สวัสดีค่ะ เป็นคุณแม่ฟลูไทม์ลูกสองนะคะ พอดีได้ฟังบล็อคเกอร์มัมชาวอเมริกา Kristina Kuzmic พูดถึงเรื่องนี้ผ่านคลิป ก็เลยอยากมาเล่าสู่กันฟังบางส่วนค่ะ
(ขออนุญาตแทนตัวเองว่า ‘มัม’ นะคะ เพราะลูกๆ ติดเรียกแบบนี้ค่ะ 😁)
https://www.facebook.com/KristinaKuzmic/videos/800285553514152/
(ตามลิงค์นี้เลย)
คือชอบสิ่งที่คริสติน่าพูดเรื่องนี้จริงๆ นางพูดถึงสิ่งที่
บรรดาแม่ๆ รู้สึกว่ามันหนักหนามากกก นั้นก็คือการพาลูกๆ มาผจญภัยนอกบ้านออกสู่สาธารณะ อย่างเป็นทางการที่แท้ทรูจนอยากจะหลบอยู่แต่ในบ้าน .. พอออกมาก็พยายามทำตัวลีบๆ ไม่อยากให้ใครสักคนเลยสังเกตเห็น .. แน่นอนนางสังเกตเห็นคุณๆ นะคะ แถมในมุมที่ต่างออกไปด้วย
นางเห็นตรงกันข้ามกับที่คนทั่วไปเห็นค่ะ เวลาเจอเด็กๆ เล็กๆ วัยหัดเดิน อยู่ในอาการอาละวาดกลางไปรษณีย์ ร้องเสียงดัง ลงไปดิ้นงอแงที่พื้น แบบไม่ยอมแม้แต่จะลุกขึ้น คือ นางเห็นต่างว่า นางชื่นชมแม่ๆ เหล่านี้ว่า กล้าหาญมาก และ Amazing มาก มันเป็นเรื่องที่ท้าทายมากๆ กับการต้องพาลูกๆ ออกมาทำธุระข้างนอกด้วยให้เสร็จเพียงลำพัง แม้ว่ามันแลดูลำบากเพียงใด Go You! You’re Doing Great! (ลุกขึ้นยืน แล้วปรบมือรัวๆ ให้เลย 555)
นางมีพูดต่อจากนี้อีกนะ คือรู้สึกว่านางพูดแทนใจแม่ๆ ได้ดีที่สุดแล้วจริงๆ .. ลองฟังกันดู มีซับอังกฤษให้ด้วย
(ถ้าไม่มีซับ ก็ฟังไม่ค่อยออกหมดเหมือนกันค่ะ 😅)
ส่วนมาก .. คือทั่วไปบ้านเราจะมองว่า การที่เด็กทำแบบนี้ มันน่ารำคาญ เดือนร้อนคนอื่น ถ้าคุมลูกตัวเองไม่ได้ ก็ไม่ต้องพาออกมานอกบ้านสิ! เลี้ยงลูกยังไงกันให้เป็นแบบนี้! คือสารพัดจะมองในแง่ร้าย ลามไปถึงการเลี้ยงดูสั่งสอนของพ่อแม่ไปด้วย
คือจริงๆ ก็เข้าใจมากๆ ในมุมคนที่ยังไม่ได้มีลูก และก็เข้าใจมากๆ ในมุมคนที่เป็นแม่ เพราะก็ผ่านทั้งสองจุดมาแล้ว
จริงๆ อยากให้มองอีกมุม และเห็นใจครอบครัวที่มาพร้อมเด็กเล็กๆ กันนิดนึง ว่าบางที บางเหตุการณ์มันไม่คาดฝันและควบคุมไม่ได้ เด็กเล็กๆ บางทีมันก็เหมือนคนแก่วัยทองยังไงไม่รู้ เลือดจะไปลมจะมา อะไรผิดหูผิดตา ก็เอาล่ะ .. งอแง โวยวาย ร้องไห้ลั่น และที่สำคัญเค้ายังพูดไม่ได้ คุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ สิ่งเดียวที่เค้าสื่อสารได้คือ การร้องไห้ ไงค่ะ
แต่เชื่อเถอะว่า .. แม่ๆ พ่อๆ ทุกคน พยายามและเตรียมพร้อมยิ่งกว่าออกรบก่อนออกจากบ้าน สังเกตจะเห็นเลยว่า คุณพ่อมาพร้อมกระเป๋าคู่ชีพ ที่มีอุปกรณ์ยังชีพเต็มพิกัด
((แผ่นรองเปลี่ยนเพิส แพมเพิส น้ำ ขวดนม เสื้อผ้าสำรอง :: แยกย่อยได้เป็น เสื้อ กางเกง หมวก ผ้ากันเปื้อน ถุงมือ ถุงเท้า:: ครีมทากันยุง แผ่นติดกันยุงกัด บูบูครีม บีเพนเทน ทิชชู่เปียก สบู่เหลวขวดเล็ก สเปรย์ฆ่าเชื้อโรค ถุงพลาสติกเปล่าสำหรับใส่เพิสใช้แล้วหรือเป็นถุงรองในกรณีที่ลูกแหวะ อาเจียน .. บลา บลา บลา หลายสิ่งเกินกว่าที่คุณๆ จะคาดคิดว่าเราต้องพร้อมมากแค่ไหนกัน))
