คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
ทักทายคุณวัชรานนท์ ครับ
นี่เป็นความเห็นของ คนนอก นะครับ
มิตรภาพ ในชีวิตจริง เป็นสิ่งที่ดี และสวยงามครับผม
แต่ก็เป็นดาบสองคม ในโลก เว๊บบอร์ด
ผมว่าเราใช้เว๊บบอร์ดนี้ไปในทางที่...
ที่อะไรดีวะ...
ที่ไม่ตรงเจตนารมย์ของ เว๊บบอร์ดแล้วกัน ครับ
มิตรภาพเลยพาเราเลยเถิดไปเป็นการจับกลุ่ม แบ่งกลุ่ม
และนำพาพวกเรามาถึงวันที่ราชดำเนินกลายเป็นแบบนี้
การจับกลุ่มกันในชีวิตจริงทำให้เราเกิดการ เลือกข้าง มีพวกเขา มีพวกเรา
กระทู้ไหน พวกตรูเขียน ตรูก็โหวตให้เป็นกระทู้แนะนำ (ไม่ว่าจะเน่า หรือ มาม่า ขนาดไหน)
การออกหน้า ว่าตรูอยู่ฝ่ายไหน ก็เลยกลายเป็นการสร้างศัตรูไปได้
การแสดงความเห็นอะไร ไม่ถูกใจ ก็โดนด่า ว่า โดนครอบ
ทั้งหมดนี้มาจาก Relation อันมิสมควรทั้งสิ้นครับ
ไปรู้จักกันในชีวิตจริงนี่ผมเรียกว่า "ซน ไม่เข้าเรื่อง"
ใช้บอร์ด "เกิน" วัตถุประสงค์ของบอร์ด
Webboard ถูกออกแบบมาให้เป็นบอร์ดที่แสดงความเห็นกันแบบเสรี
แล้ว เห็นมั๊ยครับ ว่า ความ เสรี มันหายไปไหน
Individualism มันหายไปไหน
ไอ้พวกเดียวกับตรู แสดงความเห็นเห่ยๆไปขนาดไหน ก็ต้องไปกด หลงรัก กดถูกใจ
ทุกคนแทบจะต้องกลายเป็นคน มีสังกัด กันไปหมด
ไอ้นี่พวกไหน พวกใคร
ผมเสียดาย ราชดำเนิน ครับ
และบอกได้เลย ว่าไอ้ปัญหาต่างๆ ทั้งหมดทั้งเพที่เกิดขึ้นในห้องนี้
มาจากการ จับกลุ่ม ทั้งนั้น
และมาจากการที่การจับกลุ่ม แล้ว "เลยเถิด" ไปเป็นการ สร้างมิตรภาพกันในชีวิตจริงนี่แหละ
ทุกคนต้องรับผลจากการกระทำของตนครับ
รจวต. ไม่ได้อยู่ทีมไหน กลุ่มไหน
ก็ต้องมา ทน อยู่ในราชดำเนิน
ราชดำเนินเน่าๆ ที่เกิดจาก คน ไม่กี่คน คน ไม่กี่กลุ่ม
ขออภัยที่ความเห็นอาจไม่ถูกใจใคร
รจวต. ยังไม่มีสิทธิ์ตั้งกระทู้
เลย "แอบ" มาแสดงความเห็นไว้ตรงนี้แล้วกันครับ
ขออภัยคุณวัชรานนท์ด้วยครับผม
นี่เป็นความเห็นของ คนนอก นะครับ
มิตรภาพ ในชีวิตจริง เป็นสิ่งที่ดี และสวยงามครับผม
แต่ก็เป็นดาบสองคม ในโลก เว๊บบอร์ด
ผมว่าเราใช้เว๊บบอร์ดนี้ไปในทางที่...
ที่อะไรดีวะ...
