
นี่ๆรู้ยัง ปีนี้ FED อาจจะประกาศขึ้นดอกเบี้ย เป็น 4 รอบนะ (ตอนแรกบอก 3 รอบ)

พอได้ยินมาบ้างแล้วล่ะ
ว่าแต่ ดอกเบี้ย คืออะไร?

ก็เงินที่ได้เพิ่มเวลาเอาเงินไปฝากธนาคารไง ถามมาได้
ถ้าเราเอาเงินไปฝากธนาคาร 1 ล้าน
ธนาคารก็จะเอาเงินไปให้กู้ 1 ล้าน (ละสำรอง)
ผู้กู้ เอาเงิน 1 ล้านไปลงทุน ขยายโรงงาน ซื้อวัตถุดิบ จ้างแรงงานเพิ่ม
เมื่อได้กำไร ก็เอาเงินมาจ่ายหนี้ธนาคาร
ธนาคารก็เอาเงินมาจ่ายดอกเบี้ยให้เรา
ดังนั้น ดอกเบี้ย ก็คือ ผลตอบแทนจากการใช้เงินทุน

ถ้างั้นแล้ว ดอกเบี้ย จะขึ้นหรือจะลง ขึ้นอยู่กับอะไร?

...ป้ายตัวเลขที่แปะอยู่หน้าธนาคาร...
ขอตอบอีกที… ประกาศดอกเบี้ยนโยบาย ของธนาคารแห่งประเทศไทย...

มาดูปัจจัยที่มีผลต่อดอกเบี้ยกัน

ผลตอบแทนที่จะได้รับ จากโอกาสในการลงทุน

ถ้ากู้เงินไปลงทุนแล้วได้กำไรมาก แม้ดอกเบี้ยแพง เราก็จะกู้ [ใครห้ามก็ไม่ฟัง!!!]
ความพอใจของเจ้าของเงินทุน

ถ้าดอกเบี้ยเงินฝากสูง เราก็อยากเอาเงินไปฝากธนาคาร
เมื่อดอกเบี้ยต่ำ เราจะเอาเงินไปทำอย่างอื่น เช่น ซื้อหุ้น ออกรถ ซื้อบ้าน [ รวยและสวยมาก]
ความเสี่ยง

นักลงทุนจะคาดหวังผลตอบแทนสูงขึ้น เมื่อมีความเสี่ยงมากขึ้น [High Risk High Return]
พันธบัตร < หุ้นกู้ < กองทุน < หุ้นสามัญ
ดอกเบี้ยคาดหวังต่ำสุด < ต่ำ < กลาง < สูง
เงินเฟ้อ

เงินเฟ้อ คือการลดลงของค่าของเงิน [เงินเฟ้อ เฟ้อ เฟ้อ…]
นักลงทุนจึงคาดหวังผลตอบแทนมากกว่าเงินเฟ้อ
ถ้าเงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยก็จะสูงตาม
ไปดูที่ สหรัฐ กันก่อน
นโยบายลดภาษี แน่นอนว่าจะไปเพิ่มกำไรให้ผู้ประกอบการ

เมื่อกำไรมากขึ้น การลงทุนก็จะตามมา
ความต้องการเงินเพื่อนำมาลงทุนก็จะเพิ่มขึ้น
เพราะถึงแม้ดอกเบี้ยจะสูงขึ้น แต่ตราบใดที่กำไรสูงกว่า
ผู้ประกอบการ ก็กู้อยู่ดี [ใครห้ามก็ไม่ฟัง!!!]
เมื่อเกิดการลงทุน
การซื้อสินค้าทุน เพื่อขยายโรงงาน ก็เพิ่มขึ้น
การจ้างงาน ก็จะเพิ่มขึ้นตาม
ทำให้จำนวนอัตราการว่างงานลดลง

เมื่ออัตราการว่างงานลดลง
คนก็มีเงินมากขึ้น
ความมั่นใจ ในการบริโภคก็มากขึ้น
คนอยากเอาเงินไปใช้ ไม่อยากฝากธนาคาร

เจ้าของเงินทุนอยากใช้เงิน มากกว่าเอาเงินไปปล่อยกู้

…ดอกเบี้ยก็แพงสิแบบนี้…
ซึ่งปรกติ เมื่ออัตราการจ้างงานสูง
ความต้องการเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น
ความเชื่อมั่นในการบริโภคที่สูงขึ้น
จะนำไปสู่… เงินเฟ้อ

