไลน์ส่วนตัวเรา คือ
พี่คนที่เป็น Sale Manager สายเปย์แฟนเด็ก ทักเรามาหลังไมค์ค่ะ บอกเราว่านางไปคุยกับพี่คนที่เคยไปเกาหลีส่วนตัวแล้ว และเห็นสมควรว่าควรไปญี่ปุ่นพร้อมเราทริปหลัง
(// โดยที่ไม่ปรึกษาเรา และไม่ถามความสมัครใจเราเลย) นางบอกว่านางอยากไป และพี่คนที่เคยไปเกาหลีเองก็ไม่อยากไปซ้ำ ทั้งนางแล
ะพี่คนนั้นจึงเห็นว่าฮอกไกโดที่เราจะไป เหมาะสมที่สุด
ณ จุดๆนี้ เราอึดอัดใจค่ะ ยังไม่ถึงขั้นปรี๊ดนะ เราเลยพูดกับเขาไปว่า เอ้อ รอบนี้ยังไม่แน่ใจเลย หลักๆคือตั้งใจจะไปเยี่ยมครอบครัวของโฮสต์ในบ้านเกิดทางฝั่ง East Hokkaido (พวก Kushiro กับ Kitami ไรงี้อะค่ะ) คงค้างบ้านโฮสต์เลย ไม่สะดวกพาไปด้วย แต่ถ้าอีกอย่างที่ชัวร์กว่าพาเพื่อนตัวเองไปแน่ๆคือ ครอบครัวฝั่งพ่อ ถ้าเกิดจะมาช่วงนั้น ก็จะเปลี่ยนแผนไปเที่ยวฝั่งซัปโปโรแทน
ไม่ว่าด้วยเหตุผลไหน ก็ไม่สะดวกพาเพื่อนไปอยู่ดี
พี่คนนั้นบอกว่า นางได้ทัวร์ฮอกไกโดกันแล้ว ซึ่งแม้ว่าไม่ใช่ทัวร์ไพรเวท แต่วันเดินทางออกจากสนามบิน Shin-Chitose ของฮอกไกโด ตรงกับไฟลท์บินที่เราเดินทางกลับพอดี (ของเราต่อเครื่องกลับฮ่องกงเหมือนเดิมนะคะ มาทางไหน กลับทางนั้น เพราะที่คุยกับบอสใหญ่ของบ.คือ ซื้อตัว Multi-city ของฮอกไกโดแล้ว ละเราจ่ายเงินส่วนต่างไปแล้วด้วย เงินตัวเองล้วนๆ) // ในหัวเราตอนนั้นคือ แล้วไง แต่ก็ยัง read ต่อเรื่อยๆ //
สรุปก็คือ เพราะจะมาช่วงที่เรามา แล้วบินกลับวันเดียวกันนั่นแหละ แต่นางเอาแฟนมาด้วย จึงอยากให้เราซัพพอร์ทค่าเครื่องบินในจุดๆนี้ << เหตุผลไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยแหม่ะ
ถึงตอนนี้เราขึ้นนะ
คุณจะเปย์แฟนคุณ นั่นเรื่องของคุณ แต่เรากับแฟนคุณไม่รู้จักกัน ไม่ได้เป็นเพื่อนกัน เราไม่สะดวกใจทำให้จริงๆ
เราสงบสติอารมณ์ แล้วตอบไปเย็นๆว่า "ขอพูดให้เคลียร์นะคะ ที่เราพูดไว้ตั้งแต่ตอนแรกว่าสำรองออกให้รุ่นพี่อีก 2-3 คนก่อน เพื่อให้ได้ไปเกาหลีด้วยกัน คือเราอยากไปจริงๆ แต่ญี่ปุ่นอันนี้เป็นธุระของเรา เราไม่สะดวกใจออกค่าใช้จ่ายในส่วนที่เราไม้ได้สำรองเงินไว้"
พี่เค้าเงียบค่ะ แล้วอีกวันนึงส่งกระทู้เกี่ยวกับ 10 เหตุผลที่ควรลาออกจากงานมาให้เราหลังไมค์ แล้วพูดว่า "สู้ๆนะ อย่าเครียด อย่ากดดันตัวเอง" {ลื้งค์ในสปอยค่ะ}
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://th.jobsdb.com/th-th/articles/สัญญาณ-บอก-ถึงเวลาลาออก