ที่ไม่ตรงเจตนารมย์ของ เว๊บบอร์ดแล้วกัน ครับ
มิตรภาพเลยพาเราเลยเถิดไปเป็นการจับกลุ่ม แบ่งกลุ่ม
และนำพาพวกเรามาถึงวันที่ราชดำเนินกลายเป็นแบบนี้
การจับกลุ่มกันในชีวิตจริงทำให้เราเกิดการ เลือกข้าง มีพวกเขา มีพวกเรา
กระทู้ไหน พวกตรูเขียน ตรูก็โหวตให้เป็นกระทู้แนะนำ (ไม่ว่าจะเน่า หรือ มาม่า ขนาดไหน)
การออกหน้า ว่าตรูอยู่ฝ่ายไหน ก็เลยกลายเป็นการสร้างศัตรูไปได้
การแสดงความเห็นอะไร ไม่ถูกใจ ก็โดนด่า ว่า โดนครอบ
ทั้งหมดนี้มาจาก Relation อันมิสมควรทั้งสิ้นครับ
ไปรู้จักกันในชีวิตจริงนี่ผมเรียกว่า "ซน ไม่เข้าเรื่อง"
ใช้บอร์ด "เกิน" วัตถุประสงค์ของบอร์ด
Webboard ถูกออกแบบมาให้เป็นบอร์ดที่แสดงความเห็นกันแบบเสรี
แล้ว เห็นมั๊ยครับ ว่า ความ เสรี มันหายไปไหน
Individualism มันหายไปไหน
ไอ้พวกเดียวกับตรู แสดงความเห็นเห่ยๆไปขนาดไหน ก็ต้องไปกด หลงรัก กดถูกใจ
ทุกคนแทบจะต้องกลายเป็นคน มีสังกัด กันไปหมด
ไอ้นี่พวกไหน พวกใคร
ผมเสียดาย ราชดำเนิน ครับ
และบอกได้เลย ว่าไอ้ปัญหาต่างๆ ทั้งหมดทั้งเพที่เกิดขึ้นในห้องนี้
มาจากการ จับกลุ่ม ทั้งนั้น
และมาจากการที่การจับกลุ่ม แล้ว "เลยเถิด" ไปเป็นการ สร้างมิตรภาพกันในชีวิตจริงนี่แหละ
ทุกคนต้องรับผลจากการกระทำของตนครับ
รจวต. ไม่ได้อยู่ทีมไหน กลุ่มไหน
ก็ต้องมา ทน อยู่ในราชดำเนิน
ราชดำเนินเน่าๆ ที่เกิดจาก คน ไม่กี่คน คน ไม่กี่กลุ่ม
ขออภัยที่ความเห็นอาจไม่ถูกใจใคร
รจวต. ยังไม่มีสิทธิ์ตั้งกระทู้
เลย "แอบ" มาแสดงความเห็นไว้ตรงนี้แล้วกันครับ
ขออภัยคุณวัชรานนท์ด้วยครับผม
แสดงความคิดเห็น
...สัพเพเหระ ไก่ กา อาราเร่ ตอน “ควันหลง”.../วัชรานนท์
กลับเมืองไทยคราวนี้ภาระกิจแน่นมาก แน่นชนิดที่ต้องทิ้งเพื่อนๆ จากกทม.ไว้ที่อุดรฯ แล้วต้องหนีลงกทม. มาเพื่อนัดเจอกับเพื่อนเก่าในกทม. ภาระกิจที่สำคัญอันหนึ่งคือต้องไปต่อบัตรประชาชนและพาสปอร์ตที่หมดอายุไล่ๆ กัน ตอนไปทำบัตรประชาชนใหม่ ผมไม่ได้เฉลียวใจว่าผมจะต้องไปเซ็นต์รับทราบสถานะที่ต้องตกเป็น “ผู้ต้องหา” ของเทศบาลเมืองอุดรฯ เพราะบัตรประชาชนผมหมดอายุเกินเวลาหกเดือนที่เขากำหนดไว้ให้ไปต่อใหม่ แต่ของผมหมดเป็นปี.....เข้าข่ายทำผิดกฏหมายกลายเป็นผู้ต้องหาโดยปริยาย เซ็นต์รับทราบในฐานะผู้ต้องหา แล้วพี่พนักงานก็ทำบัตรใหม่ให้ อันนี้ถือเป็นความรู้ใหม่
