จขกท. เป็นชาวพุทธมือใหม่ ที่เพิ่งฝึกสติปัฏฐานมาได้ไม่กี่ปี แต่เดิมก็อยู่ในกรอบของ
คนรุ่นใหม่
ที่ไม่เชื่ออะไรงมงาย เลือกที่จะใช้ความคิด ใช้เหตุผลในการพิจารณาที่จะเชื่ออะไรก็ตาม
เวลารับรู้อะไรก็จะไม่ด่วนเชื่อหรือไม่ด่วนปฏิเสธ หรือถ้าเชื่ออะไรก็ไม่ปักใจเต็มร้อย จะเผื่อใจไว้เสมอ
พร้อมเปิดกว้างรับฟังความเห็นที่แตกต่าง และพร้อมเปลี่ยนความเชื่อได้ถ้าได้ข้อมูลอะไรใหม่ๆ
ที่มีเหตุผลหักล้างความเชื่อเดิมๆ
จขกท. เริ่มต้นฝึกสติปัฏฐาน ก็เพราะบังเอิญได้มาอ่านกระทู้นึงในพันทิปเมื่อไม่กี่ปีก่อน
มีท่านผู้นึงแปะคลิปแนะนำคอร์สเรียนรู้กรรมฐานแบบเข้าใจง่าย เมื่อได้ดูแล้วก็เป็นการเปิดโลกใหม่ๆ
ว่าการปฏิบัติธรรม หรือการภาวนา ไม่ได้ยากอย่างที่คิด ไม่ต้องทิ้งหน้าที่การงานไปอยู่วัด ไปอยู่ป่าเขา
สามารถฝึกฝนได้ในชีวิตประจำวัน
ตั้งแต่นั้น จากที่ไม่เคยอยากปฏิบัติธรรมเลย ก็หันมาฝึกฝนภาวนาทุกวัน
และก็ยังหาโอกาสแวะเวียนมาในห้องศาสนาอยู่ตามแต่โอกาส มารับรู้ความรู้และความเห็นต่างๆ
และมาเป็นส่วนนึงเล็กๆ เพื่อให้กำลังใจ ให้ข้อมูลเท่าที่ตัวเองพอจะให้ได้ เป็นการตอบแทนกับสิ่งที่เคยได้รับมาจากที่นี่
หลายปีนี้ สิ่งที่ได้พบจากห้องศาสนา ก็เสมือนจำลองโลกแห่งความจริงมาไว้
เคยมีคนบอกเราไว้หลายวาระว่า "คนธรรมดาไม่น่ากลัว แต่คนธัมมะธัมโมน่ากลัวกว่า" 55
คงในความหมายที่ว่า "คนที่เข้าหาธรรมะ แล้วยึดติดยึดมั่นเกินไป จะมีการยกตนข่มท่าน เอาความเชื่อของตัวเองไปตัดสินคนอื่น
อารมณ์หงุดหงิดง่าย ใจแคบ บางคนยิ่งศรัทธามาก ก็กลายเป็นหัวรุนแรงไปเลยก็มี..บลา บลา ...ฯลฯ"
(ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้มันตรงข้ามกับแนวทางที่พระพุทธองค์ชี้ทางไว้!!! )
การฝึกตนเพื่อคลายความยึดติดยึดมั่นต่างๆ เป็นเป้าหมายของการปฏิบัติธรรมทางพุทธ (การภาวนา)
ไม่แปลกถ้าคนเราฝึกภาวนาแล้ว แต่ก็ยังมี
ความยึดติดยึดมั่นอะไรอยู่ มันเป็นเรื่องที่ต้องเพียรขัดเกลาต่อไป
แต่ที่ดูย้อนแย้งยิ่งกว่า คือ คนที่พอได้หันมาสนใจธรรม ปฏิบัติธรรม กลับยิ่งทวีความยึดติดยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองรู้
ในสิ่งที่ตัวเองเชื่อมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้การพูดคุยเรื่องศาสนาพุทธในที่นี้ดูแข็งกร้าวและสุดโต่งอยู่บ่อยๆ 555
ทั้งๆ ที่มันตรงข้ามกับสิ่งที่พระพุทธองค์ชี้ทางไว้
แต่จะถือว่าเป็นสนามซ้อมในการฝึกปฏิบัติธรรมอย่างนึงก็ได้มั้งคะ คือ เมื่อเราเป็นผู้อ่าน
เราก็เห็นอารมณ์ตัวเองที่พอใจหรือไม่พอใจต่อสิ่งกระทบต่างๆ แล้วก็รู้ทันอารมณ์นั้น หรือตั้งสติก่อนจะตอบกระทู้
หรือก่อนจะปล่อยอารมณ์นั้นมันดับไปเอง
และในฐานะที่เราก็เคยได้รับประโยชน์จากที่นี่บ่อยๆ เราก็อยากจะแชร์มุมมองหรือข้อมูล
ที่คิดว่า "น่าจะมีประโยชน์ต่อสังคมเล็กๆ นี้ได้บ้าง" ค่ะ
ถือเป็นความเห็นเล็กๆ จากชาวพุทธมือใหม่คนนึงนะคะ ที่มาใช้พื้นที่นี้ร่วมกันกับทุกท่านค่ะ
-------------------------------------------------------------------------
หัวข้อนี้ก็เป็นอีกหัวข้อที่ระคายหัวใจชาวพุทธหลายคนมั้งคะ แหะๆ ??