คุณแม่ก็จะมีคาดเอวที่อุ้ม พร้อมผ้าอ้อมพาดบ่า เตรียมรับทุกสารพัดของเหลวที่พร้อมจะพุ่งออกมาจากลูก .. ไหนจะรถเข็นเด็ก ของเล่นชิ้นโปรด ตุ๊กตาคู่ซี้ ขนมขบเคี้ยวเด็กเล็ก คือ พวกเราพร้อมมากๆ จริงๆ และพยายามอย่างมากที่จะไม่รบกวนหรือสร้างความเดือนร้อนในที่สาธารณะ
แต่บางครั้งทุกอย่างก็เหนือการควบคุม แม้ว่าเราจะเตรียมตัวมาดีแค่ไหน เช่น ลูกหลับอยู่สวยๆ แต่ดันนอนขรี้แตกทะลักเพิส ล้นออกมาจนเลอะรถเข็น! (เหตุการณ์จริง ตอนลูกคนแรก 3-4 เดือน กลาง H&M พารากอน และตอนลูกคนที่สอง 7 เดือน ณ ร้าน GAP กลางโอซาก้า 😅) ตอนที่จมูกได้กลิ่นตุๆ แล้วสายตาสำรวจเหลือบไปเห็นต้นเหตุของกลิ่นแล้ว เราโคตรจะพานิค หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ พร้อมสมองที่คิดแผนต่างๆ นานา ห้องน้ำใกล้สุดอยู่ไหน? ห้างนี้มีห้องเด็กรึเปล่า? จะเริ่มยังไงดี ลูกก็เพิ่งหลับเอง เดี๊ยวจะร้องไห้ลั่นตอนจับล้างก้นเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกแน่ๆ .. รถเข็นก็เลอะอุนจิเหลืองๆ อีกด้วย .. โอ๊ย! ตายๆ หรือจะปล่อยลูกนอนเลยตามเลย แล้วไปลองเสื้อที่เล็งไว้ก่อน ไม่ได้ๆ จะบ้ารึเปล่า กลิ่นขรี้เหม็นกระจายฟุ้งขนาดนี้ รีบเข็นออกนอกร้านด่วนก่อนเลยค่ะ แล้วค่อยตั้งหลักอีกที .. อะไรประมาณนี้ 555
หรือเวลากินข้าว ก็เป็นอีกช่วงที่แบบ ลุ้นระทึกมากๆ .. มัมผ่านช่วงลูกอ่อนมาแล้ว แล้วก็ได้เห็นได้เจอพ่อแม่ลูกอ่อนคนอื่นๆ ที่แบบว่า ก็นั่งกินกันดีๆ แล้วจู่ๆ ตัวเล็กในรถเข็นก็ร้องจ้าาา แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย .. คนเป็นแม่รีบยัดอาหารในช้อนคำสุดท้าย หรือบางทีต้องวางแบบทันที แล้วรีบหันมาดูลูก ขณะที่ปากก็รีบเคี้ยวตุ้ยๆ กำจัดอาหารลงท้องให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้ส่งเสียงปลอบลูกน้อยให้สงบลง .. มือก็ไกวรถเข็นไปด้วยอีกต่างหาก .. แต่ดูเหมือนไม่ได้ผลเลย ลูกน้อยยังคงร้องดังขึ้นอีก .. จังหวะนี้คนเป็นแม่จะรู้ล่ะว่า คนกำลังจ้องมอง และต้องอุ้มลูกขึ้นเพื่อปลอบและกอด รีบหาขวดนมให้กิน (อันนี้ก็สะดวกหน่อย) หรือ เปิดเต้าให้นม ซึ่งก็ทุลักทุเลกับการคลุมผ้าไปอีก! คุณพ่อจะเข้ามาช่วยกันด้วยอีกแรง ซึ่งเอาจริงๆ นะ มัมว่าไอผ้าคลุมเนี่ยยย เด็กๆพอโตขึ้นอีกหน่อย ก็ไม่ค่อยชอบหรอก แล้วอากาศบ้านเราก็ร้อน เอาอะไรมาคลุมมันอึดอัดมากกก ลองนึกภาพตัวเองกินข้าวไปคลุมผ้าไปด้วย แม้จะในห้องแอร์ก็ตาม .. มันคงไม่โอเคเท่าไรหรอก จริงมั๊ยค่ะ?