กลับเมืองไทยคราวนี้ถือว่าคุ้มสุดคุ้ม ได้มีโอกาสพบปะเพื่อนๆ สมาชิกหน้าใหม่อย่างเช่น คุณครูเคียงเดือน คุณตกข. คุณจ่าพิเชษฐ์ คุณหนุ่มบ้านแพ้ว คุณน้องพรผู้น่ารัก คุณแม่ไก่ คุณคิตตี้ และพิเศษคือคุณเกี๊ยกซ่า มากไปกว่านั้น....คณะสมาชิกจากกรุงเทพฯ เหล่านี้ได้เดินทางไปสมทบกันที่อุดรฯ อีก คุณลุงโอลด์นี่สุดยอดเลย นอกจากเจอกันที่กรุงเทพฯ แล้ว (อุตส่าห์ไปรับที่สุวรรณภูมิด้วย) เป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารต้อนรับแล้ว คุณลุงยังอุตส่าห์บินไปที่อุดรฯ อีก ตอนแรกโทรฯ ไปบอกว่ายุ่งงานสำคัญคงไปอุดรฯ ไม่ได้ สามชั่วโมงต่อมาคุณลงบอกว่ามาอุดรฯ ได้แต่ต้องหอบงานไปด้วย ดูเอาเถิด...น้ำใจที่มีให้ต่อกันถึงขนาดนี้ เจอกันแค่ไม่ถึงห้าชั่วโมงคุณลุงก็บินกลับเชียงใหม่อีก!! คุณคิตตี้จองรร. จองตั่วเครื่องบินไปกลับกทม –อุดรฯ เรียบร้อยแล้ว งานด่วนเข้าอีก!! โทรฯ มาขอโทษยกเลิก ทั้งรร. และค่าตั๋วเครื่องบิน คุณตกข. อุตส่าห์ตีรถจากเชียงรายไปดักรอที่ขอนแก่นแล้ว พอวันมาถึงเกิดมีธุระด่วนต้องลงอุบลฯ ไปสะสางเรื่องราวทางครอบครัวมาไม่ได้อีก คุณอาร์ตและคุณอ้อมอุตส่าห์ตีเครื่องบินจากกทม. มาอุดรฯ เจอกันไม่ถึงครึ่งวัน....ก็ต้องตีรถทัวร์ลงกทม. ด่วน ส่วนคุณแม่ไก่ ทิ้งงานบินมาร่วมค้างคืนแค่คืนเดียวก็กลับ คุณขรัวมิตรภาพ อุตส่าห์ตีรถออกจากนครพนมตั้งแต่เช้าตรู่มาอุดรฯ มานั่งคุยกันได้สามสี่ชั่วโมงท่านก็ต้องกลับเพราะธุรกิจรัดตัว เหมือนๆ กับคุณคนอุบลฯ ที่ปลีกเวลามาได้แค่คืนเดียว ก็ต้องเดินทางไปอินเดียเพื่อจาริกแสวงบุญ เป็นความรู้สึกที่ตื้นตันสำหรับมิตรภาพที่มีให้ผมและคุณครูเคียงเดือนในฐานะเจ้าภาพที่อุดรธานี ขอขอบคุณมา ณ ตรงนี้อีกครั้งหนึ่ง รู้สึกผิดที่ต้องทิ้งคุณน้องพร คุณกบและแฟนไว้ที่อุดรฯ เพราะภาระกิจของผมรัดตัวจริงๆ ครับ ไว้โอกาสหน้า.....คุณคนอุบลฯ รับเป็นเจ้าภาพให้ไป “ล้มทับ” ท่านได้ที่อุบลฯ ถ้าวาสนายังมีต่อกันอยู่คงได้ไป รวมทั้งคุณขรัวมิตรภาพก็รับเป็นเจ้าภาพที่นครพนม พร้อมกระซิบมาว่า “เซียนสนุ๊กฯ” ทั้งหลาย ไม่ต้องหาโต๊ะสนุ๊กฯ ให้ยาก เพราะที่คฤหาสถ์คุณขรัวฯ มีห้องและโต๊ะสนุ๊กฯ แบบส่วนตัวและแทงกันได้หามรุ่งหามค่ำครับ
อีกภาระกิจหนึ่งที่ต้องทำคือนำอัฐิของผู้หญิงไทยคนหนึ่งที่ไปเสียชีวิตที่อังกฤษกลับบ้านเกิดของเธอ ชีวิตหญิงไทยในต่างแดนบางทีก็ไม่ได้สวยหรูอลังการอย่างที่หลายคนจินตนาการหรือเห็นในทีวี ที่ได้สามีดีก็โชคดีไป ที่ได้สามีร้ายก็ต้องมารับกรรม เหมือนผู้หญิงคนนี้ ที่ต้องประสบชะตาและรันทด สุดท้ายก็หาทางออกด้วยการทำอัตวินิบาต กลายเป็นศพไร้ญาติ ผมและเพื่อนๆ ได้รวบรวมปัจจัยนำศพเธอออกมาฌาปนกิจตามพิธีทางศาสนา และผมได้นำอัฐิของเธอกลับมาตุภูมิพร้อมนำเงินปัจจัยจากคนไทยในต่างแดนช่วยเหลือครอบครัวเธอ ชีวิตของเธอถือเป็นอุทาหรณ์ให้แก่คนไทย (โดยเฉพาะแม่บ้าน)ที่อยู่ในต่างแดนและผู้หญิงไทยที่พยายามดิ้นรนจะไปใช้ชีวิตในต่างแดนได้ดี
