ห้องเพลง**คนรากหญ้า**พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสีไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียง 3/3/2561 - พระพุทธเจ้าตรัสถึง "มิตร"

กระทู้คำถาม


สวัสดีครับอมยิ้ม17 สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้ MC แอ๊ด (WANG JIE) เข้าประจำการครับ อมยิ้ม36

ช่วงนี้มีความสับสนวุ่นวาย และเมื่อ MC พิจารณาดูแล้ว เกี่ยวข้องกับความเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู จึงคิดว่า อย่ากระนั้นเลย ขึ้นธรรมาสน์อีกสักที คราวนี้เปิดพระไตรปิฎกมาว่ากันเลย สำหรับข้อเขียนในวันนี้ แม้จะผ่านวันพระใหญ่มาฆบูชามาแล้วก็ตาม จะขอพรรณนาบรรยายถึงเรื่อง "มิตร" ตามเนื้อความในพระไตรปิฏกที่จะยกมาประกอบ ณ กาลบัดนี้


"เพื่อน" หรือ "มิตร" ความหมายเดียวกัน แต่ในพระสุตตันตปิฎก พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสบรรยายแสดงไว้อย่างพิสดาร ดังปรากฏในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ๑๘๕-๑๙๗ ว่าดังนี้

พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์ ตรัส (แสดงธรรม) กะคฤหบดีบุตรชื่อว่าสิงคาลกะ ว่าดังนี้

เพื่อนในโรงสุรา ก็มี  เพื่อนที่กล่าวแต่ปากว่า เพื่อน ๆ ดังนี้ก็มี
ส่วนผู้ใดเป็นสหาย ในเมื่อความต้องการเกิดขึ้นแล้ว  ผู้นั้น จัดว่า
เป็นเพื่อนแท้ ฯ  เหตุ ๖ ประการ คือ การนอนตื่นสาย ๑ การเสพ
ภรรยาผู้อื่น ๑ ความประสงค์จะผูกเวร ๑ ความเป็นผู้ทำแต่สิ่งหา
ประโยชน์มิได้ ๑ มิตรชั่ว ๑ ความเป็นผู้ตระหนี่เหนียวแน่นนัก ๑
เหล่านี้ ย่อมกำจัดคนเราเสีย จากประโยชน์สุขอันจะพึงได้พึงถึง
คนมีมิตรชั่ว มีเพื่อนชั่ว มีมรรยาทและการเที่ยวไปชั่ว ย่อมเสื่อม
จากโลกทั้งสอง คือ จากโลกนี้และโลกหน้า ฯ  เหตุ ๖ ประการ
คือ การพนันและหญิง ๑ สุรา ๑ การฟ้อนรำขับร้อง ๑ การนอน
หลับในกลางวัน บำเรอตนในสมัยมิใช่กาล (ไม่ถูกเวล่ำเวลา) ๑
มิตรชั่ว ๑  ความตระหนี่ถี่เหนียวแน่นนัก ๑  เหล่านี้  ย่อมกำจัด
คนเราเสียได้ จากประโยชน์สุข อันจะพึงได้พึงถึง ฯลฯ


อธิบายว่า เพื่อนในโรงเหล้าก็มี เพื่อนผู้ที่สักแต่ว่าร้องเรียกกันว่า เพื่อนๆ ดังนี้ก็มี ส่วนผู้ใดมาเป็นสหาย ในเมื่อมีความต้องการ คือความจำเป็น ความเดือดร้อนให้ช่วยเหลือ ผู้นั้นแหละคือเพื่อนแท้ ฯ เพื่อนชั่ว เป็น ๑ ในสาเหตุ ๖ ข้อที่ทำให้คนเราเสื่อม ฯ คนมีมิตรชั่วเพื่อนชั่ว มีความประพฤติและการเที่ยวไปอันเลวทราม ย่อมเสื่อมจากโลก ๒ อย่าง คือทั้งจากโลกนี้และโลกหน้า

ดูก่อนคฤหบดีบุตร คน ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ
คนที่นำสิ่งของๆเพื่อนไปถ่ายเดียว [คนปอกลอก] ๑
คนดีแต่พูด
คนหัวประจบ
คนชักชวนในทาง ship หาย
ท่านพึงทราบว่า ไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร


             [๑๘๗] ดูกรคฤหบดีบุตร คนปอกลอก ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยสถาน ๔ คือ
เป็นคนคิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ๑
เสียให้น้อย คิดเอาให้ได้มาก ๑
ไม่รับทำกิจของเพื่อนในคราวมีภัย ๑
คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตัว ๑

ดูกรคฤหบดีบุตร คนปอกลอก ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล ฯ

ขยายความ :
เป็นคนคิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว คือ ไม่ยอมเสียเปรียบคนอื่น
เสียให้น้อย คิดเอาให้ได้มาก คือ เวลาที่ตนจะเสียเงิน เสียทรัพย์ จะพยายามเสีย หรือจ่าย ให้น้อยเข้าไว้ก่อน แต่ครั้นถึงเวลาที่ตนจะได้รับผลประโยชน์ กลับพยายามจะตักตวงให้ได้มากๆ
ไม่รับทำกิจของเพื่อนในคราวมีภัย คือ ไม่ช่วยเพื่อน ในยามที่เพื่อนมีภัยหรือเดือดร้อน

คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตัว ข้อนี้ชัดเจนอยู่แล้ว

             [๑๘๘] ดูกรคฤหบดีบุตร คนดีแต่พูด ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ คือ
เก็บเอาของล่วงแล้วมาปราศรัย ๑
อ้างเอาของที่ยังไม่มาถึงมาปราศรัย ๑
สงเคราะห์ด้วยสิ่งหาประโยชน์มิได้ ๑
เมื่อกิจเกิดขึ้น ก็แสดงความขัดข้อง [ออกปากพึ่งมิได้] ๑

ดูกรคฤหบดีบุตร คนดีแต่พูด ท่านพึงทราบว่า ไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล ฯ
ขยายความ:
เก็บเอาของล่วงแล้วมาปราศรัย คือ ขุดเอาเรื่องเก่าๆที่ผ่านไปแล้ว รื้อฟื้นขึ้นมาพูด (จบไปแล้วไม่ยอมจบ)
อ้างเอาของที่ยังไม่มาถึงมาปราศรัย คือ พูดถึงสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น มันจะเกิดขึ้นหรือไม่ในอนาคตก็ไม่รู้ เอามาพูด อาจจะเพื่อดักคอ ทำความวิตกให้เกิดแก่ผู้อื่น
สงเคราะห์ด้วยสิ่งหาประโยชน์มิได้ คือ ช่วยเหลือด้วยสิ่งหรือการกระทำที่ไร้ประโยชน์ ไม่ช่วยอะไร
เมื่อกิจเกิดขึ้น ก็แสดงความขัดข้อง [ออกปากพึ่งมิได้] คือเวลาเพื่อนมีเรื่องเดือดร้อนต้องการให้ช่วยทำอะไรให้ ซึ่งตนก็ทำได้ แต่ไม่ทำ บ่ายเบี่ยงเสีย ไม่เคยมีสักครั้งที่เพื่อนออกปากขอแล้วจะช่วย พึ่งพาอาศัยไม่ได้เลย

             [๑๘๙] ดูกรคฤหบดีบุตร คนหัวประจบ ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยสถาน ๔ คือ
ตามใจเพื่อนให้ทำความชั่ว [จะทำชั่วก็คล้อยตาม] ๑
ตามใจเพื่อนให้ทำความดี [จะทำดีก็คล้อยตาม] ๑
ต่อหน้าสรรเสริญ ๑
ลับหลังนินทา ๑

ดูกรคฤหบดีบุตร คนหัวประจบ ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยสถาน ๔ เหล่านี้แล ฯ
อธิบาย ทั้ง ๔ ข้อ ชัดเจนแล้วทั้งนั้น

             [๑๙๐] ดูกรคฤหบดีบุตร คนชักชวนในทาง ship หาย ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยสถาน ๔ คือ
ชักชวนให้ดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑
ชักชวนให้เที่ยวตามตรอกต่างๆ ในเวลากลางคืน ๑
ชักชวนให้เที่ยวดูการมหรสพ ๑
ชักชวนให้เล่นการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑

ดูกรคฤหบดีบุตร คนชักชวนในทาง ship หาย ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยสถาน ๔ เหล่านี้แล ฯ
ขยายความ:
ชักชวนให้ดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท คือชวนให้มึนเมาลูกเดียว ไม่ทำการงานอะไร
ชักชวนให้เที่ยวตามตรอกต่างๆ ในเวลากลางคืน ๑ อันนี้ก็ชวนเที่ยวท่องราตรีอย่างเดียว
ชักชวนให้เที่ยวดูการมหรสพ ๑ นี่ก็ชวนไปดูหนังดูละครอย่างเดียว
ชักชวนให้เล่นการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท อันนี้เป็นผีพนัน อะไรก็ชวนพนันได้ทั้งนั้น

             พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
             [๑๙๑]       
บัณฑิต รู้แจ้งซึ่งมิตร ๔ จำพวก เหล่านี้  คือ  มิตรปอกลอก ๑
                          มิตรดีแต่พูด ๑ มิตรหัวประจบ ๑ มิตรชักชวนในทาง ship หาย ๑
                          ว่าไม่ใช่มิตรแท้ ดังนี้แล้ว พึงเว้นเสียให้ห่างไกล เหมือนคน
                          เดินทาง เว้นทางที่มีภัย ฉะนั้น ฯ



             [๑๙๒] ดูก่อนฤหบดีบุตร มิตร ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ มิตรมีอุปการะ ๑ มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ๑ มิตรแนะประโยชน์ ๑ มิตรมีความรักใคร่ ๑ ท่านพึงทราบว่า เป็นมิตร (แท้) มีใจดี ฯ

             [๑๙๓] ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรมีอุปการะ ท่านพึงทราบว่า เป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ
รักษาเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ๑
รักษาทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ๑
เมื่อมีภัยเป็นที่พึ่งพำนักได้ ๑
เมื่อกิจที่จำต้องทำเกิดขึ้นเพิ่มทรัพย์ให้สองเท่า
[เมื่อมีธุระช่วยออกทรัพย์ให้เกินกว่าที่ออกปาก] ๑

ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรมีอุปการะ ท่านพึงทราบว่า เป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล ฯ
ขยายความ:
รักษาเพื่อนผู้ประมาทแล้ว คือ ช่วยแก้ไขกอบกู้สถานการณ์ให้เพื่อนซึ่งทำสิ่งที่ผิดพลาดไป
รักษาทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ข้อนี้ชัดเจนแล้ว
เมื่อมีภัยเป็นที่พึ่งพำนักได้ คือ เมื่อเพื่อนมีภัย มีปัญหาเดือดร้อน เพื่อนสามารถพึ่งพาอาศัยเขาได้
เมื่อกิจที่จำต้องทำเกิดขึ้นเพิ่มทรัพย์ให้สองเท่า คือ เมื่อเพื่อนมีงานสำคัญ กิจธุระสำคัญต้องทำให้เพื่อน ก็จะเพิ่มค่าใช้จ่าย หรือค่าจ้างให้เป็นสองเท่า

             [๑๙๔] ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ท่านพึงทราบว่า เป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ
บอกความลับ [ของตน] แก่เพื่อนได้ (ไม่ปิดบัง) ๑
ปิดความลับของเพื่อน ๑
ไม่ละทิ้งในเหตุอันตราย ๑
แม้ชีวิตก็อาจสละเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนได้ ๑

ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ท่านพึงทราบว่า เป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล ฯ
ขยายความ:
บอกความลับของตนแก่เพื่อนได้ คือไม่ปิดบังเรื่องของตนกับเพื่อน เปิดเผย เพราะไม่มีเรื่องอะไรจะต้องปกปิด
ปิดความลับของเพื่อน คือ ในทางตรงกันข้าม ไม่พูดเรื่องความลับของเพื่อนให้คนอื่นฟัง ไม่ขายเพื่อน
ไม่ละทิ้งในเหตุอันตราย ข้อนี้ชัดเจนแล้ว
แม้ชีวิตก็อาจสละเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนได้ ข้อนี้หาได้ยากอย่างยิ่ง!