ส่วนตัวไม่เคยมองว่ามันน่าเกลียดเลยกับการให้นมกลางที่สาธารณะ .. มันคือเรื่องธรรมชาติ และสุดแสนจะธรรมดาสามัญของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคป้าลูซี่ล่ะค่ะ .. บางคนมองอนาจาร? หืออ? ให้นมลูก? จำเป็นต้องหลบให้ในห้องน้ำ หรือมุมๆ หลังถังขยะด้วยหรอ? เราอาจจะหาแค่มุมไม่พลุกพล่านก็พอแล้ว ในกรณีที่ลูกเราไม่ชอบผ้าคลุม ลูกมัมๆ ทั้งคู่ พอสัก 4-5 เดือนมีเรี่ยวแรง นี่ก็ปัด ก็ดึงผ้าคลุมออกหมดแล้วค่ะ หรือไม่ เราก็หาเสื้อเปิดให้นม ที่ช่วยได้เยอะ แถมบางรุ่นทำแบบมีผ้าอีกชั้น ไว้ปิดตอนให้นมลูกแบบไม่อึดอัดมากด้วย คือเอาจริงๆ แม่ๆ ก็ลงทุนกันมากนะ เสื้อในก็ต้องซื้อใหม่เป็นแบบเปิดให้นมทั้งหมด เสื้อผ้าก็เลือกตามอำเภอใจไม่ได้เลย ต้องเลือกใหม่ตามความสะดวกในการให้นม เช่นเชิ้ตกระดุมที่ปลดง่ายๆ หรือเสื้อหลวมๆ ที่แหวกได้ .. เพราะมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเนี่ยแหละ นมผงเลยฟาดเม็ดเงินจากแม่ๆ ไปได้อย่างง่ายดายและสวยงาม!
มัมนอกเรื่องไปไกลเลยย 555 กลับมาเข้าเรื่องค่ะ
หรือในกรณีที่ลูกร้องลั่น ไม่เอาอะไรทั้งนั้น .. ทางสุดท้ายคืออุ้มลูกออกนอกร้าน เพื่อไปสงบ คุยเล่น หยอกล้อ สารพัดวิธีที่เราจะทำได้กันจริงๆ ส่วนคุณพ่อ จังหวะนี้ต้องรีบกินให้ไวชนิดที่อาจไม่ทันได้รู้รสอาหาร แล้วรีบตามไปช่วยคุณแม่อีกแรง .. บางทีกล่อมลูกสงบได้ แต่พอเอาเข้าร้านมาวางลงรถเข็น ดีใจที่เราทำได้แล้ว และหวังจะได้กลับไปกินต่อชิวๆ สักที .. แต่พอวางลูกลงเท่านั้นแหละ .. ร้องไห้อีกค่าาาาา! โอ๊ย! แบบว่า ต้องรีบอุ้มกลับ แล้วพุ่งออกนอกร้านอีกรอบ พร้อมคุณพ่อที่ส่งสายตาให้กำลังใจสุดๆ แต่มือยังคงไม่ได้วางช้อน ส้อมนะ 555
พอผ่านช่วงวัยเด็กอ่อน .. มาเจอวัยหัดเดินนี่ก็จะเหนื่อยไปอีกระดับ พอเลยวัยหัดเดิน ก็มาเจอวัยวิ่งได้ นี่ก็ปวดหัวเลยค่ะ เลยวัยวิ่งได้ ก็จะเจอทั้งวัยอลวน คือ วัยวิ่ง วัยพูด วัยปีน วัยจอมสงสัย วัยกรี๊ด วัยตะโกน แล้วถ้าลูกสอง จะเจอวัยทะเลาะ วัยแย่ง เพิ่มไปอีก .. แล้วเห็นอะไรมั๊ยค่ะ ส่วนมากกกก จะใช้ยูทูปทั้งสะกดและสะกัดพลังยุทธของลูกๆ ได้อยู่หมัดกันเกือบทุกโต๊ะ ทั้งๆ ที่เรารู้ว่ามันไม่ดีกับลูก แต่เราก็ทำ เพื่อความสงบสุขของทุกคน 555 (จริงๆ แล้วเด็กต่ำกว่า 2 ขวบไม่ควรให้ดูสื่อพวกนี้นะคะ คือมัมก็ใช้เหมือนกัน แต่จะเป็นช่วงที่กินอิ่มแล้ว แล้วเริ่มไม่อยู่นิ่งกันแล้วอ่ะค่ะ จุดที่ของเล่น สมุดระบายสี สติ๊กเกอร์บุ๊ค activities book หนังสือนิทานใดๆ ในโลกหล้าล้วนเอาไม่อยู่จริงๆ 😅😅)