นอกจากงานฌาปนกิจของเธอแล้ว ผมก็ถือโอกาสทำบุญถึงพ่อแม่ที่บ้านตัวเองด้วย หลังเสร็จพิธีที่วัดก็ตระเวณเดินตามบริเวณรั้ววัดซึ่งที่ฐานของรั้วทางวัดจะเก็บอัฐิของผู้ล่วงลับในหมู่บ้านเรียงรายนับร้อยพัน มีอัฐิอยู่หกอันที่ทำให้เกิดความสังเวชและสลดใจ นั่นก็คืออัฐิของ “เพื่อนเก่า” สมัยเป็นเด็กวิ่งไล่เตะตูดกัน ผมไม่ได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของพวกเขา ตั้งใจว่าคราวนี้อยู่อุดรฯ นานจะไปเยี่ยมพบปะพูดคุยกับพวกเขา แต่ที่ทำได้ตอนนั้นก็คือยืนไว้อาลัยและเปรยกับดวงวิญญาณของพวกเขา บางคนผมเตรียมซื้อของไปฝากด้วย เลยต้องถวายให้กับวัดแทน
กลับไปเยี่ยมบ้านคราวนี้ ได้มีโอกาสเจอหญิงอาภัพในหมู่บ้านที่คุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก เธอเป็นรุ่นน้องอยู่ห้าปี เกิดมาด้วยโรคใบ้หรือภาษาอีสานว่า “ปากกืก” คือพูดไม่ได้ ชีวิตเธอลำเค็ญมาตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เข้ารร. ไม่มีใครคบหาสมาคมด้วย ญาติพี่น้องบางคนก็รังเกียจเธอ เพื่อนๆ ก็ชอบล้อเลียน วันๆ เธอรับจ้างดายหญ้าให้ชาวบ้าน เป็นชีวิตที่หว้าเหว่ที่สังคมชนบทและสมัยนั้นยากที่จะเข้าใจ ชะรอย...เธอคงจะรู้ว่าชาติที่แล้วได้ทำบุญมาน้อยจึงอาภัพในชาตินี้ เธอหันหน้าเข้าวัดตั้งแต่รู้ว่าไม่ได้มีโอกาสเข้าโรงเรียน ถ้าไม่มีใครจ้างเธอดายหญ้า เธอก็จะหิ้วจอบเสียมมาดายหญ้าที่วัด เก็บขยะมูลฝอย ช่วยพระเณร กวาดวิหารลานเจดีย์ ตักน้ำใส่ตุ่มไวให้พระสงฆ์สรง ก่อไฟต้มน้ำร้อนให้พระเณรฉันหลังทำวัตรเย็น หิ้วกระติ๊บข้าวเข้าวัดถวายอาหารพระทุกวัน คงคาดหวังว่าผลบุญส่วนนี้จะเกื้อกูลหนุนส่งเธอให้อยู่ในสถานะที่ดีกว่า มองอีกด้านหนึ่งชีวิต “ใบ้” อย่างเธอนั้น คงจะมีความหมดจดในด้าน “วจีกรรม” คือไม่ได้กล่าวร้าย ส่อเสียด โกหกใครต่อใครได้ เหมือนพระเตมีย์ที่แกล้งเป็นใบ้ วันที่ผมได้เจอเธอ เธอมองเพ่งผมอยู่ครู่ใหญ่ สักพักก็ร้อง แบะๆ (สำเนียงใบ้) ด้วยความดีใจใช้ภาษามือโบกไปมา เข้ามาลูบแขนผม จากสีหน้าและแววตาที่แสดงออกตรงนั้นมันบ่งบอกว่าเธอดีใจที่ได้เจอผม ผมเองก็ดีใจที่เธอจำผมได้ เธอ เปลี่ยนไป จากเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่เคยช่วยพี่เณร (คือผม) ทำความสะอาดบริเวณวัด แล้วผมก็มักจะตอบแทนเธอด้วยขนมหวานในวันพระทุกครั้ง ตอนนี้เธอกลายเป็นหญิงวัยกลางคน เส้นเริ่มหงอก แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนเลยคือ ตลอดเกือบจะสี่สิบปีที่ผ่านมาเธอไม่เคยทิ้งวัด ภาระกิจที่เคยทำมาตั้งแต่อายุ 7 กว่าขวบเธอยังทำตลอดมา ณ ตอนนี้แม้สังขารจะร่วงโรยทั้งตัวผมและเธอ แต่ผมกลับมองเห็นความสวยสดงดงามในตัวเธอมากขึ้นกว่าเดิม