แม่การะเกด ออเจ้าจะช่วยปลุกรัก ความเป็นไทยให้อื้ออึงอีกครั้ง..จะได้หรือไม่ ???

ช่วงนี้หากไม่เอ่ยถึง "บุพเพสันนิวาส" ละครดังทางทีวีช่อง ๓ ก็คงกระไรอยู่ เพราะผู้คนติดตามกันอย่างล้นหลาม  แม่การะเกดดูจะเป็นสมาชิกครอบครัวที่คุ้นเคยกันดีทุกตรอกซอกซอย

เหตุใด ละครนี้ดูสนุกกว่าละครประวัติศาสตร์หลายๆ เรื่อง ทั้งที่ฉากและเหตุการณ์ก็ไม่ต่างกันสักเท่าไร ชวนคุยชวนคิดกับเพื่อนฝูงหลายคน ก็เห็นตรงกันว่า ละครเรื่องนี้มี "รส" เหมือนสี่แผ่นดิน คือเป็นละครที่อ่านแล้ว (ดูแล้ว) เหมือนกำลังเล่าเรื่องเพื่อนคนหนึ่งของเรา ซึ่งก็คือตัวของแม่การะเกดนั่นแหละแต่เป็นเพื่อนที่สนิทมาก ค่าที่ลีลาการพูด คิด และทำ เหมือนว่าแม่การะเกดนี้หันหน้ามาปรึกษากับเรา คุยกับเราตลอด และยังคิดเหมือนๆ กับที่เราจะคิด พูดแบบที่เราจะพูดด้วยภาษาสมัยใหม่  เป็น "รส" ที่ต่างจากละครประวัติศาสตร์อื่นๆ และในยุคดิจิตอลเช่นนี้ นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เก่า ๆ ก็เป็นความแตกต่างอีกข้อ ที่มีเสน่ห์ชวนดู

เรารู้สึกว่า "บุพเพสันนิวาส" ต่างจากละครอื่นๆ ที่ฉายผ่านทีวี และทีวีดิจิตอลในช่วงนี้ ตรงที่แป็นเรื่องใกล้ตัว และเรื่องรักใคร่ใกล้ตัวแบบกุ๊กกิ๊ก แม่การะเกดก็เป็นตัวละครแบบซื่อๆ ใสๆ ทำอะไรก็น่ารักไปหมด ก็แน่นอน เพราะเจตนาของออเจ้า ดี หาได้ซ๋อนความชั่วร้ายหรือคิดมิซื่อใด ไว้ข้างหลังไม่ ความสนุกอยู่ตรงที่ แม่เจ้าทำอะไรก็ผิดฝา ผิดตัว ทำถูกเรื่องผิดเวลา ทำผิดเรื่องแต่ถูกเวลาอะไรทำนองนี้ บุคคลิกแบบนี้แหละ โดนใจเรา  นางเอกฉลาด ใส ซื่อ แต่จะโก๊ะ ๆ หน่อยๆ (เพราะเหตุการณ์พาไป) แต่ทุกอย่างก็เพื่อทำอะไรๆ ดีๆ

เครดิตภาพ / ทีวีช่อง ๓


ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวน่ายินดีว่านักท่องเที่ยวที่แวะไปชมวัดชัยวัฒนราม มากขึ้น ไม่ว่าความนิยมเที่ยววัดชัยฯ จะมีเหตุมาจากละครเรื่องนี้หรือไม่ ก็ถือว่าเป็นประเด็นชวนคิดที่น่าสนใจ เพราะเรื่องราวที่แอบซ่อนอยู่ทำให้เศษอิฐ ซากปูนเหล่านั้นมีชีวิต น่าสนใจและน่าติดตาม ถ้าบุพเพสันนิวาส จะชุบ "ชีวิต" ของวัดชัยและอยุธยาได้อีกครั้ง ก็น่าดีใจ