ณ จุดนี้ เราว่าเราปรี๊ดแล้วอะ ที่เขาทำ มันเข้าขั้นพาลละ // เราแฮปปี้ดีกับการทำงาน //
ปัญหาตามความเป็นจริงคือ เพราะเราไม่ซัพพอร์ตค่าท่องเที่ยวของแฟนเด็กของนาง นางจึงมาลงแบบนี้กับเรา เราไม่โอเค เราว่าเราพูดด้วยเหตุผล แต่ก็ไม่ได้พูดตรงกับที่ใจคิดว่า
"ที่เราไม่ออกให้แฟนนาง เพราะแฟนนางไม่ได้เป็นเพื่อนกับเราโดยตรง ส่วนกรณีของอีก 2-3 คนนั้นสำรองจ่ายให้ก่อน ไว้มีโอกาสค่อยทวง เราไม่ได้เปย์ 2-3 คนนั้นเหมือนกัน" << คำพูดตรงนี้ที่อยู่ในใจเรา ยอมรับนะคะว่ามีบริบทของอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เราจึงไม่พูดตรงนี้ออกไป คิดว่าทิ่มแทงแน่ๆ
จึงตัดสินใจยัดไปทำนองว่า "อืมมม ทำไมอยู่ดีๆเป็นห่วงเราหล่ะ เราเคยพูดเหรอว่าเราไม่โอเคกับงาน ทุกวันนี้เรามีเงินเยอะเพราะบ้านรวย แต่เงินเดือนไม่ได้เยอะ มันเป็นสิ่งที่เราเลือกแล้วมีความสุขนะ เราชอบก๋วยเตี๋ยวแถวที่ทำงาน ที่ทำงานใกล้บ้าน"
ทีนี้โดนชวนทะเลาะเลยค่ะ "เรียนไมเนอร์ญี่ปุ่นมา แทนที่จะใช้ภาษาให้เป็นประโยชน์ ทำงานล่ามเงินเป็นแสนๆ มาทำงานออฟฟิศเล็กๆไม่มีเกียรติ แล้วบ่นว่ายากจน แต่ก็ชอบพูดเหมือนตัวเองบ้านรวย บลาๆ" << โดนเป็นชุดๆ เหอๆ แต่ไอ้เรื่องทำงานล่ามไรงี้ เราก็มีเหตุผลส่วนตัวกับข้อจำกัดอีกหลายด้าน ไม่ขอพูดละกัน ตรงนี้คือ quote มาให้รู้แค่ว่า อืมมม โดนยั่วโมโหละนะ โดนชวนทะเลาะแล้วนะ อีกคำนึงเต็มๆคือ "เผือก" (อยู่ในใจค่ะ ไม่พูด 55555+)
จบเฝส 1 ตรงที่ เราพูดกับพี่เค้าว่า "ขอบคุณสำหรับข้อเสนอแนะค่ะ แต่อยากได้เวลาพิจารณาตัวเองมากกว่านี้ เพราะยังไม่แน่ใจว่าเราเชื่อมั่นในตัวเราเองมากกว่า หรือทุกคนรอบตัวคิดเห็นเช่นเดียวกับพี่" >> หลังจากนั้นก็ไม่ได้คุยกันอีกค่ะ
เฝสหลัง ขอตัดตอนไปตรงเรื่องท่ี่งานคืนสู่เหย้านะคะ ซึ่งเราไม่ไปค่ะ มีธุระส่วนตัวด้วย ต่อให้ไม่มีธุระเราก็ไม่อยากไป เสียเวลา ก็คือในกลุ่มไลน์ไรงี้ส่วนใหญ่ก็คุยกันเยอะเวอร์ๆค่ะ คือปกติเราจะเข้าไปตอบไรตามมารยาทบ้าง แต่ช่วงนี้เราไม่สะดวกตอบจริงๆ โดนแท็กชื่อบ่อยก็ไม่ตอบ ไอจีพวกนางอัพรูปกันสนุกสนาน ไลค์กันเอง เม้นท์กันเอง เราก็ไม่สนใจอะค่ะ << ที่ทำงานไม่ได้มีงานอะไรเครียดนะคะ แต่พอมากคนมากปัญหา เราก็ไม่อยากคุยอะ มาโฟกัสที่ทำงานแล้วโอเคกับตัวเองมากกว่า