             [๑๙๕] ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรแนะประโยชน์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ
ห้ามจากความชั่ว ๑
ให้ตั้งอยู่ในความดี ๑
ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ๑
บอกทางสวรรค์ให้ ๑

ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรแนะประโยชน์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล ฯ
ขยายความ:
ห้ามจากความชั่ว ข้อนี้ชัดเจนแล้ว
ให้ตั้งอยู่ในความดี คือชักชวนเพื่อนทำความดีต่างๆ (เช่น การจัดกิจกรรมนำของไปแจกให้เด็กๆที่พวกเราทำกัน ก็เป็นตัวอย่างที่ดีในข้อนี้)
ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง คือ บอกเล่า หรือชวนไปฟังเรื่องราวดีๆ หรือฟังธรรมที่ไม่เคยฟัง
บอกทางสวรรค์ให้ คือชี้แนะให้ทำคุณงามความดี

             [๑๙๖] ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรมีความรักใคร่ ท่านพึงทราบว่า เป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ
ไม่ยินดีด้วยความเสื่อมของเพื่อน ๑
ยินดีด้วยความเจริญของเพื่อน ๑
ห้ามคนที่กล่าวโทษเพื่อน ๑
สรรเสริญคนที่สรรเสริญเพื่อน ๑

ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรมีความรักใคร่ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล ฯ
ขยายความ:
ไม่ยินดีด้วยความเสื่อมของเพื่อน คือ เมื่อเพื่อนเกิดเรื่องเดือดร้อนเสื่อมเสีย เมื่อเพื่อนตกต่ำลำบาก ก็เดือดเนื้อร้อนใจ วิตกกังวลเป็นห่วงเพื่อน
ยินดีด้วยความเจริญของเพื่อน ข้อนี้ชัดเจนแล้ว
ห้ามคนที่กล่าวโทษเพื่อน คือ ห้ามปราม คัดค้าน หรืออธิบายแสดงเหตุผลหักล้างคนที่กล่าวโทษเพื่อน คำว่า "กล่าวโทษ" หมายถึง กล่าวหาว่าเพื่อนไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งจริงเท็จแค่ไหนก็ไม่รู้แน่ หนักสุดคือใส่ความให้ร้ายด้วยเรื่องอันเป็นเท็จ
สรรเสริญคนที่สรรเสริญเพื่อน ข้อนี้ชัดเจนแล้ว

             พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
             [๑๙๗]       
บัณฑิต รู้แจ้งมิตร ๔ จำพวกเหล่านี้  คือ  มิตรผู้มีอุปการะ ๑
มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ๑ มิตรแนะประโยชน์ ๑  มิตรมีความรัก
ใคร่ ๑ ว่าเป็นมิตรแท้ ฉะนี้แล้ว  พึงเข้าไปนั่งใกล้โดยเคารพ
เหมือนมารดากับบุตรฉะนั้น ดังนี้เป็นต้น ฯ


ขยายความว่า บัณฑิต คือผู้มีปัญญา รู้จักมิตร คือเพื่อน ๔ จำพวก คือ ผู้มีอุปการะ ได้แก่ผู้ที่เคยช่วยเหลือตน ผู้นับได้ว่ามีบุญคุณต่อตน ๑ เพื่อนผู้เคยสุขด้วยกันกับตน และเคยทุกข์ยากลำบากมากับตน ชื่อว่ามิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ๑ เพื่อนผู้แนะนำให้ทำแต่สิ่งที่ดีๆมีประโยชน์ ชื่อว่ามิตรแนะประโยชน์ ๑ และเพื่อนสนิทใกล้ชิดของเรา ชื่อว่ามิตรมีความรักใคร่ โดยประจักษ์แล้ว พึงเข้าไปนั่งใกล้ หมายความว่า พึงเข้าไปอยู่ใกล้ๆเขา โดยเคารพ คือโดยตั้งใจ เหมือนมารดาผู้อยู่ใกล้บุตรฉะนั้น ฯ

พระบาลีและอัตถาธิบายว่าด้วยเรื่องมิตร จบแล้ว ดังพรรณนามาฉะนี้แล ฯ

พบกันวันพรุ่งนี้ อีก 1 วันครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่