อาจจะมีคำถามว่า แล้วรู้ว่าถ้าลูกเป็นแบบนี้ จะพาออกมาทำไม? คือ มันออกจะใจร้ายไปนิด คนเราก็ต้องมีธุระข้างนอกที่ต้องทำ และบางบ้านก็ไม่ได้พร้อมจะมีคนดูแลลูกให้ที่บ้านตลอดเวลา ก็ต้องกะเตงพาลูกๆ ออกมาด้วย บางบ้านมีฐานะหน่อยก็มีพี่เลี้ยงคอยช่วย แต่บางบ้านก็ไม่สามารถ ก็ต้องตุเลงๆ กันออกมาเอง
ใจเขาใจเราค่ะ .. ลำพังสภาพหลังคลอดก็ต้องเผชิญความเจ็บปวดจากแผล ไหนจะสู้กับการอดหลับอดนอน ไหนจะสู้กับฮอร์โมนที่เหวี่ยงหนักมาก .. การได้ออกมานอกบ้านหลังจาก 2-3 เดือนหลังคลอด มันเหมือนปลาได้น้ำ เสือได้ป่าจริงๆ นะคะ แค่ได้ไปเซเว่นก็รู้สึกได้ออกไปสู่โลกกว้างแล้ว 555 .. แล้วอย่างที่เล่าให้ฟัง กรณีที่ลูกเราไม่ไหวจริงๆ เราก็จะรีบเอาออกจากร้านทันที .. เราเองก็อาย และพยายามอย่างเต็มที่แล้วจริงๆ ขอให้เชื่อเถอะนะคะ
แล้วก็อยากให้เข้าใจว่า เด็ก ไม่ใช่ลูกเทพ ที่เลี้ยงง่ายพกไปไหนสะดวก เด็กมีธรรมชาติที่ไม่อยู่นิ่ง พร้อมสำรวจสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา ขวดซอสบนโต๊ะ ที่ใส่ทิชชู่ ไม่จิ้มฟัน แจกันดอกไม้ ชุดเครื่องปรุง ขวดเกลือ พริกไทย ทุกอย่างบนโต๊ะอาหาร คือดินแดนลี้ลับแห่งใหม่ของโคลัมบัสน้อยๆ ทั้งนั้น เด็กๆ พร้อมจะคว้า ปัด จับ เล่น พูดง่ายๆ คือ อะไรใกล้มือก็เล่นหมดนั้นแหละค่ะ .. แต่ก็ไม่เถียงนะคะ ที่มีคุณแม่ที่ฝึกลูกๆ ให้เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ได้ อันนี้ชื่นชมมากๆ แต่ส่วนมาก ก็จะเป็นอย่างที่เราๆ เห็นกัน
มัมเชื่อว่า ถ้าเราเห็นอกเห็นใจกัน .. หยุดมองแม่ๆ ด้วยสายตา แล้วเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม ส่งสายตาให้กำลังใจแทน พวกเราจะรู้สึกดีใจมาก มีอารมณ์ดีๆ ไปสู้กับลูกให้สงบเร็วไว้ขึ้นอีกหลายเท่าเลยจริงๆ
ขอส่งกำลังใจให้แม่ๆ ทุกคน ที่กำลังต่อสู้กับการพาลูกน้อยออกสู่ที่สาธารณะด้วย เราจะพยายามจะสู้ไปด้วยกัน เพื่อความสงบของส่วนรวมค่ะ 😁
ก่อนจบ ขอปิดด้วยประโยคที่คริสติน่าพูดตอนจบว่า
“ I didn’t see a mom who can’t handle this. I saw a mom determined to help her child and I saw a baby who is so, so .. so loved by her mom.
Yes, fellow moms, there will be people out there who notice you and judge you, but please know there are many others who see you as Amazing Moms doing the best you can and rocking this motherhood thing.