ล่าสุดคือเมื่อวาน วันอังคาร อยู่ดีๆชีขายตรงก็ทักเรามาหลังไมค์ ส่งรูปเซลฟี่ตัวเองมา ด้วยข้อความตามหลังว่า "Do u miss a thing?" (ลืมไรไปรึเปล่า) // คือชีเป็นคนสวย แต่ในจุดๆนี้ เราว่ามากไปเราก็รำคาญ แล้วรูปนี้เราก็เห็นผ่านตาในแชทกลุ่มอยู่ช่วงนึง (ที่มีแท็กเรา แต่เราไม่ได้เม้นท์ ไม่เข้าไปคุยเลย) เราเลยตอบว่า "I don't think so" แล้วนางก็เงียบไปเลยจ้า
วันพุธ (เมื่อวาน) เพื่อนอีกคนนึง ทักมาส่วนตัว บอกว่าแวะมาแถวสุขุมวิท กินร้านไหนดี ส่งมารัวๆ 4-5 ร้านเลย เราก็บอกว่า "เลือกเลยจ้า ช่วงนี้หมดแพชชั่น" << คือเราไม่อยากตอบค่ะ แต่คนนี้ก็ทักมาอยู่นั่นแหละ เราเปิดไลน์ในคอม เลยทิ้ง read ไว้งั้น // จบที่เพื่อนอีกคนโทรมาหลังเลิกงาน บอกว่าได้ร้านแล้ว ไปเจอที่ร้าน xxx ย่านเอกมัย เราก็ได้ๆ เดี๋ยวไป (ใจจริงตอนนั้นไม่อยากไปนะคะ)
แล้วมันเป็นร้านซูชิค่ะ เราชอบกินปลาแซลม่อนดิบ แต่เราไม่กินผัก ซูชิไข่หวานไรมีผักหรือพวกโรลล์ๆนี่ เราไม่กินเลย เราก็สั่งปกติค่ะ ทุกคนเค้าก็คุยกันเรื่องคืนสู่เหย้า เราก็เงียบ พออาหารมา เราจะคีบแซลม่อนชิ้นแรกเข้าปากเท่านั้นแหละ เหล่าเพื่อนๆเราก็แซะว่า
"อ้าว แพ้อาหารไม่ใช่เหรอ ปลาดิบนี่กินได้เหรอ" แล้วก็หัวเราะกันต่างๆนาๆ เราไม่ได้อยู่ใน mood ที่ตลกอะ แต่ก็คือไม่เหวี่ยงนะคะ ตอนนั้นตีเนียนว่า
"เราแพ้อาหารไรอะ เรายังไม่รู้เลย เราบอกตอนไหนหรือมีใครบอก" แล้วชีขายตรงก็แซะเราเรื่องบ้างานว่า
"นี่บ้างานขั้นประสาทหลอนเลยเหรอ แกจำได้มั้ยว่าตอนไปเล่นบ้านพี่ Sale Manager พี่เค้าบอกว่าแกแพ้อาหาร" << หมดกันทีความอดทน เหมือนฟางเส้นสุดท้ายระหว่างกลุ่มเพื่อนที่มหาลัยขาดละ เล่นเกินไป เราไม่พูดไรเลยค่ะ ก้มหน้าก้มตากินแซลม่อนให้หมด จ่ายตามราคาในเมนู แล้วบวกเพิ่ม 50 บาท บอกว่าปวดท้องเมนส์ (จริงๆเมนส์เรายังไม่มานะ)
ด้วยความสงสัย (ในประเด็นแพ้อาหารที่ถูกแซะ) ตอนอยู่ในรถเมล์ เลยไปย้อนเชทว่าร้อยๆข้อความต่อวันที่อิพวกนี้มันคุยกัน มีไรพาดพิงถึงเราบ้าง อ่านดูแล้วก็สะพรึงพอสมควรเลยค่ะ ความหลากหลายทางเพศสภาวะและนิสัยของคนในกลุ่มก็เล่นเราแสบเหมือนกัน หลายๆข้อความก็ตั้งใจแซะ (ในเรื่องที่ไม่มีมูล แค่คิดว่าเราต้องเซ้นส์) แซะตั้งแต่เรื่องความสนใจส่วนตัว (ที่ดูจะจริง) จนไปถึงเรื่องเมคๆอย่างแพ้อาหาร << ขอบคุณ2-3สัปดาห์ที่ผ่านมามากๆที่เราโฟกัสกับงานจนไม่ได้สนใจเรื่องงี่เง่าพรรคนี้ เลยโอเค leave group ไป
จบตรงที่เพื่อนคนที่สนิทกับเรามากที่สุดโทรไปหาแม่เรา แล้วถามแม่เราว่า เรากิ๊กกับคนที่ทำงานรึเปล่า ทำไมเอาอารมณ์มาลงเพื่อน