คือ
การปฏิบัติธรรม "โดยไม่มีกรอบของศาสนา"
ใครจะเห็นด้วยหรือเห็นต่างอย่างไร? เป็นเรื่องปกติค่ะ หากสนใจก็ลองเข้าไปดูคลิปละกันค่ะ
เราว่า "มันให้มุมมองที่เป็นประโยชน์หลายอย่างต่อชาวพุทธ โดยเฉพาะชาวพุทธรุ่นใหม่ ในเรื่องการยึดติดยึดมั่น"
(ซึ่งรุ่นใหม่รุ่นเก่า ไม่ได้จำกัดที่อายุนะคะ 555)
การปฏิบัติธรรม "โดยไม่มีกรอบของศาสนา" มีข้อดีข้อด้อยอย่างไร? 1
การปฏิบัติธรรม "โดยไม่มีกรอบของศาสนา" มีข้อดีข้อด้อยอย่างไร? 2
"ชาวพุทธในยุคไซเบอร์" ควรฟัง! (ท่าทีของชาวพุทธในการรับมือกับความเห็นต่าง การยึดติดยึดมั่นมากเกินไป แม้แต่เรื่องดีๆ ก็กลายเป็นร้ายได้)
การปฏิบัติธรรม "โดยไม่มีกรอบของศาสนา" มีข้อดีข้อด้อยอย่างไร?
ที่ไม่เชื่ออะไรงมงาย เลือกที่จะใช้ความคิด ใช้เหตุผลในการพิจารณาที่จะเชื่ออะไรก็ตาม
เวลารับรู้อะไรก็จะไม่ด่วนเชื่อหรือไม่ด่วนปฏิเสธ หรือถ้าเชื่ออะไรก็ไม่ปักใจเต็มร้อย จะเผื่อใจไว้เสมอ
พร้อมเปิดกว้างรับฟังความเห็นที่แตกต่าง และพร้อมเปลี่ยนความเชื่อได้ถ้าได้ข้อมูลอะไรใหม่ๆ
ที่มีเหตุผลหักล้างความเชื่อเดิมๆ
จขกท. เริ่มต้นฝึกสติปัฏฐาน ก็เพราะบังเอิญได้มาอ่านกระทู้นึงในพันทิปเมื่อไม่กี่ปีก่อน
มีท่านผู้นึงแปะคลิปแนะนำคอร์สเรียนรู้กรรมฐานแบบเข้าใจง่าย เมื่อได้ดูแล้วก็เป็นการเปิดโลกใหม่ๆ
ว่าการปฏิบัติธรรม หรือการภาวนา ไม่ได้ยากอย่างที่คิด ไม่ต้องทิ้งหน้าที่การงานไปอยู่วัด ไปอยู่ป่าเขา
สามารถฝึกฝนได้ในชีวิตประจำวัน
ตั้งแต่นั้น จากที่ไม่เคยอยากปฏิบัติธรรมเลย ก็หันมาฝึกฝนภาวนาทุกวัน
และก็ยังหาโอกาสแวะเวียนมาในห้องศาสนาอยู่ตามแต่โอกาส มารับรู้ความรู้และความเห็นต่างๆ
และมาเป็นส่วนนึงเล็กๆ เพื่อให้กำลังใจ ให้ข้อมูลเท่าที่ตัวเองพอจะให้ได้ เป็นการตอบแทนกับสิ่งที่เคยได้รับมาจากที่นี่
หลายปีนี้ สิ่งที่ได้พบจากห้องศาสนา ก็เสมือนจำลองโลกแห่งความจริงมาไว้
เคยมีคนบอกเราไว้หลายวาระว่า "คนธรรมดาไม่น่ากลัว แต่คนธัมมะธัมโมน่ากลัวกว่า" 55
คงในความหมายที่ว่า "คนที่เข้าหาธรรมะ แล้วยึดติดยึดมั่นเกินไป จะมีการยกตนข่มท่าน เอาความเชื่อของตัวเองไปตัดสินคนอื่น