So, yes, I noticed you and I am in awe of you. “
แปลเป็นไทยได้ว่า
(ถ้าผิดพลาดยังไง ต้องขออภัยด้วยนะคะ ภาษาอังกฤษไม่ค่อยแข็งแรง 😅)
“ฉันไม่ยักจะเห็นแม่คนไหนที่รับมือเรื่องราวแบบนี้ไม่ได้ .. ฉันเห็นแต่แม่ที่พร้อมทุ่มสุดตัวเพื่อช่วยลูกๆ และฉันเห็นหนูน้อยเหล่านี้ได้รับการเลี้ยงดูด้วยความรักจากแม่ๆ ของเธออย่างเปี่ยมล้นมากๆ
ใช่ค่ะ เหล่ามนุษย์แม่ทั้งหลาย .. ยังมีผู้คนข้างนอกมากมายที่สังเกตและพร้อมจะตัดสินคุณ แต่ได้โปรดรับรู้ไว้ว่า มีผู้คนอีกเยอะแยะเช่นกันที่เห็นคุณเป็นแม่สุดเริส ที่พยายามทำดีสุดชีวิต ที่จะบรรเลงท่วงทำนองแห่งมนุษย์แม่ให้ไพเราะ
นั้นแหละค่ะ ใช่เลย ฉันสังเกตเห็นคุณ และฉันก็ (โคตรจะ) ชื่นชมคุณมากจริงๆ”
เป็นกำลังใจให้แม่ๆ ทุกคนนะคะ
#มัมเอง
ให้กำลังใจแม่ๆ ทุกคนเวลาพาลูกๆ ออกนอกบ้านค่ะ
(ขออนุญาตแทนตัวเองว่า ‘มัม’ นะคะ เพราะลูกๆ ติดเรียกแบบนี้ค่ะ 😁)
https://www.facebook.com/KristinaKuzmic/videos/800285553514152/
(ตามลิงค์นี้เลย)
คือชอบสิ่งที่คริสติน่าพูดเรื่องนี้จริงๆ นางพูดถึงสิ่งที่
บรรดาแม่ๆ รู้สึกว่ามันหนักหนามากกก นั้นก็คือการพาลูกๆ มาผจญภัยนอกบ้านออกสู่สาธารณะ อย่างเป็นทางการที่แท้ทรูจนอยากจะหลบอยู่แต่ในบ้าน .. พอออกมาก็พยายามทำตัวลีบๆ ไม่อยากให้ใครสักคนเลยสังเกตเห็น .. แน่นอนนางสังเกตเห็นคุณๆ นะคะ แถมในมุมที่ต่างออกไปด้วย
นางเห็นตรงกันข้ามกับที่คนทั่วไปเห็นค่ะ เวลาเจอเด็กๆ เล็กๆ วัยหัดเดิน อยู่ในอาการอาละวาดกลางไปรษณีย์ ร้องเสียงดัง ลงไปดิ้นงอแงที่พื้น แบบไม่ยอมแม้แต่จะลุกขึ้น คือ นางเห็นต่างว่า นางชื่นชมแม่ๆ เหล่านี้ว่า กล้าหาญมาก และ Amazing มาก มันเป็นเรื่องที่ท้าทายมากๆ กับการต้องพาลูกๆ ออกมาทำธุระข้างนอกด้วยให้เสร็จเพียงลำพัง แม้ว่ามันแลดูลำบากเพียงใด Go You! You’re Doing Great! (ลุกขึ้นยืน แล้วปรบมือรัวๆ ให้เลย 555)
นางมีพูดต่อจากนี้อีกนะ คือรู้สึกว่านางพูดแทนใจแม่ๆ ได้ดีที่สุดแล้วจริงๆ .. ลองฟังกันดู มีซับอังกฤษให้ด้วย
(ถ้าไม่มีซับ ก็ฟังไม่ค่อยออกหมดเหมือนกันค่ะ 😅)
ส่วนมาก .. คือทั่วไปบ้านเราจะมองว่า การที่เด็กทำแบบนี้ มันน่ารำคาญ เดือนร้อนคนอื่น ถ้าคุมลูกตัวเองไม่ได้ ก็ไม่ต้องพาออกมานอกบ้านสิ! เลี้ยงลูกยังไงกันให้เป็นแบบนี้! คือสารพัดจะมองในแง่ร้าย ลามไปถึงการเลี้ยงดูสั่งสอนของพ่อแม่ไปด้วย
คือจริงๆ ก็เข้าใจมากๆ ในมุมคนที่ยังไม่ได้มีลูก และก็เข้าใจมากๆ ในมุมคนที่เป็นแม่ เพราะก็ผ่านทั้งสองจุดมาแล้ว
จริงๆ อยากให้มองอีกมุม และเห็นใจครอบครัวที่มาพร้อมเด็กเล็กๆ กันนิดนึง ว่าบางที บางเหตุการณ์มันไม่คาดฝันและควบคุมไม่ได้ เด็กเล็กๆ บางทีมันก็เหมือนคนแก่วัยทองยังไงไม่รู้ เลือดจะไปลมจะมา อะไรผิดหูผิดตา ก็เอาล่ะ .. งอแง โวยวาย ร้องไห้ลั่น และที่สำคัญเค้ายังพูดไม่ได้ คุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ สิ่งเดียวที่เค้าสื่อสารได้คือ การร้องไห้ ไงค่ะ