ที่อยากระบายคือ งงว่าทำไมเรื่องบานปลาย
[กระทู้ระบาย] เมื่อรุ่นพี่(ที่ไม่ได้ชวน)ร่วมทริปตปท ขอให้เราออกตังสปอนเซอร์ให้แฟนนาง
เรื่องของเรื่องคือช่วงหยุดสงกรานต์ เราตั้งใจไปเกาหลีค่ะ ด้วย 2 เหตุผล
1. เรายังไม่เคยไปเลย เคยแต่ผ่านทรานสิต (ไหนๆตอนนี้ช่วงซากุระ ก็อยากไป)
2. ครอบครัวฝั่งแม่จะไปดูซากุระที่ญี่ปุ่น แม้ว่าเรายังไม่เคยเห็นตอนบานเต็มที่ซักที เพราะต้องกลับไทยก่อนตลอด แต่ทริปนี้ลูกพี่ลูกน้องคนที่ไม่ถูกขี้หน้ากันจะตามมาด้วย บวกกับว่าเราขอบินแยก เพราะเราไม่เอาไฟลท์โต้รุ่ง แล้วสุขภาพเราไม่ได้ แต่ญาติฝั่งแม่ไม่อนุมัติค่ะ เลยเทญาติไป
จริงๆช่วงสงกรานต์มันหยุดนานอยู่แล้ว แต่เราอยากมาทำงานชดเชย เพื่อเก็บวันอื่นไปลาต่อ (คืออยากใช้วันลาทีเดียวตอนช่วงวันแรงงานค่ะ ไหนๆต้องบินไปพรีเซ้นท์งานที่ฮ่องกงอยู่แล้ว เลยอยากบินเลยอีกนิดไปฮอกไกโด แล้วไปเยี่ยมบ้านเกิดของครอบครัวโฮสต์เราในญี่ปุ่นค่ะ)
ในกลุ่มแชทไลน์ของเพื่อนที่มหาลัย มีคนอยู่ 10 คนพอดี มีแทบจะครบทุกเพศสภาวะ (เป็นรุ่นพี่ 4 คน แล้วรุ่นเดียวกันอีก 5 คน)
ในการเล่าเรื่อง ขอแยกเป็น 2 เฝส เฝสแรกตามหัวข้อค่ะ คือเป็นเรื่องระหว่างเรากับรุ่นพี่คนหนึ่งค่ะ และเฝสหลังคือเป็นเรื่องระหว่างเรากับเพื่อนรุ่นเดียวกันเอง (ที่ในกรณีนี้เราคิดว่าเพื่อนกันเองทำเกินกว่าเหตุ)
แจกแจงตัวละครนิดนึงนะคะ
ของรุ่นพี่เรา พี่คนที่เป็นปัญหา ทำงานเป็น Sale Manager ที่นึง เงินเดือน 5x,xxx แล้วก็คบคนที่ทำงานเดียวกัน แต่เป็นอดีตเด็กฝึกงาน (ที่ตอนนี้ไม่ได้ฝึกแล้ว กลับไปเป็นนักศึกษาเฉยๆ) พี่คนนี้ไปญี่ปุ่นกับเราบ้างเป็นครั้งคราว นานๆครั้ง มีทั้งครั้งที่ไปแล้วเป็นปัญหา และครั้งที่ไปแล้วราบรื่น ส่วนเรื่องแฟนนางที่เป็นเด็กฝึกงานนั้น ไม่ทราบว่าเป็นไงมาไง เราไม่ได้ใส่ใจอะค่ะ ทราบแค่พี่เค้าเคยโทรมาตัดพ้อกับเราตอนที่ทะเลาะกับแฟนเด็กคนนี้ว่า ไอโฟนแฟน นางก็เป็นคนซื้อให้ (อารมณ์เหมือนเปย์แฟน ไรงี้) ส่วนรุ่นพี่อีก 3 คนกำลังต่อป.โทที่รามค่ะ
ส่วนของรุ่นเดียวกัน ก็มีทั้งคนที่ต่อป.โทมหาลัยเดิม คนที่ซิ่วไปมหาลัยอื่น คนที่สอบปลัดได้ และอื่นๆอีกมากมาย // มาพีคเอาตรงชีคนนึงที่ขายตรงค่ะ
เข้าเรืองเฝสแรกเลยนะคะ
