
รถของใคร ของใครก็ห่วง ของใคร ใครก็ ต้องหวง (พอดีกว่าเดี๋ยวจะมาทั้งเพลง จะบ่งบอกอายุกันเกินไป) เชื่อว่าเพื่อนๆ คงอยากที่จะทำประกันภัยให้กับรถของตนเองกันแทบทุกคน เพื่อป้องกันภาระค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุแบบไม่คาดคิด
ประกันภัยของรถยนต์ สามารถแบ่งเป็น 2 แบบด้วยกันคือ 1) ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือก็คือ พ.ร.บ. ที่ทุกคนต้องทำนั่นเอง และ 2) ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ซึ่งมีความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากกว่าประกันภัยแบบภาคบังคับ โดยจะมีให้เลือกหลายประเภท เชื่อว่าหลายๆ คนคงเกิดความลังเล เพราะไม่แน่ใจว่า จะทำประกันแบบไหนที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด
วันนี้
K-Expert จึงอยากจะมาอธิบายข้อแตกต่างสำคัญๆ ในการเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์แต่ละประเภทที่กำลังได้รับความนิยม เพื่อใช้ในการตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น
ประกันภัยชั้น 1 มีความคุ้มครองมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น รถชน รถหาย ไฟไหม้ หรือภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม โดยข้อสำคัญก็คือ แม้อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากรถชนก็ตาม เราก็จะสามารถขอเคลมได้ อาทิ รถชนเสาไฟฟ้า ถอยชนประตูบ้าน หินกระเด็นโดนกระจก ทั้งนี้หากเราไม่สามารถแจ้งให้บริษัทประกันทราบถึงสาเหตุร่องรอยนั้นได้ หรือร่องรอยไม่ชัดเจนก็อาจจะต้องเสียค่า Excess (ค่าเสียหายส่วนแรก) เพิ่มเติมได้
ประกันประเภทนี้โดยส่วนใหญ่จะรับเฉพาะรถใหม่ที่อายุไม่เกิน 7-10 ปี เบี้ยประกันจะอยู่ที่ประมาณ 14,000-30,000 บาทต่อปี ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัทที่รับประกันภัย โดยประกันแบบนี้เหมาะกับคนที่ต้องการได้รับความคุ้มครองมากที่สุด
ประกันภัยชั้น 3 เมื่อเกิดเหตุจากการชน ประกันภัยชั้น 3 จะคุ้มครองเฉพาะความเสียหายต่อชีวิต ค่ารักษาพยาบาล และทรัพย์สินของบุคคลอื่น ส่วนรถของเราต้องทำการซ่อมเอง อีกทั้งจะไม่คุ้มครองกรณีไฟไหม้ หรือรถเกิดการสูญหาย
เบี้ยประกันจึงถูกลงมาอยู่ที่ประมาณ 2,200-3,100 บาทต่อปี หากจะซื้อประกันประเภทนี้ควรมั่นใจว่า เราพอจะสามารถซ่อมรถของเราเองได้เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด หรือค่อนข้างมั่นใจในการใช้รถดังกล่าวว่า จะไม่เกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงขึ้น
ประกันภัยชั้น 5 มี 2 แบบคือ


5.1 ประกันภัยชั้น 2+ ให้ความคุ้มครองคล้ายกับประกันภัยชั้น 1 แต่จะต่างกันตรงที่วงเงินคุ้มครอง และหากเกิดเหตุจากการชนจะคุ้มครองเฉพาะกรณีการชนที่เกิดจากยานพาหนะทางบกเท่านั้น (รถชนรถ) และต้องสามารถระบุคู่กรณีได้ ประกันภัยชั้น 2+ ยังคงให้ความคุ้มครองในส่วนของ ไฟไหม้ และรถสูญหายอีกด้วย
เบี้ยประกันจะอยู่ที่ประมาณ 7,000-17,000 บาทต่อปี หากอายุรถเกินกว่าที่จะสามารถทำประกันชั้น 1 ได้ ประกันภัยชั้น 2+ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เหมาะกับคนที่ต้องการความคุ้มครองที่สูงรองลงมา


5.2 ประกันภัยชั้น 3+ จะมีความคุ้มครองคล้ายกับประกันชั้น 2+ แต่จะต่างกันตรงที่ความคุ้มครองโดยประกันชั้น 3+ นี้จะไม่คุ้มครองในกรณีไฟไหม้ หรือรถเกิดการสูญหาย ส่วนเหตุจากการชนจะคุ้มครองเช่นเดียวกับประกันภัย 2+
โดยเบี้ยประกันจะอยู่ที่ประมาณ 6,500-9,000 บาทต่อปี ทั้งนี้หากเพื่อนๆ คิดว่ารถที่ใช้มีโอกาสในการเกิดไฟไหม้น้อย หรือจอดรถไว้ในที่ปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอก็อาจจะเลือกประกันประเภทนี้ได้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายจะถูกลง
นอกจากนี้ประกันภาคสมัครใจยังมีอีกหลายรูปแบบที่เราสามารถเลือก เพื่อให้เหมาะกับการใช้รถของเรามากที่สุดตามตารางด้านล่าง
ตารางเปรียบเทียบความคุ้มครองของประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ

* คุ้มครองความเสียหายจากอุบัติเหตุที่เกิดจากการชนกับยานพาหนะทางบก
สำหรับใครที่คิดจะทำประกันก็อย่าลืมเลือกให้เหมาะกับการใช้งานในแต่ละวันกันด้วยนะครับ หากใครที่ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลือกประกันภัยรถยนต์ สามารถถามเข้ามาได้ครับ
ข้อควรรู้ ! ก่อนทำประกันให้รถคุณ
รถของใคร ของใครก็ห่วง ของใคร ใครก็ ต้องหวง (พอดีกว่าเดี๋ยวจะมาทั้งเพลง จะบ่งบอกอายุกันเกินไป) เชื่อว่าเพื่อนๆ คงอยากที่จะทำประกันภัยให้กับรถของตนเองกันแทบทุกคน เพื่อป้องกันภาระค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุแบบไม่คาดคิด
ประกันภัยของรถยนต์ สามารถแบ่งเป็น 2 แบบด้วยกันคือ 1) ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือก็คือ พ.ร.บ. ที่ทุกคนต้องทำนั่นเอง และ 2) ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ซึ่งมีความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากกว่าประกันภัยแบบภาคบังคับ โดยจะมีให้เลือกหลายประเภท เชื่อว่าหลายๆ คนคงเกิดความลังเล เพราะไม่แน่ใจว่า จะทำประกันแบบไหนที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด
วันนี้ K-Expert จึงอยากจะมาอธิบายข้อแตกต่างสำคัญๆ ในการเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์แต่ละประเภทที่กำลังได้รับความนิยม เพื่อใช้ในการตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น
ประกันภัยชั้น 1 มีความคุ้มครองมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น รถชน รถหาย ไฟไหม้ หรือภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม โดยข้อสำคัญก็คือ แม้อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากรถชนก็ตาม เราก็จะสามารถขอเคลมได้ อาทิ รถชนเสาไฟฟ้า ถอยชนประตูบ้าน หินกระเด็นโดนกระจก ทั้งนี้หากเราไม่สามารถแจ้งให้บริษัทประกันทราบถึงสาเหตุร่องรอยนั้นได้ หรือร่องรอยไม่ชัดเจนก็อาจจะต้องเสียค่า Excess (ค่าเสียหายส่วนแรก) เพิ่มเติมได้
ประกันประเภทนี้โดยส่วนใหญ่จะรับเฉพาะรถใหม่ที่อายุไม่เกิน 7-10 ปี เบี้ยประกันจะอยู่ที่ประมาณ 14,000-30,000 บาทต่อปี ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัทที่รับประกันภัย โดยประกันแบบนี้เหมาะกับคนที่ต้องการได้รับความคุ้มครองมากที่สุด
ประกันภัยชั้น 3 เมื่อเกิดเหตุจากการชน ประกันภัยชั้น 3 จะคุ้มครองเฉพาะความเสียหายต่อชีวิต ค่ารักษาพยาบาล และทรัพย์สินของบุคคลอื่น ส่วนรถของเราต้องทำการซ่อมเอง อีกทั้งจะไม่คุ้มครองกรณีไฟไหม้ หรือรถเกิดการสูญหาย
เบี้ยประกันจึงถูกลงมาอยู่ที่ประมาณ 2,200-3,100 บาทต่อปี หากจะซื้อประกันประเภทนี้ควรมั่นใจว่า เราพอจะสามารถซ่อมรถของเราเองได้เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด หรือค่อนข้างมั่นใจในการใช้รถดังกล่าวว่า จะไม่เกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงขึ้น
ประกันภัยชั้น 5 มี 2 แบบคือ
5.1 ประกันภัยชั้น 2+ ให้ความคุ้มครองคล้ายกับประกันภัยชั้น 1 แต่จะต่างกันตรงที่วงเงินคุ้มครอง และหากเกิดเหตุจากการชนจะคุ้มครองเฉพาะกรณีการชนที่เกิดจากยานพาหนะทางบกเท่านั้น (รถชนรถ) และต้องสามารถระบุคู่กรณีได้ ประกันภัยชั้น 2+ ยังคงให้ความคุ้มครองในส่วนของ ไฟไหม้ และรถสูญหายอีกด้วย
เบี้ยประกันจะอยู่ที่ประมาณ 7,000-17,000 บาทต่อปี หากอายุรถเกินกว่าที่จะสามารถทำประกันชั้น 1 ได้ ประกันภัยชั้น 2+ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เหมาะกับคนที่ต้องการความคุ้มครองที่สูงรองลงมา
5.2 ประกันภัยชั้น 3+ จะมีความคุ้มครองคล้ายกับประกันชั้น 2+ แต่จะต่างกันตรงที่ความคุ้มครองโดยประกันชั้น 3+ นี้จะไม่คุ้มครองในกรณีไฟไหม้ หรือรถเกิดการสูญหาย ส่วนเหตุจากการชนจะคุ้มครองเช่นเดียวกับประกันภัย 2+
โดยเบี้ยประกันจะอยู่ที่ประมาณ 6,500-9,000 บาทต่อปี ทั้งนี้หากเพื่อนๆ คิดว่ารถที่ใช้มีโอกาสในการเกิดไฟไหม้น้อย หรือจอดรถไว้ในที่ปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอก็อาจจะเลือกประกันประเภทนี้ได้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายจะถูกลง
นอกจากนี้ประกันภาคสมัครใจยังมีอีกหลายรูปแบบที่เราสามารถเลือก เพื่อให้เหมาะกับการใช้รถของเรามากที่สุดตามตารางด้านล่าง
สำหรับใครที่คิดจะทำประกันก็อย่าลืมเลือกให้เหมาะกับการใช้งานในแต่ละวันกันด้วยนะครับ หากใครที่ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลือกประกันภัยรถยนต์ สามารถถามเข้ามาได้ครับ