แต่เชื่อเถอะว่า .. แม่ๆ พ่อๆ ทุกคน พยายามและเตรียมพร้อมยิ่งกว่าออกรบก่อนออกจากบ้าน สังเกตจะเห็นเลยว่า คุณพ่อมาพร้อมกระเป๋าคู่ชีพ ที่มีอุปกรณ์ยังชีพเต็มพิกัด
((แผ่นรองเปลี่ยนเพิส แพมเพิส น้ำ ขวดนม เสื้อผ้าสำรอง :: แยกย่อยได้เป็น เสื้อ กางเกง หมวก ผ้ากันเปื้อน ถุงมือ ถุงเท้า:: ครีมทากันยุง แผ่นติดกันยุงกัด บูบูครีม บีเพนเทน ทิชชู่เปียก สบู่เหลวขวดเล็ก สเปรย์ฆ่าเชื้อโรค ถุงพลาสติกเปล่าสำหรับใส่เพิสใช้แล้วหรือเป็นถุงรองในกรณีที่ลูกแหวะ อาเจียน .. บลา บลา บลา หลายสิ่งเกินกว่าที่คุณๆ จะคาดคิดว่าเราต้องพร้อมมากแค่ไหนกัน))
คุณแม่ก็จะมีคาดเอวที่อุ้ม พร้อมผ้าอ้อมพาดบ่า เตรียมรับทุกสารพัดของเหลวที่พร้อมจะพุ่งออกมาจากลูก .. ไหนจะรถเข็นเด็ก ของเล่นชิ้นโปรด ตุ๊กตาคู่ซี้ ขนมขบเคี้ยวเด็กเล็ก คือ พวกเราพร้อมมากๆ จริงๆ และพยายามอย่างมากที่จะไม่รบกวนหรือสร้างความเดือนร้อนในที่สาธารณะ
แต่บางครั้งทุกอย่างก็เหนือการควบคุม แม้ว่าเราจะเตรียมตัวมาดีแค่ไหน เช่น ลูกหลับอยู่สวยๆ แต่ดันนอนขรี้แตกทะลักเพิส ล้นออกมาจนเลอะรถเข็น! (เหตุการณ์จริง ตอนลูกคนแรก 3-4 เดือน กลาง H&M พารากอน และตอนลูกคนที่สอง 7 เดือน ณ ร้าน GAP กลางโอซาก้า 😅) ตอนที่จมูกได้กลิ่นตุๆ แล้วสายตาสำรวจเหลือบไปเห็นต้นเหตุของกลิ่นแล้ว เราโคตรจะพานิค หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ พร้อมสมองที่คิดแผนต่างๆ นานา ห้องน้ำใกล้สุดอยู่ไหน? ห้างนี้มีห้องเด็กรึเปล่า? จะเริ่มยังไงดี ลูกก็เพิ่งหลับเอง เดี๊ยวจะร้องไห้ลั่นตอนจับล้างก้นเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกแน่ๆ .. รถเข็นก็เลอะอุนจิเหลืองๆ อีกด้วย .. โอ๊ย! ตายๆ หรือจะปล่อยลูกนอนเลยตามเลย แล้วไปลองเสื้อที่เล็งไว้ก่อน ไม่ได้ๆ จะบ้ารึเปล่า กลิ่นขรี้เหม็นกระจายฟุ้งขนาดนี้ รีบเข็นออกนอกร้านด่วนก่อนเลยค่ะ แล้วค่อยตั้งหลักอีกที .. อะไรประมาณนี้ 555
หรือเวลากินข้าว ก็เป็นอีกช่วงที่แบบ ลุ้นระทึกมากๆ .. มัมผ่านช่วงลูกอ่อนมาแล้ว แล้วก็ได้เห็นได้เจอพ่อแม่ลูกอ่อนคนอื่นๆ ที่แบบว่า ก็นั่งกินกันดีๆ แล้วจู่ๆ ตัวเล็กในรถเข็นก็ร้องจ้าาา แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย .. คนเป็นแม่รีบยัดอาหารในช้อนคำสุดท้าย หรือบางทีต้องวางแบบทันที แล้วรีบหันมาดูลูก ขณะที่ปากก็รีบเคี้ยวตุ้ยๆ กำจัดอาหารลงท้องให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้ส่งเสียงปลอบลูกน้อยให้สงบลง .. มือก็ไกวรถเข็นไปด้วยอีกต่างหาก .. แต่ดูเหมือนไม่ได้ผลเลย ลูกน้อยยังคงร้องดังขึ้นอีก .. จังหวะนี้คนเป็นแม่จะรู้ล่ะว่า คนกำลังจ้องมอง และต้องอุ้มลูกขึ้นเพื่อปลอบและกอด รีบหาขวดนมให้กิน (อันนี้ก็สะดวกหน่อย) หรือ เปิดเต้าให้นม ซึ่งก็ทุลักทุเลกับการคลุมผ้าไปอีก! คุณพ่อจะเข้ามาช่วยกันด้วยอีกแรง ซึ่งเอาจริงๆ นะ มัมว่าไอผ้าคลุมเนี่ยยย เด็กๆพอโตขึ้นอีกหน่อย ก็ไม่ค่อยชอบหรอก แล้วอากาศบ้านเราก็ร้อน เอาอะไรมาคลุมมันอึดอัดมากกก ลองนึกภาพตัวเองกินข้าวไปคลุมผ้าไปด้วย แม้จะในห้องแอร์ก็ตาม .. มันคงไม่โอเคเท่าไรหรอก จริงมั๊ยค่ะ?