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า การไปเกาหลีนั้น เราไม่มั่นใจว่าเราจะไปคนเดียวไหวมั้ย จึงปรึกษาพี่คนนึงจาก 3 คนที่เรียนป.โทที่รามค่ะ นางเคยไปเกาหลีกับบริษัททัวร์ แล้วก็เลยจบที่ว่า ชวนไปด้วยกัน แต่ทีนี้คุยกันไม่ลงตัวเรื่องบริษัททัวร์ (เลือกกันไม่ได้ซักทีค่ะ ไม่ได้ทะเลาะกันนะคะ) เลยเจอทัวร์ไพรเวทที่รวมทุกอย่างยกเว้นตั๋วเครื่องบิน ของบ.นึง ราคาต่อคนไม่ถึงหมื่น แต่ต้องไป 4 คนขึ้นไป เลยไปชวนอีก 2 คนที่เรียนป.โทรามพร้อมพี่คนนี้ โดยที่เราบอกว่าราคาของทัวร์ไพรเวท เราจ่ายให้ก่อนได้ 60% ของราคาที่เป็นดีลกับบ.ทัวร์ แต่อีก 40% และค่าเครื่องบิน ทุกคนออกเองนะ
<< จุดนี้ เรื่องค่าใช้จ่าย เราพูดเคลียร์ค่ะ
ตอนที่ชวน เลยแท็กเข้าไปในกลุ่มใหญ่ (ที่มี 10 คนอะค่ะ) โดยแท็กชื่อของพี่อีก 2 คนดังกล่าวนั้นไป พี่คนนึงตอบในกลุ่มไปเลยว่า "คิดหนักนะ เพราะยังอยากไปญี่ปุ่นมากกว่าเกาหลี" ส่วนพี่อีกคนทักมาหลังไมค์ ถามว่า "ทำไมไม่ไปญี่ปุ่น ถ้าเป็นเกาหลี ขอยังไม่เอาทริปนี้ได้มั้ย" << ในจุดๆนี้เราไม่ได้มีปัญหาขัดข้องใจได้ๆกับ 2 คนที่อยากไปญี่ปุ่นมากกว่าเกาหลีค่ะ เราเข้าใจความคิดพวกเค้าดี สนิทกันมานาน
ก็เลยจบตรงที่เราเข้าไปสรุปในกลุ่มแชทเดิมกลุ่มนั้นว่า สรุปเรากับเจ๊ที่เคยไปเกาหลีมาแล้ว จะยังเดินหน้าไปเกาหลีนะ ใครจะฝากซื้อไรมั้ย (ถามเป็นมารยาทค่ะ 55555+) // ก็คือมีพี่คนที่ไม่ได้ชวน เขียนมาพูดกับเราว่า "ฝากหนีบนางไปญี่ปุ่นด้วยคน" // แต่ตอนนั้น เราล้อเล่นไง เราก็เข้าใจว่านางล้อเล่นเหมือนกัน
พี่คนที่ตอบตั้งแต่ในแชทกลุ่มว่าไปไม่ได้ ก็มาเล่นมุขเบาๆค่ะ เราขรรม เพราะรู้ว่าพี่เค้าไม่ได้คิดอะไร แต่พี่คนที่เคยไปเกาหลีมาแล้ว (ละเรายังเข้าใจว่าจะไปด้วยกัน) อยู่ดีๆก็พูดมากลางกลุ่มเลยว่า "ไม่ไปแล้ว" ซึ่งเราก็งงจ้า (ดีว่ายังไม่จองอะไรเลย)
ด้วยความสนิทอะนะคะ เลยถามไปตรงๆว่าทำไมแคนเซิ่ลซะแล้วหล่ะ นางบอกเราว่าก็คนอื่นอยากไปญี่ปุ่นมากกว่า ก็จะรอไปฮอกไกโดรอบหลังกับเรา
(ในจุดๆนี้เรางงค่ะ เพราะทั้งคนที่ตอบในกลุ่มตอนแรกว่าไปไม่ได้ กับคนที่มาหลังไมค์กับเรา ยังไงก็ไม่ไปช่วงนี้แน่ๆ)
เราเลยถามไปตรงๆเหมือนกันว่า "ใครจะไปเหรอ เราไปคนเดียวไม่ใช่เหรอ" << ใช่อยู่ว่า เราเคยบอกคนในกลุ่มก่อนงอกทริปเกาหลี ว่าเราจะมีไปฮอกไกโด เพราะมันต่อจากพรีเซ้นท์งานบริษัทเราที่ฮ่องกงพอดี บินสั้น บินกลางวัน ด้วยความขี้เกียจ 555555+ แต่ไม่ได้ชวนใครไปไง
ในไลน์กลุ่มตอนนั้นคือเงียบกันพักใหญ่ๆเป็นวันเลยค่ะ