แต่เงินเฟ้อก็ไม่ได้ขึ้นรุนแรงนักในช่วงที่ผ่านมา
นี่อาจจะเป็นเหตุผล ที่ยังไม่เกิดการขึ้นดอกเบี้ยของ FED อย่างรวดเร็ว
เพราะในสภาวะ ที่การจ้างงานสูง คือทุกคนมีเงิน
การบริโภคดี คือ ทุกคนต้องการใช้เงิน
และเงินเฟ้อต่ำ คือ สินค้าไม่ขึ้นราคาด้วย
มันดูเหมือนจะเป็นสภาวะที่ดี

แต่เดี๋ยวก่อน ถ้ามันดีแล้ว ทำไมตลาดหุ้น Dow ลงแรงล่ะ?
เพราะทุกคนคิดได้ว่า
อะไรที่มันดีเกินจริง มันมักจะอยู่ไม่ได้นานไงล่ะ
ความเสี่ยงจึงบังเกิด

เมื่อคนต้องการเงินไปลงทุน เอาเงินไปใช้จ่าย
แล้วเงินมาจากไหน?
เงินมาจากสินทรัพย์ตามผลตอบแทนนั่นเอง
เงินฝากถูกถอน พันธบัตรถูกขาย หุ้นกู้ถูกขาย กองทุนถูกขาย หุ้นสามัญจึงถูกขาย
การปรับพอร์ทเงินลงทุน ตามความเสี่ยงก็จะตามมา
พันธบัตร < หุ้นกู้ < กองทุน < หุ้นสามัญ
เมื่อพันธบัตร มีผลตอบแทนสูงขึ้น
คนก็จะขายหุ้นกู้มาซื้อพันธบัตรแทน
ทำให้ผลตอบแทนหุ้นกู้สูงขึ้น
กองทุนก็ขายหุ้นมาซื้อหุ้นกู้แทน
สุดท้าย ราคาหุ้นจึงลดลง

แต่เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันเริ่มมาจาก
บริษัทกำไรเพิ่มขึ้นไม่ใช่เหรอ?
กำไรบริษัทเพิ่ม ไม่ได้ทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นหรอกหรือ?
บริษัทกำไรเพิ่ม ทำไมราคาหุ้นลงซะงั้น … งงอ่ะ

สาเหตุเพราะช่วงที่ผ่านมา
นักลงทุน แสวงหาผลตอบแทนที่สูง
และมองข้ามความเสี่ยง
จึงนำเงินไปลงทุนใน หุ้นสามัญมากเกินไป
ทำให้อัตราส่วนการลงทุน ในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำน้อยลงกว่าระดับปรกติ
พอดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
การปรับพอร์ทการลงทุนจึงตามมา

เมื่อผลกระทบจากการลดความเสี่ยงมีสูงกว่า
ผลจากการเพิ่มขึ้นของกำไรบริษัทจดทะเบียน
ราคาหุ้นจึงลดลง
เหมือนการผสมน้ำในอ่างอาบน้ำ
ตอนนี้มีน้ำร้อนเต็มอ่าง
เราจึงค่อยๆเอาน้ำเย็น เทลงไป
ความร้อนในอ่างจะค่อยๆลดลง
ถ้าเทน้ำเย็นลงไปมาก น้ำก็จะเย็นเกินไป
หน้าที่ของนักลงทุน ก็ต้องคอยตรวจวัดระดับอุณหภูมิของน้ำในอ่าง
ตราบใดที่น้ำยังอุ่น นักลงทุนก็ยังสามารถแช่น้ำต่อได้สบาย
แต่ถ้าน้ำเย็นเกินไป ก็ต้องรีบขึ้น
เดี๋ยวจะเจ็บป่วยเอาได้

ไม่ซื้อ… ไม่...!
...
...
เดี๋ยวๆอย่าเพิ่งไป!!! แล้ว SET ล่ะ?
สำหรับประเทศไทย ที่ผ่านมา กำไรบริษัทจดทะเบียนก็เพิ่มขึ้น

กำไรบริษัทจดทะเบียนของไทย

แต่การลงทุนภาคเอกชนไทยกลับทรงตัว
ทำให้ความต้องการใช้เงินลงทุน ไม่เพิ่มมากนัก

ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนทรงตัว
มีเงิน แต่ไม่มีคนต้องการใช้
ดอกเบี้ยก็ขึ้นไม่ได้สิแบบนี้
แล้วการจ้างงานล่ะ?

อัตราการว่างงานของไทยอยู่ในระดับต่ำ
ถ้าไม่เลือกงานน่าจะมีงานทำแบบนี้
คนมีงาน มีเงิน แต่ใช้จ่ายมากแค่ไหน?

ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่ำในช่วงที่ผ่านมา
แต่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น เหมือนคนจะเริ่มกลับมาใช้จ่ายมากขึ้น

บริษัททำกำไรดี
แต่ไม่ลงทุนเพิ่ม (บริษัทเก็บเงิน)

อัตราว่างงานต่ำ
แต่การใช้จ่ายก็ต่ำ (คนทำงานก็เก็บเงิน)
มีแต่คนเก็บ ไม่มีคนใช้ แล้วเงินเฟ้อล่ะ?

เงินเฟ้อก็อยู่ในระดับต่ำ
ราคาสินค้าและบริการก็ทรงตัว
ถ้าไม่มีความต้องการใช้เงิน
แม้การจ้างงานจะสูง
แต่เงินที่ได้ จะกลายเป็นเงินออม

ทำให้เงินเฟ้อต่ำ
ดอกเบี้ยก็จะขึ้นได้ยาก
(นี่คือเหตุผลว่า ทำไม อเมริกา ขึ้นดอกเบี้ย แต่พี่ไทยไม่ขึ้น
ไม่ใช่ไม่อยากขึ้น แต่มันทำไม่ได้)
ถ้าดอกเบี้ยไม่ขึ้น แล้วมันจะมีผลอย่างไร?
เมื่อผลตอบแทนจากการใช้เงินทุนไม่เพิ่ม
แต่เงินที่มีเพิ่มขึ้น
นักลงทุนก็จะไปลงทุนในสิ่งที่ให้ผลตอบแทนมากขึ้น
และรับความเสี่ยงมากขึ้น

พันธบัตร < หุ้นกู้ < กองทุน < หุ้นสามัญ
พอพันธบัตรถูกซื้อจนหมด
หุ้นกู้ก็จะถูกซื้อลงทุนตามมา (จำตั๋ว B/E ได้ไหม)
เมื่อหุ้นกู้เต็ม เงินก็ไหลเข้ากองทุน
สุดท้ายหุ้นสามัญก็จะถูกซื้อ
จนราคาขึ้นไปสูง
อย่างไรก็ตาม
รัฐบาลจึงเริ่มมีโครงการลงทุน
เพื่อเพิ่มความต้องการใช้เงินลงทุนให้มากขึ้น
โดยถ้าเอกชนเริ่มกลับมาลงทุน
ในขณะที่การจ้างงงานเกือบเต็มที่
เมื่อคนกลับมาใช้เงิน
ก็จะมีโอกาสทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น
ซึ่งจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศขึ้นดอกเบี้ยได้ในที่สุด
ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องใช้เวลา
น้ำในอ่าง ยังร้อนอยู่หรือเปล่า?