มองอีกมุม กระทรวงท่องเที่ยว การท่องเที่ยวน่าจะฉวยโอกาสนี้ จัดโปรแกรมสร้างเส้นทางท่องเที่ยวตามหลังแม่การะเกด ก็น่าจะดี เพราะทุกวันนี้ในบทละคร เกษสุดา (ในคราบแม่การะเกด) ก็พาพวกเราย้อนยุค ผ่านดิจิตอลทีวี กลับหลับไปเกือบ ๓๐๐ ปี ไปอยู่ในช่วงเวลาที่พี่หมื่น ใช้ชีวิตประจำวันอยู่แล้ว และมันก็ได้ผล ถ้าจะทำเส้นทางท่องเที่ยวแบบนี้จริงๆ ก็คงดีไม่น้อย
เครดิตภาพ / wikipedia.com

และในช่วงเดือนเมษา รัฐบาลก็ส่งเสริมให้หยุดยาว ทั้งนักเรียนก็ปิดเทอม ตลาดท่องเที่ยวก็ซบเซา นอกจากพึ่งเทษกาลสงกรานต์แล้วก็หมดหน้าตัก คนไทยร่ำรวยก็มักบินไปเที่ยวต่างประเทศ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่เมืองไทยร้อน ถึงร้อนจัด เผลอๆ การจัดกิจกรรมท่องเที่ยวแบบนี้ในชุมชน อาจทำรายได้ประจำวันให้แก่ชุมชนรอบข้างวันละหลายล้านบาท ดูแต่ ชุมชนรอบบ้านหมอแสงแจกยาสิ  วันหนึ่งๆ รายได้ ๕-๖๐ ล้านบาทเชียว

กิจกรรมแบบชวนเที่ยวตามรอยประวัติศาสตร์แบบนี้ มีอยู่แล้วมากมาย เช่น บางลำภูก็มีพิพิธบางลำภู (ย้อนดูประวัติศาสตร์ร้อยปีของย่านการค้าเก่าแก่ของกรุงเทพ) ตลาดน้ำบางชัน ตลาดเก่านางเลิ้ง ตลาดรถไฟ ชุมชนบ้านบาตร เส้นทางย้อนยุคพบสามเกลอ แม้ใจกลางสุขุมวิทเอง ก็ยังมีพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน มีสยามสมาคม เป็นต้น ในต่างจังหวัดเองก็มีแหล่งท่องเที่ยวทำนองนี้อยู่มากมาย จะชมประวัติศาสตร์วัฒนธรรม ก็มีเกือบทุกจังหวัด ลพบุรี (ไทยเบิ้ง) ราชบุรี (ไทยมอญ) กาญจนบุร (ไทยกะเหรี่ยง) กระบี่-พังงา (อุรังลาโว้) ภูเก็ต(ชาวเล) แม่ฮ่องสอน(อาข่า) สกลนคร-นครพนม(ไทยลื้อ ลาว) เพียงแต่แหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้ อาจต้องหยิบยกเรื่องราวพื้นบ้าน ใกล้ๆ ตัว เช่น พี่หมื่นและแม่การะเกด เป็นตัวชูโรง จะน่าติดตามกว่าประวัติศาสตร์เชิงวัตถุ
ขณะที่เราเปิดให้ห้างสรรพสินค้ากลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของเมืองจนชุมชนเก่าแก่แทบจะไม่มีที่อยู่ ก็น่าจะยกระดับแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์-วัฒนธรรมพื้นบ้าน เป็นศูนย์รวมจิตใจคนในชุมชนบ้าง แม้จะชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดี ดีกว่าปล่อยให้กระแสการเที่ยวแบบขึ้นห้าง เข้าห้อง เล่นแต่กล่องเกม ขาดปฏิสัมพันธ์ของคนรอบตัว  นาคีก็ช่วยให้ บ้านคำชะโนด โด่งดังจนไม่มีนักท่องเที่ยวใดไม่รู้จัก บ่วงบรรจถรณ์ ก็ทำให้ "กูบคำ" ของเชียงรายเป็นที่โจษจัน จะลองให้แม่การะเกด ปลุกยุคทองของพระนารายณ์ก็ไม่เห็นจะไม่ได้

ใครจะรู้ เผลอ ๆ แม่การะเกดของไทย อาจมีบทบาทเทียบเท่า แดจังกึม ผู้ปลุกกระแสเกาหลีในเอเชียก็ได้นะ..
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่