แต่ในไลน์ส่วนตัวเรา คือพี่คนที่เป็น Sale Manager สายเปย์แฟนเด็ก ทักเรามาหลังไมค์ค่ะ บอกเราว่านางไปคุยกับพี่คนที่เคยไปเกาหลีส่วนตัวแล้ว และเห็นสมควรว่าควรไปญี่ปุ่นพร้อมเราทริปหลัง (// โดยที่ไม่ปรึกษาเรา และไม่ถามความสมัครใจเราเลย) นางบอกว่านางอยากไป และพี่คนที่เคยไปเกาหลีเองก็ไม่อยากไปซ้ำ ทั้งนางและพี่คนนั้นจึงเห็นว่าฮอกไกโดที่เราจะไป เหมาะสมที่สุด
ณ จุดๆนี้ เราอึดอัดใจค่ะ ยังไม่ถึงขั้นปรี๊ดนะ เราเลยพูดกับเขาไปว่า เอ้อ รอบนี้ยังไม่แน่ใจเลย หลักๆคือตั้งใจจะไปเยี่ยมครอบครัวของโฮสต์ในบ้านเกิดทางฝั่ง East Hokkaido (พวก Kushiro กับ Kitami ไรงี้อะค่ะ) คงค้างบ้านโฮสต์เลย ไม่สะดวกพาไปด้วย แต่ถ้าอีกอย่างที่ชัวร์กว่าพาเพื่อนตัวเองไปแน่ๆคือ ครอบครัวฝั่งพ่อ ถ้าเกิดจะมาช่วงนั้น ก็จะเปลี่ยนแผนไปเที่ยวฝั่งซัปโปโรแทน ไม่ว่าด้วยเหตุผลไหน ก็ไม่สะดวกพาเพื่อนไปอยู่ดี
พี่คนนั้นบอกว่า นางได้ทัวร์ฮอกไกโดกันแล้ว ซึ่งแม้ว่าไม่ใช่ทัวร์ไพรเวท แต่วันเดินทางออกจากสนามบิน Shin-Chitose ของฮอกไกโด ตรงกับไฟลท์บินที่เราเดินทางกลับพอดี (ของเราต่อเครื่องกลับฮ่องกงเหมือนเดิมนะคะ มาทางไหน กลับทางนั้น เพราะที่คุยกับบอสใหญ่ของบ.คือ ซื้อตัว Multi-city ของฮอกไกโดแล้ว ละเราจ่ายเงินส่วนต่างไปแล้วด้วย เงินตัวเองล้วนๆ) // ในหัวเราตอนนั้นคือ แล้วไง แต่ก็ยัง read ต่อเรื่อยๆ // สรุปก็คือ เพราะจะมาช่วงที่เรามา แล้วบินกลับวันเดียวกันนั่นแหละ แต่นางเอาแฟนมาด้วย จึงอยากให้เราซัพพอร์ทค่าเครื่องบินในจุดๆนี้ << เหตุผลไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยแหม่ะ
ถึงตอนนี้เราขึ้นนะ คุณจะเปย์แฟนคุณ นั่นเรื่องของคุณ แต่เรากับแฟนคุณไม่รู้จักกัน ไม่ได้เป็นเพื่อนกัน เราไม่สะดวกใจทำให้จริงๆ
เราสงบสติอารมณ์ แล้วตอบไปเย็นๆว่า "ขอพูดให้เคลียร์นะคะ ที่เราพูดไว้ตั้งแต่ตอนแรกว่าสำรองออกให้รุ่นพี่อีก 2-3 คนก่อน เพื่อให้ได้ไปเกาหลีด้วยกัน คือเราอยากไปจริงๆ แต่ญี่ปุ่นอันนี้เป็นธุระของเรา เราไม่สะดวกใจออกค่าใช้จ่ายในส่วนที่เราไม้ได้สำรองเงินไว้"
พี่เค้าเงียบค่ะ แล้วอีกวันนึงส่งกระทู้เกี่ยวกับ 10 เหตุผลที่ควรลาออกจากงานมาให้เราหลังไมค์ แล้วพูดว่า "สู้ๆนะ อย่าเครียด อย่ากดดันตัวเอง" {ลื้งค์ในสปอยค่ะ}
