สวัสดีเด้อค่ะ หากใครยังอยากเที่ยวในจังหวะปลายหน้าหนาวนี้(ความหนาวเฮือกสุดท้าย) ก่อนที่หน้าร้อนจะกลับมากอดเราอีกครั้งนั้น แต่ยังไม่รู้จะไปไหนดีพวกเราขอนำเหนอ ไร่ภูไฑ ภูเรือ จังหวัดเลย เด้ออออ เนื่องด้วยการชวนกันซ้ำๆในกรุ๊ป ตะลอนหาที่เที่ยวต่างๆนานา จนกระทั่งมาพบรักกับที่นี่โดยที่พักแบ่งเป็นที่พักแบบเต๊นท์(ของทางไร่) และแบบเป็นบ้านไม้ ที่นี่ให้เราสัมผัสธรรมชาติลมธรรมชาติ มีที่ชาร์จแบตแบบหัวusbให้ภายในเต๊นท์ โดยเต๊นท์นึงนอนได้สองคน และยังตอบโจทย์เราด้วยการมีกิจกรรมในทำภายในไร่ อาทิเช่น ATV ให้อาหารแกะ ขี่ม้า เป็นต้น

แอบมีโรงนาฮิปๆ อยู่ตรงนี้ด้วย(ไม่แน่ใจใช่โรงนามั้ยนะคะ ขออภัยหากไม่ใช่ จุบุ)
ส่วนในเรื่องของการเดินทางนั้น เรามีด้วยกันทั้งหมดหกคนจึงหาเช่ารถใหญ่และผลัดกันขับไปกันเอง เราซึ่งไร้ประโยชน์ต่อการขับรถ(สกิลการขับติดลบ) จึงขอหลับอยู่เบาะหลังและตื่นมาเต้นคุกกี้เสี่ยงทายบ้างเป็นครั้งคราว โดยรถที่เช่ามาจาก Yassemo Car Rent ราคาไม่แพงและรถสภาพดีไม่มีสุกี้น้ำแน่นอน เมื่อได้รถแล้วถึงเวลาออกเดินทาง!! เส้นทางครั้งนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน ขับทะลุทุกจังหวัดตั้งแต่กรุงเทพฯพุ่งไปสระบุรี(ตอนแรกเพื่อนจะขับไปโคราช) ทะลุไปเพชรบูรณ์ ผ่านหล่มสัก และปิ๊ง! ถึงแล้วภูเรือ ง่ายเหมือนปลอกกล้วย หรืออยากได้ละเอียดปักหมุดไว้แล้วจิ้มตามได้เลยเด้อค่ะ
ระยะทางทั้งหมดประมาณ 486 กิโลเมตร เวลาโดยประมาณ(ในกูเกิ้ลแมป) 6 ชม. กว่า แต่เนื่องด้วยพวกเราหิวและปวดฉิ้งฉ่องกันตลอดทาง แวะสนุกสนานค่ะ ออกตั้งแต่ตี4 แต่ถึงที่หมายประมาณบ่ายนิดๆ แต่ขับกันสบายๆหลับกันสบายๆ

นุ้งแกะ ที่รอคอยการมาของพวกเรา

มาถึงไร่สิ่งแรกที่ไปไม่ใช่ไปเช็คอินที่ล็อบบี้ แต่เป็นน้องแกะ แบะ แบะ และน้องม้า น้องๆม้าดคี้ยวฟางได้ดูอร่อย จนอยากลองหยิบมาแย่งเคี้ยว

แอบวงเล็บว่าวันที่ไปอากาศตอนกลางวันไม่น่าอยู่ในเต๊นท์เท่าไหร่ แต่กลางคืนฟินมากกกก