คราวนี้ ไปจริงๆล่ะ
ไม่ซื้อ... ไม่ขาดทุน
สวัสดีครับทุกท่าน
นี่ๆรู้ยัง ปีนี้ FED อาจจะประกาศขึ้นดอกเบี้ย เป็น 4 รอบนะ (ตอนแรกบอก 3 รอบ)
ว่าแต่ ดอกเบี้ย คืออะไร?
ถ้าเราเอาเงินไปฝากธนาคาร 1 ล้าน
ธนาคารก็จะเอาเงินไปให้กู้ 1 ล้าน (ละสำรอง)
ผู้กู้ เอาเงิน 1 ล้านไปลงทุน ขยายโรงงาน ซื้อวัตถุดิบ จ้างแรงงานเพิ่ม
เมื่อได้กำไร ก็เอาเงินมาจ่ายหนี้ธนาคาร
ธนาคารก็เอาเงินมาจ่ายดอกเบี้ยให้เรา
ดังนั้น ดอกเบี้ย ก็คือ ผลตอบแทนจากการใช้เงินทุน
ขอตอบอีกที… ประกาศดอกเบี้ยนโยบาย ของธนาคารแห่งประเทศไทย...
ผลตอบแทนที่จะได้รับ จากโอกาสในการลงทุน
ความพอใจของเจ้าของเงินทุน
เมื่อดอกเบี้ยต่ำ เราจะเอาเงินไปทำอย่างอื่น เช่น ซื้อหุ้น ออกรถ ซื้อบ้าน [ รวยและสวยมาก]
ความเสี่ยง
พันธบัตร < หุ้นกู้ < กองทุน < หุ้นสามัญ
ดอกเบี้ยคาดหวังต่ำสุด < ต่ำ < กลาง < สูง
เงินเฟ้อ
นักลงทุนจึงคาดหวังผลตอบแทนมากกว่าเงินเฟ้อ
ถ้าเงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยก็จะสูงตาม
ไปดูที่ สหรัฐ กันก่อน
นโยบายลดภาษี แน่นอนว่าจะไปเพิ่มกำไรให้ผู้ประกอบการ
เมื่อกำไรมากขึ้น การลงทุนก็จะตามมา
ความต้องการเงินเพื่อนำมาลงทุนก็จะเพิ่มขึ้น
เพราะถึงแม้ดอกเบี้ยจะสูงขึ้น แต่ตราบใดที่กำไรสูงกว่า
ผู้ประกอบการ ก็กู้อยู่ดี [ใครห้ามก็ไม่ฟัง!!!]
เมื่อเกิดการลงทุน
การซื้อสินค้าทุน เพื่อขยายโรงงาน ก็เพิ่มขึ้น
การจ้างงาน ก็จะเพิ่มขึ้นตาม
ทำให้จำนวนอัตราการว่างงานลดลง
เมื่ออัตราการว่างงานลดลง
คนก็มีเงินมากขึ้น
ความมั่นใจ ในการบริโภคก็มากขึ้น
คนอยากเอาเงินไปใช้ ไม่อยากฝากธนาคาร
เจ้าของเงินทุนอยากใช้เงิน มากกว่าเอาเงินไปปล่อยกู้
ซึ่งปรกติ เมื่ออัตราการจ้างงานสูง
ความต้องการเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น
ความเชื่อมั่นในการบริโภคที่สูงขึ้น
จะนำไปสู่… เงินเฟ้อ
แต่เงินเฟ้อก็ไม่ได้ขึ้นรุนแรงนักในช่วงที่ผ่านมา
นี่อาจจะเป็นเหตุผล ที่ยังไม่เกิดการขึ้นดอกเบี้ยของ FED อย่างรวดเร็ว
เพราะในสภาวะ ที่การจ้างงานสูง คือทุกคนมีเงิน
การบริโภคดี คือ ทุกคนต้องการใช้เงิน
และเงินเฟ้อต่ำ คือ สินค้าไม่ขึ้นราคาด้วย
มันดูเหมือนจะเป็นสภาวะที่ดี
แต่เดี๋ยวก่อน ถ้ามันดีแล้ว ทำไมตลาดหุ้น Dow ลงแรงล่ะ?
เพราะทุกคนคิดได้ว่า
อะไรที่มันดีเกินจริง มันมักจะอยู่ไม่ได้นานไงล่ะ
ความเสี่ยงจึงบังเกิด
เมื่อคนต้องการเงินไปลงทุน เอาเงินไปใช้จ่าย
แล้วเงินมาจากไหน?
เงินมาจากสินทรัพย์ตามผลตอบแทนนั่นเอง
เงินฝากถูกถอน พันธบัตรถูกขาย หุ้นกู้ถูกขาย กองทุนถูกขาย หุ้นสามัญจึงถูกขาย
การปรับพอร์ทเงินลงทุน ตามความเสี่ยงก็จะตามมา
พันธบัตร < หุ้นกู้ < กองทุน < หุ้นสามัญ
เมื่อพันธบัตร มีผลตอบแทนสูงขึ้น
คนก็จะขายหุ้นกู้มาซื้อพันธบัตรแทน
ทำให้ผลตอบแทนหุ้นกู้สูงขึ้น
กองทุนก็ขายหุ้นมาซื้อหุ้นกู้แทน
สุดท้าย ราคาหุ้นจึงลดลง
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันเริ่มมาจาก
บริษัทกำไรเพิ่มขึ้นไม่ใช่เหรอ?
กำไรบริษัทเพิ่ม ไม่ได้ทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นหรอกหรือ?