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ณ จุดนี้ เราว่าเราปรี๊ดแล้วอะ ที่เขาทำ มันเข้าขั้นพาลละ // เราแฮปปี้ดีกับการทำงาน // ปัญหาตามความเป็นจริงคือ เพราะเราไม่ซัพพอร์ตค่าท่องเที่ยวของแฟนเด็กของนาง นางจึงมาลงแบบนี้กับเรา เราไม่โอเค เราว่าเราพูดด้วยเหตุผล แต่ก็ไม่ได้พูดตรงกับที่ใจคิดว่า "ที่เราไม่ออกให้แฟนนาง เพราะแฟนนางไม่ได้เป็นเพื่อนกับเราโดยตรง ส่วนกรณีของอีก 2-3 คนนั้นสำรองจ่ายให้ก่อน ไว้มีโอกาสค่อยทวง เราไม่ได้เปย์ 2-3 คนนั้นเหมือนกัน" << คำพูดตรงนี้ที่อยู่ในใจเรา ยอมรับนะคะว่ามีบริบทของอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เราจึงไม่พูดตรงนี้ออกไป คิดว่าทิ่มแทงแน่ๆ
จึงตัดสินใจยัดไปทำนองว่า "อืมมม ทำไมอยู่ดีๆเป็นห่วงเราหล่ะ เราเคยพูดเหรอว่าเราไม่โอเคกับงาน ทุกวันนี้เรามีเงินเยอะเพราะบ้านรวย แต่เงินเดือนไม่ได้เยอะ มันเป็นสิ่งที่เราเลือกแล้วมีความสุขนะ เราชอบก๋วยเตี๋ยวแถวที่ทำงาน ที่ทำงานใกล้บ้าน"
ทีนี้โดนชวนทะเลาะเลยค่ะ "เรียนไมเนอร์ญี่ปุ่นมา แทนที่จะใช้ภาษาให้เป็นประโยชน์ ทำงานล่ามเงินเป็นแสนๆ มาทำงานออฟฟิศเล็กๆไม่มีเกียรติ แล้วบ่นว่ายากจน แต่ก็ชอบพูดเหมือนตัวเองบ้านรวย บลาๆ" << โดนเป็นชุดๆ เหอๆ แต่ไอ้เรื่องทำงานล่ามไรงี้ เราก็มีเหตุผลส่วนตัวกับข้อจำกัดอีกหลายด้าน ไม่ขอพูดละกัน ตรงนี้คือ quote มาให้รู้แค่ว่า อืมมม โดนยั่วโมโหละนะ โดนชวนทะเลาะแล้วนะ อีกคำนึงเต็มๆคือ "เผือก" (อยู่ในใจค่ะ ไม่พูด 55555+)
จบเฝส 1 ตรงที่ เราพูดกับพี่เค้าว่า "ขอบคุณสำหรับข้อเสนอแนะค่ะ แต่อยากได้เวลาพิจารณาตัวเองมากกว่านี้ เพราะยังไม่แน่ใจว่าเราเชื่อมั่นในตัวเราเองมากกว่า หรือทุกคนรอบตัวคิดเห็นเช่นเดียวกับพี่" >> หลังจากนั้นก็ไม่ได้คุยกันอีกค่ะ
เฝสหลัง ขอตัดตอนไปตรงเรื่องท่ี่งานคืนสู่เหย้านะคะ ซึ่งเราไม่ไปค่ะ มีธุระส่วนตัวด้วย ต่อให้ไม่มีธุระเราก็ไม่อยากไป เสียเวลา ก็คือในกลุ่มไลน์ไรงี้ส่วนใหญ่ก็คุยกันเยอะเวอร์ๆค่ะ คือปกติเราจะเข้าไปตอบไรตามมารยาทบ้าง แต่ช่วงนี้เราไม่สะดวกตอบจริงๆ โดนแท็กชื่อบ่อยก็ไม่ตอบ ไอจีพวกนางอัพรูปกันสนุกสนาน ไลค์กันเอง เม้นท์กันเอง เราก็ไม่สนใจอะค่ะ << ที่ทำงานไม่ได้มีงานอะไรเครียดนะคะ แต่พอมากคนมากปัญหา เราก็ไม่อยากคุยอะ มาโฟกัสที่ทำงานแล้วโอเคกับตัวเองมากกว่า
ล่าสุดคือเมื่อวาน วันอังคาร อยู่ดีๆชีขายตรงก็ทักเรามาหลังไมค์ ส่งรูปเซลฟี่ตัวเองมา ด้วยข้อความตามหลังว่า "Do u miss a thing?" (ลืมไรไปรึเปล่า) // คือชีเป็นคนสวย แต่ในจุดๆนี้ เราว่ามากไปเราก็รำคาญ แล้วรูปนี้เราก็เห็นผ่านตาในแชทกลุ่มอยู่ช่วงนึง (ที่มีแท็กเรา แต่เราไม่ได้เม้นท์ ไม่เข้าไปคุยเลย) เราเลยตอบว่า "I don't think so" แล้วนางก็เงียบไปเลยจ้า