ส่วนตัวไม่เคยมองว่ามันน่าเกลียดเลยกับการให้นมกลางที่สาธารณะ .. มันคือเรื่องธรรมชาติ และสุดแสนจะธรรมดาสามัญของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคป้าลูซี่ล่ะค่ะ .. บางคนมองอนาจาร? หืออ? ให้นมลูก? จำเป็นต้องหลบให้ในห้องน้ำ หรือมุมๆ หลังถังขยะด้วยหรอ? เราอาจจะหาแค่มุมไม่พลุกพล่านก็พอแล้ว ในกรณีที่ลูกเราไม่ชอบผ้าคลุม ลูกมัมๆ ทั้งคู่ พอสัก 4-5 เดือนมีเรี่ยวแรง นี่ก็ปัด ก็ดึงผ้าคลุมออกหมดแล้วค่ะ หรือไม่ เราก็หาเสื้อเปิดให้นม ที่ช่วยได้เยอะ แถมบางรุ่นทำแบบมีผ้าอีกชั้น ไว้ปิดตอนให้นมลูกแบบไม่อึดอัดมากด้วย คือเอาจริงๆ แม่ๆ ก็ลงทุนกันมากนะ เสื้อในก็ต้องซื้อใหม่เป็นแบบเปิดให้นมทั้งหมด เสื้อผ้าก็เลือกตามอำเภอใจไม่ได้เลย ต้องเลือกใหม่ตามความสะดวกในการให้นม เช่นเชิ้ตกระดุมที่ปลดง่ายๆ หรือเสื้อหลวมๆ ที่แหวกได้ .. เพราะมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเนี่ยแหละ นมผงเลยฟาดเม็ดเงินจากแม่ๆ ไปได้อย่างง่ายดายและสวยงาม!
มัมนอกเรื่องไปไกลเลยย 555 กลับมาเข้าเรื่องค่ะ
หรือในกรณีที่ลูกร้องลั่น ไม่เอาอะไรทั้งนั้น .. ทางสุดท้ายคืออุ้มลูกออกนอกร้าน เพื่อไปสงบ คุยเล่น หยอกล้อ สารพัดวิธีที่เราจะทำได้กันจริงๆ ส่วนคุณพ่อ จังหวะนี้ต้องรีบกินให้ไวชนิดที่อาจไม่ทันได้รู้รสอาหาร แล้วรีบตามไปช่วยคุณแม่อีกแรง .. บางทีกล่อมลูกสงบได้ แต่พอเอาเข้าร้านมาวางลงรถเข็น ดีใจที่เราทำได้แล้ว และหวังจะได้กลับไปกินต่อชิวๆ สักที .. แต่พอวางลูกลงเท่านั้นแหละ .. ร้องไห้อีกค่าาาาา! โอ๊ย! แบบว่า ต้องรีบอุ้มกลับ แล้วพุ่งออกนอกร้านอีกรอบ พร้อมคุณพ่อที่ส่งสายตาให้กำลังใจสุดๆ แต่มือยังคงไม่ได้วางช้อน ส้อมนะ 555
พอผ่านช่วงวัยเด็กอ่อน .. มาเจอวัยหัดเดินนี่ก็จะเหนื่อยไปอีกระดับ พอเลยวัยหัดเดิน ก็มาเจอวัยวิ่งได้ นี่ก็ปวดหัวเลยค่ะ เลยวัยวิ่งได้ ก็จะเจอทั้งวัยอลวน คือ วัยวิ่ง วัยพูด วัยปีน วัยจอมสงสัย วัยกรี๊ด วัยตะโกน แล้วถ้าลูกสอง จะเจอวัยทะเลาะ วัยแย่ง เพิ่มไปอีก .. แล้วเห็นอะไรมั๊ยค่ะ ส่วนมากกกก จะใช้ยูทูปทั้งสะกดและสะกัดพลังยุทธของลูกๆ ได้อยู่หมัดกันเกือบทุกโต๊ะ ทั้งๆ ที่เรารู้ว่ามันไม่ดีกับลูก แต่เราก็ทำ เพื่อความสงบสุขของทุกคน 555 (จริงๆ แล้วเด็กต่ำกว่า 2 ขวบไม่ควรให้ดูสื่อพวกนี้นะคะ คือมัมก็ใช้เหมือนกัน แต่จะเป็นช่วงที่กินอิ่มแล้ว แล้วเริ่มไม่อยู่นิ่งกันแล้วอ่ะค่ะ จุดที่ของเล่น สมุดระบายสี สติ๊กเกอร์บุ๊ค activities book หนังสือนิทานใดๆ ในโลกหล้าล้วนเอาไม่อยู่จริงๆ 😅😅)
อาจจะมีคำถามว่า แล้วรู้ว่าถ้าลูกเป็นแบบนี้ จะพาออกมาทำไม? คือ มันออกจะใจร้ายไปนิด คนเราก็ต้องมีธุระข้างนอกที่ต้องทำ และบางบ้านก็ไม่ได้พร้อมจะมีคนดูแลลูกให้ที่บ้านตลอดเวลา ก็ต้องกะเตงพาลูกๆ ออกมาด้วย บางบ้านมีฐานะหน่อยก็มีพี่เลี้ยงคอยช่วย แต่บางบ้านก็ไม่สามารถ ก็ต้องตุเลงๆ กันออกมาเอง