ที่ที่ไว้เช็คอินนะคะ อยู่ตรงข้ามกับเจ้าแกะทั้งหลาย
ชอบที่นี่ตรงที่บริการดีมากค่ะใกล้ชิด ในช่วงเย็นๆพี่ๆที่ไร่ก็จะนำอุปกรณ์ปิ๊งย่าง อุปกรณ์การกินต่างๆมาตั้งจัดเตรียมไว้ให้ เรียกได้ว่าเราเตรียมไปแค่ของสดและฝีมือก็เพียงพอแล้วค่ะ น้ำแข็งกับถ่านทางไร่มีจำหน่ายนะคะ หรือใครอยากซื้อข้างนอกก็ซื้อเข้ามาได้นะคะ ถ่านถุงละ40บาท น้ำแข็งมี 50 และ 100บาท มีถังแชาน้ำแข็งให้ คอนเฟิมว่าดีมากน้ำแข็งอยู่เป็นก้อน เย็นข้ามวันทีเดียวเชียว
มาถึงตอนเช้าที่อากาศแจ่มและใสเกินไป เมฆออกจะน้อยไปเสียหน่อยเลยแอบร้อนๆ จะเริ่มร้อนช่วง11โมง(ณ วันที่ไปนะคะ) ที่นี่อาหารเช้าจะเริ่ม 7โมงเช้าถึง
10โมง คือไข่กระทะสั่งได้คนละสองที่ และข้าวต้มเติมได้ไม่อั้น(หมูสับ) มีน้ำส้มและผลไม้จากทางไร่บริการให้ด้วย เรียกได้ว่าอิ่มท้อง พร้อมออกผจญภัย!

โต๊ะที่เอาไว้เติมน้ำ และเครื่องปรุงต่างๆ(มีผลไม้วางไว้ด้วย)
และที่เที่ยวที่เราเลือกไปกันในวันที่สองนี้คือห้วยกระทิง ชื่อว่าแพพ่อบ้านระเริง อยู่ติดข้างๆกันกับ แพแม่บ้านระเริง เป็นร้านอาหารที่จะเอาเราใส่แพแล้วพาเราไปลอยเท้งเต้งบนน้ำ และอาหารก็จะขับเรือตามมาเสริฟในเวลาไม่นาน ก่อนมาลอยแพก็สั่งอาหารที่ฝั่งก่อนอาหารก็ทั่วๆไปข้าว ส้มตำ ระหว่างทานอาหารก็จะมีแพขายลูกชิ้นแบบงงๆขับผ่านในความเร็วที่เรวกว่าแพเราแล่นผ่านไป เราใช้เวลากับตรงนี้สักพักหนึ่ง โดดลงน้ำ เล่นน้ำ ถ่ายรูป นั่ง/นอนรับลมเย็นๆ ตีป้อม ตีกอล์ฟ ก็ถึงเวลากลับ(ไปซื้อของสดไปย่างกินกันต่อ) เวลากลับก็จะโทรหาเจ้าหน้าที่ให้มารับเรากลับ ก็จะมีเรือลากมาลากเรากลับเข้าฝั่ง และคิดเงินเสร็จ เป็นอันจบพิธีการกินข้าว ลอยแพ

ลอยแพกินข้าวกันอย่างสบาย เหมาไปเลยแพละ 360 บาท

มีค่าเฟ่สุดชิค(ที่ๆไว้ไปทานข้าวเช้า)

บรรยากาศยามเย็น ที่อากาศเริ่มเย็นๆ ให้แอบขนลุกกันแบบวาบๆ

ภาพเต๊นท์แบบชัดๆ เรียกได้ว่านอนติดไร่ ติดสวนของทางที่นี่เลย!