วันพุธ (เมื่อวาน) เพื่อนอีกคนนึง ทักมาส่วนตัว บอกว่าแวะมาแถวสุขุมวิท กินร้านไหนดี ส่งมารัวๆ 4-5 ร้านเลย เราก็บอกว่า "เลือกเลยจ้า ช่วงนี้หมดแพชชั่น" << คือเราไม่อยากตอบค่ะ แต่คนนี้ก็ทักมาอยู่นั่นแหละ เราเปิดไลน์ในคอม เลยทิ้ง read ไว้งั้น // จบที่เพื่อนอีกคนโทรมาหลังเลิกงาน บอกว่าได้ร้านแล้ว ไปเจอที่ร้าน xxx ย่านเอกมัย เราก็ได้ๆ เดี๋ยวไป (ใจจริงตอนนั้นไม่อยากไปนะคะ)
แล้วมันเป็นร้านซูชิค่ะ เราชอบกินปลาแซลม่อนดิบ แต่เราไม่กินผัก ซูชิไข่หวานไรมีผักหรือพวกโรลล์ๆนี่ เราไม่กินเลย เราก็สั่งปกติค่ะ ทุกคนเค้าก็คุยกันเรื่องคืนสู่เหย้า เราก็เงียบ พออาหารมา เราจะคีบแซลม่อนชิ้นแรกเข้าปากเท่านั้นแหละ เหล่าเพื่อนๆเราก็แซะว่า "อ้าว แพ้อาหารไม่ใช่เหรอ ปลาดิบนี่กินได้เหรอ" แล้วก็หัวเราะกันต่างๆนาๆ เราไม่ได้อยู่ใน mood ที่ตลกอะ แต่ก็คือไม่เหวี่ยงนะคะ ตอนนั้นตีเนียนว่า "เราแพ้อาหารไรอะ เรายังไม่รู้เลย เราบอกตอนไหนหรือมีใครบอก" แล้วชีขายตรงก็แซะเราเรื่องบ้างานว่า "นี่บ้างานขั้นประสาทหลอนเลยเหรอ แกจำได้มั้ยว่าตอนไปเล่นบ้านพี่ Sale Manager พี่เค้าบอกว่าแกแพ้อาหาร" << หมดกันทีความอดทน เหมือนฟางเส้นสุดท้ายระหว่างกลุ่มเพื่อนที่มหาลัยขาดละ เล่นเกินไป เราไม่พูดไรเลยค่ะ ก้มหน้าก้มตากินแซลม่อนให้หมด จ่ายตามราคาในเมนู แล้วบวกเพิ่ม 50 บาท บอกว่าปวดท้องเมนส์ (จริงๆเมนส์เรายังไม่มานะ)
ด้วยความสงสัย (ในประเด็นแพ้อาหารที่ถูกแซะ) ตอนอยู่ในรถเมล์ เลยไปย้อนเชทว่าร้อยๆข้อความต่อวันที่อิพวกนี้มันคุยกัน มีไรพาดพิงถึงเราบ้าง อ่านดูแล้วก็สะพรึงพอสมควรเลยค่ะ ความหลากหลายทางเพศสภาวะและนิสัยของคนในกลุ่มก็เล่นเราแสบเหมือนกัน หลายๆข้อความก็ตั้งใจแซะ (ในเรื่องที่ไม่มีมูล แค่คิดว่าเราต้องเซ้นส์) แซะตั้งแต่เรื่องความสนใจส่วนตัว (ที่ดูจะจริง) จนไปถึงเรื่องเมคๆอย่างแพ้อาหาร << ขอบคุณ2-3สัปดาห์ที่ผ่านมามากๆที่เราโฟกัสกับงานจนไม่ได้สนใจเรื่องงี่เง่าพรรคนี้ เลยโอเค leave group ไป จบตรงที่เพื่อนคนที่สนิทกับเรามากที่สุดโทรไปหาแม่เรา แล้วถามแม่เราว่า เรากิ๊กกับคนที่ทำงานรึเปล่า ทำไมเอาอารมณ์มาลงเพื่อน
ที่อยากระบายคือ งงว่าทำไมเรื่องบานปลาย