ใจเขาใจเราค่ะ .. ลำพังสภาพหลังคลอดก็ต้องเผชิญความเจ็บปวดจากแผล ไหนจะสู้กับการอดหลับอดนอน ไหนจะสู้กับฮอร์โมนที่เหวี่ยงหนักมาก .. การได้ออกมานอกบ้านหลังจาก 2-3 เดือนหลังคลอด มันเหมือนปลาได้น้ำ เสือได้ป่าจริงๆ นะคะ แค่ได้ไปเซเว่นก็รู้สึกได้ออกไปสู่โลกกว้างแล้ว 555 .. แล้วอย่างที่เล่าให้ฟัง กรณีที่ลูกเราไม่ไหวจริงๆ เราก็จะรีบเอาออกจากร้านทันที .. เราเองก็อาย และพยายามอย่างเต็มที่แล้วจริงๆ ขอให้เชื่อเถอะนะคะ
แล้วก็อยากให้เข้าใจว่า เด็ก ไม่ใช่ลูกเทพ ที่เลี้ยงง่ายพกไปไหนสะดวก เด็กมีธรรมชาติที่ไม่อยู่นิ่ง พร้อมสำรวจสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา ขวดซอสบนโต๊ะ ที่ใส่ทิชชู่ ไม่จิ้มฟัน แจกันดอกไม้ ชุดเครื่องปรุง ขวดเกลือ พริกไทย ทุกอย่างบนโต๊ะอาหาร คือดินแดนลี้ลับแห่งใหม่ของโคลัมบัสน้อยๆ ทั้งนั้น เด็กๆ พร้อมจะคว้า ปัด จับ เล่น พูดง่ายๆ คือ อะไรใกล้มือก็เล่นหมดนั้นแหละค่ะ .. แต่ก็ไม่เถียงนะคะ ที่มีคุณแม่ที่ฝึกลูกๆ ให้เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ได้ อันนี้ชื่นชมมากๆ แต่ส่วนมาก ก็จะเป็นอย่างที่เราๆ เห็นกัน
มัมเชื่อว่า ถ้าเราเห็นอกเห็นใจกัน .. หยุดมองแม่ๆ ด้วยสายตา แล้วเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม ส่งสายตาให้กำลังใจแทน พวกเราจะรู้สึกดีใจมาก มีอารมณ์ดีๆ ไปสู้กับลูกให้สงบเร็วไว้ขึ้นอีกหลายเท่าเลยจริงๆ
ขอส่งกำลังใจให้แม่ๆ ทุกคน ที่กำลังต่อสู้กับการพาลูกน้อยออกสู่ที่สาธารณะด้วย เราจะพยายามจะสู้ไปด้วยกัน เพื่อความสงบของส่วนรวมค่ะ 😁
ก่อนจบ ขอปิดด้วยประโยคที่คริสติน่าพูดตอนจบว่า
“ I didn’t see a mom who can’t handle this. I saw a mom determined to help her child and I saw a baby who is so, so .. so loved by her mom.
Yes, fellow moms, there will be people out there who notice you and judge you, but please know there are many others who see you as Amazing Moms doing the best you can and rocking this motherhood thing.
So, yes, I noticed you and I am in awe of you. “
แปลเป็นไทยได้ว่า
(ถ้าผิดพลาดยังไง ต้องขออภัยด้วยนะคะ ภาษาอังกฤษไม่ค่อยแข็งแรง 😅)
“ฉันไม่ยักจะเห็นแม่คนไหนที่รับมือเรื่องราวแบบนี้ไม่ได้ .. ฉันเห็นแต่แม่ที่พร้อมทุ่มสุดตัวเพื่อช่วยลูกๆ และฉันเห็นหนูน้อยเหล่านี้ได้รับการเลี้ยงดูด้วยความรักจากแม่ๆ ของเธออย่างเปี่ยมล้นมากๆ
ใช่ค่ะ เหล่ามนุษย์แม่ทั้งหลาย .. ยังมีผู้คนข้างนอกมากมายที่สังเกตและพร้อมจะตัดสินคุณ แต่ได้โปรดรับรู้ไว้ว่า มีผู้คนอีกเยอะแยะเช่นกันที่เห็นคุณเป็นแม่สุดเริส ที่พยายามทำดีสุดชีวิต ที่จะบรรเลงท่วงทำนองแห่งมนุษย์แม่ให้ไพเราะ
นั้นแหละค่ะ ใช่เลย ฉันสังเกตเห็นคุณ และฉันก็ (โคตรจะ) ชื่นชมคุณมากจริงๆ”
เป็นกำลังใจให้แม่ๆ ทุกคนนะคะ
#มัมเอง