ปิดท้ายกันด้วย น้องๆกระบองเพชรที่ทางไร่ปลูกเองแล้วนำมาขาย มีกระถางคริ้วๆ ให้เลือกกันด้วย
จบวันที่สองด้วยการตีป้อม และแยกย้ายกันไปนอน พร้อมกับตื่นมาในเช้าวันจันทร์ที่ไม่ต้องทำงาน ;^) หากใครสนใจก็ไปเที่ยวกันได้ค่ะ
แนะนำเลยในหน้าหนาวจะฟินทั้งกลางวัน และกลางคืนเลยค่ะ เอาเห็ดและหมูย่างในท้องเป็นประกันเลย เรื่องราคาไม่แน่ใจนะคะ
แต่ละซีซั่นจะราคาไม่เท่ากัน คิดว่าแล้วแต่สภาพอากาศ แต่ตอนที่พวกเราไปคือ low season ราคาอยู่ที่ 750 ต่อเต๊นท์/คืน
แต่ขอกระซิบนิดนึงว่ากระทู้รีวิวนี้อาจจะมาสายเกิน ไปตอนนี้ไม่ทันแล้วเด้อ ทางไร่จะปิดปรับปรุงตั้งแต่วันที่ 1 มีนาฤ ถึง 1 ตุลา ปีนี้นะคะ
ตามไปฟินกันได้ ตื่นเช้ามาในทุกเช้า ได้ดูวิวไร่ ภูเขา ป่าไกลลิบๆสวยๆ สีเฟดเหมือนใส่ฟิลเตอร์ในตาพูดเลยว่า ล้นมากค่ะ เป็นการพักผ่อนที่ดี(อวยเกินไปมั้ย แต่คือ ฟิลมันเป็นแบบนั่นจริงๆ ฮ่าๆ เว่อไปขออภัยเด้อค่ะ) อยากหันหน้าหนีจอคอม มาลองมองวิวสวยๆเอาตัวไปกระทบแดดและอากาศเย็นๆที่ไร่ดูค่ะ ยะฮุ้ว
[CR] เปิดแมปปักหมุด จังหวัดเพชรบูรณ์เราไม่ไป เรา(เลย)ไปเลยยยยย!
ส่วนในเรื่องของการเดินทางนั้น เรามีด้วยกันทั้งหมดหกคนจึงหาเช่ารถใหญ่และผลัดกันขับไปกันเอง เราซึ่งไร้ประโยชน์ต่อการขับรถ(สกิลการขับติดลบ) จึงขอหลับอยู่เบาะหลังและตื่นมาเต้นคุกกี้เสี่ยงทายบ้างเป็นครั้งคราว โดยรถที่เช่ามาจาก Yassemo Car Rent ราคาไม่แพงและรถสภาพดีไม่มีสุกี้น้ำแน่นอน เมื่อได้รถแล้วถึงเวลาออกเดินทาง!! เส้นทางครั้งนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน ขับทะลุทุกจังหวัดตั้งแต่กรุงเทพฯพุ่งไปสระบุรี(ตอนแรกเพื่อนจะขับไปโคราช) ทะลุไปเพชรบูรณ์ ผ่านหล่มสัก และปิ๊ง! ถึงแล้วภูเรือ ง่ายเหมือนปลอกกล้วย หรืออยากได้ละเอียดปักหมุดไว้แล้วจิ้มตามได้เลยเด้อค่ะ
ระยะทางทั้งหมดประมาณ 486 กิโลเมตร เวลาโดยประมาณ(ในกูเกิ้ลแมป) 6 ชม. กว่า แต่เนื่องด้วยพวกเราหิวและปวดฉิ้งฉ่องกันตลอดทาง แวะสนุกสนานค่ะ ออกตั้งแต่ตี4 แต่ถึงที่หมายประมาณบ่ายนิดๆ แต่ขับกันสบายๆหลับกันสบายๆ
ชอบที่นี่ตรงที่บริการดีมากค่ะใกล้ชิด ในช่วงเย็นๆพี่ๆที่ไร่ก็จะนำอุปกรณ์ปิ๊งย่าง อุปกรณ์การกินต่างๆมาตั้งจัดเตรียมไว้ให้ เรียกได้ว่าเราเตรียมไปแค่ของสดและฝีมือก็เพียงพอแล้วค่ะ น้ำแข็งกับถ่านทางไร่มีจำหน่ายนะคะ หรือใครอยากซื้อข้างนอกก็ซื้อเข้ามาได้นะคะ ถ่านถุงละ40บาท น้ำแข็งมี 50 และ 100บาท มีถังแชาน้ำแข็งให้ คอนเฟิมว่าดีมากน้ำแข็งอยู่เป็นก้อน เย็นข้ามวันทีเดียวเชียว