บริษัทกำไรเพิ่ม ทำไมราคาหุ้นลงซะงั้น … งงอ่ะ
สาเหตุเพราะช่วงที่ผ่านมา
นักลงทุน แสวงหาผลตอบแทนที่สูง
และมองข้ามความเสี่ยง
จึงนำเงินไปลงทุนใน หุ้นสามัญมากเกินไป
ทำให้อัตราส่วนการลงทุน ในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำน้อยลงกว่าระดับปรกติ
พอดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
การปรับพอร์ทการลงทุนจึงตามมา
เมื่อผลกระทบจากการลดความเสี่ยงมีสูงกว่า
ผลจากการเพิ่มขึ้นของกำไรบริษัทจดทะเบียน
ราคาหุ้นจึงลดลง
เหมือนการผสมน้ำในอ่างอาบน้ำ
ตอนนี้มีน้ำร้อนเต็มอ่าง
เราจึงค่อยๆเอาน้ำเย็น เทลงไป
ความร้อนในอ่างจะค่อยๆลดลง
ถ้าเทน้ำเย็นลงไปมาก น้ำก็จะเย็นเกินไป
หน้าที่ของนักลงทุน ก็ต้องคอยตรวจวัดระดับอุณหภูมิของน้ำในอ่าง
ตราบใดที่น้ำยังอุ่น นักลงทุนก็ยังสามารถแช่น้ำต่อได้สบาย
แต่ถ้าน้ำเย็นเกินไป ก็ต้องรีบขึ้น
เดี๋ยวจะเจ็บป่วยเอาได้
ไม่ซื้อ… ไม่...!
...
...
เดี๋ยวๆอย่าเพิ่งไป!!! แล้ว SET ล่ะ?
สำหรับประเทศไทย ที่ผ่านมา กำไรบริษัทจดทะเบียนก็เพิ่มขึ้น
กำไรบริษัทจดทะเบียนของไทย
แต่การลงทุนภาคเอกชนไทยกลับทรงตัว
ทำให้ความต้องการใช้เงินลงทุน ไม่เพิ่มมากนัก
ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนทรงตัว
มีเงิน แต่ไม่มีคนต้องการใช้
ดอกเบี้ยก็ขึ้นไม่ได้สิแบบนี้
แล้วการจ้างงานล่ะ?
อัตราการว่างงานของไทยอยู่ในระดับต่ำ
ถ้าไม่เลือกงานน่าจะมีงานทำแบบนี้
คนมีงาน มีเงิน แต่ใช้จ่ายมากแค่ไหน?
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่ำในช่วงที่ผ่านมา
แต่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น เหมือนคนจะเริ่มกลับมาใช้จ่ายมากขึ้น
แต่ไม่ลงทุนเพิ่ม (บริษัทเก็บเงิน)
แต่การใช้จ่ายก็ต่ำ (คนทำงานก็เก็บเงิน)
มีแต่คนเก็บ ไม่มีคนใช้ แล้วเงินเฟ้อล่ะ?
เงินเฟ้อก็อยู่ในระดับต่ำ
ราคาสินค้าและบริการก็ทรงตัว
ถ้าไม่มีความต้องการใช้เงิน
แม้การจ้างงานจะสูง
แต่เงินที่ได้ จะกลายเป็นเงินออม
ทำให้เงินเฟ้อต่ำ
ดอกเบี้ยก็จะขึ้นได้ยาก
(นี่คือเหตุผลว่า ทำไม อเมริกา ขึ้นดอกเบี้ย แต่พี่ไทยไม่ขึ้น
ไม่ใช่ไม่อยากขึ้น แต่มันทำไม่ได้)
ถ้าดอกเบี้ยไม่ขึ้น แล้วมันจะมีผลอย่างไร?
เมื่อผลตอบแทนจากการใช้เงินทุนไม่เพิ่ม
แต่เงินที่มีเพิ่มขึ้น
นักลงทุนก็จะไปลงทุนในสิ่งที่ให้ผลตอบแทนมากขึ้น
และรับความเสี่ยงมากขึ้น
พันธบัตร < หุ้นกู้ < กองทุน < หุ้นสามัญ
พอพันธบัตรถูกซื้อจนหมด
หุ้นกู้ก็จะถูกซื้อลงทุนตามมา (จำตั๋ว B/E ได้ไหม)
เมื่อหุ้นกู้เต็ม เงินก็ไหลเข้ากองทุน
สุดท้ายหุ้นสามัญก็จะถูกซื้อ
จนราคาขึ้นไปสูง
อย่างไรก็ตาม
รัฐบาลจึงเริ่มมีโครงการลงทุน
เพื่อเพิ่มความต้องการใช้เงินลงทุนให้มากขึ้น
โดยถ้าเอกชนเริ่มกลับมาลงทุน
ในขณะที่การจ้างงงานเกือบเต็มที่
เมื่อคนกลับมาใช้เงิน
ก็จะมีโอกาสทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น
ซึ่งจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศขึ้นดอกเบี้ยได้ในที่สุด
ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องใช้เวลา
น้ำในอ่าง ยังร้อนอยู่หรือเปล่า?
คราวนี้ ไปจริงๆล่ะ
ไม่ซื้อ... ไม่ขาดทุน