มาถึงตอนเช้าที่อากาศแจ่มและใสเกินไป เมฆออกจะน้อยไปเสียหน่อยเลยแอบร้อนๆ จะเริ่มร้อนช่วง11โมง(ณ วันที่ไปนะคะ) ที่นี่อาหารเช้าจะเริ่ม 7โมงเช้าถึง
10โมง คือไข่กระทะสั่งได้คนละสองที่ และข้าวต้มเติมได้ไม่อั้น(หมูสับ) มีน้ำส้มและผลไม้จากทางไร่บริการให้ด้วย เรียกได้ว่าอิ่มท้อง พร้อมออกผจญภัย!
และที่เที่ยวที่เราเลือกไปกันในวันที่สองนี้คือห้วยกระทิง ชื่อว่าแพพ่อบ้านระเริง อยู่ติดข้างๆกันกับ แพแม่บ้านระเริง เป็นร้านอาหารที่จะเอาเราใส่แพแล้วพาเราไปลอยเท้งเต้งบนน้ำ และอาหารก็จะขับเรือตามมาเสริฟในเวลาไม่นาน ก่อนมาลอยแพก็สั่งอาหารที่ฝั่งก่อนอาหารก็ทั่วๆไปข้าว ส้มตำ ระหว่างทานอาหารก็จะมีแพขายลูกชิ้นแบบงงๆขับผ่านในความเร็วที่เรวกว่าแพเราแล่นผ่านไป เราใช้เวลากับตรงนี้สักพักหนึ่ง โดดลงน้ำ เล่นน้ำ ถ่ายรูป นั่ง/นอนรับลมเย็นๆ ตีป้อม ตีกอล์ฟ ก็ถึงเวลากลับ(ไปซื้อของสดไปย่างกินกันต่อ) เวลากลับก็จะโทรหาเจ้าหน้าที่ให้มารับเรากลับ ก็จะมีเรือลากมาลากเรากลับเข้าฝั่ง และคิดเงินเสร็จ เป็นอันจบพิธีการกินข้าว ลอยแพ
จบวันที่สองด้วยการตีป้อม และแยกย้ายกันไปนอน พร้อมกับตื่นมาในเช้าวันจันทร์ที่ไม่ต้องทำงาน ;^) หากใครสนใจก็ไปเที่ยวกันได้ค่ะ
แนะนำเลยในหน้าหนาวจะฟินทั้งกลางวัน และกลางคืนเลยค่ะ เอาเห็ดและหมูย่างในท้องเป็นประกันเลย เรื่องราคาไม่แน่ใจนะคะ
แต่ละซีซั่นจะราคาไม่เท่ากัน คิดว่าแล้วแต่สภาพอากาศ แต่ตอนที่พวกเราไปคือ low season ราคาอยู่ที่ 750 ต่อเต๊นท์/คืน
แต่ขอกระซิบนิดนึงว่ากระทู้รีวิวนี้อาจจะมาสายเกิน ไปตอนนี้ไม่ทันแล้วเด้อ ทางไร่จะปิดปรับปรุงตั้งแต่วันที่ 1 มีนาฤ ถึง 1 ตุลา ปีนี้นะคะ
ตามไปฟินกันได้ ตื่นเช้ามาในทุกเช้า ได้ดูวิวไร่ ภูเขา ป่าไกลลิบๆสวยๆ สีเฟดเหมือนใส่ฟิลเตอร์ในตาพูดเลยว่า ล้นมากค่ะ เป็นการพักผ่อนที่ดี(อวยเกินไปมั้ย แต่คือ ฟิลมันเป็นแบบนั่นจริงๆ ฮ่าๆ เว่อไปขออภัยเด้อค่ะ) อยากหันหน้าหนีจอคอม มาลองมองวิวสวยๆเอาตัวไปกระทบแดดและอากาศเย็นๆที่ไร่ดูค่ะ ยะฮุ้ว
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น