อารมณ์หงุดหงิดง่าย ใจแคบ บางคนยิ่งศรัทธามาก ก็กลายเป็นหัวรุนแรงไปเลยก็มี..บลา บลา ...ฯลฯ"
(ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้มันตรงข้ามกับแนวทางที่พระพุทธองค์ชี้ทางไว้!!! )
การฝึกตนเพื่อคลายความยึดติดยึดมั่นต่างๆ เป็นเป้าหมายของการปฏิบัติธรรมทางพุทธ (การภาวนา)
ไม่แปลกถ้าคนเราฝึกภาวนาแล้ว แต่ก็ยังมีความยึดติดยึดมั่นอะไรอยู่ มันเป็นเรื่องที่ต้องเพียรขัดเกลาต่อไป
แต่ที่ดูย้อนแย้งยิ่งกว่า คือ คนที่พอได้หันมาสนใจธรรม ปฏิบัติธรรม กลับยิ่งทวีความยึดติดยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองรู้
ในสิ่งที่ตัวเองเชื่อมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้การพูดคุยเรื่องศาสนาพุทธในที่นี้ดูแข็งกร้าวและสุดโต่งอยู่บ่อยๆ 555
ทั้งๆ ที่มันตรงข้ามกับสิ่งที่พระพุทธองค์ชี้ทางไว้
แต่จะถือว่าเป็นสนามซ้อมในการฝึกปฏิบัติธรรมอย่างนึงก็ได้มั้งคะ คือ เมื่อเราเป็นผู้อ่าน
เราก็เห็นอารมณ์ตัวเองที่พอใจหรือไม่พอใจต่อสิ่งกระทบต่างๆ แล้วก็รู้ทันอารมณ์นั้น หรือตั้งสติก่อนจะตอบกระทู้
หรือก่อนจะปล่อยอารมณ์นั้นมันดับไปเอง
และในฐานะที่เราก็เคยได้รับประโยชน์จากที่นี่บ่อยๆ เราก็อยากจะแชร์มุมมองหรือข้อมูล
ที่คิดว่า "น่าจะมีประโยชน์ต่อสังคมเล็กๆ นี้ได้บ้าง" ค่ะ
ถือเป็นความเห็นเล็กๆ จากชาวพุทธมือใหม่คนนึงนะคะ ที่มาใช้พื้นที่นี้ร่วมกันกับทุกท่านค่ะ
-------------------------------------------------------------------------
หัวข้อนี้ก็เป็นอีกหัวข้อที่ระคายหัวใจชาวพุทธหลายคนมั้งคะ แหะๆ ??
คือ การปฏิบัติธรรม "โดยไม่มีกรอบของศาสนา"
ใครจะเห็นด้วยหรือเห็นต่างอย่างไร? เป็นเรื่องปกติค่ะ หากสนใจก็ลองเข้าไปดูคลิปละกันค่ะ
เราว่า "มันให้มุมมองที่เป็นประโยชน์หลายอย่างต่อชาวพุทธ โดยเฉพาะชาวพุทธรุ่นใหม่ ในเรื่องการยึดติดยึดมั่น"
(ซึ่งรุ่นใหม่รุ่นเก่า ไม่ได้จำกัดที่อายุนะคะ 555)
การปฏิบัติธรรม "โดยไม่มีกรอบของศาสนา" มีข้อดีข้อด้อยอย่างไร? 1
การปฏิบัติธรรม "โดยไม่มีกรอบของศาสนา" มีข้อดีข้อด้อยอย่างไร? 2
"ชาวพุทธในยุคไซเบอร์" ควรฟัง! (ท่าทีของชาวพุทธในการรับมือกับความเห็นต่าง การยึดติดยึดมั่นมากเกินไป แม้แต่เรื่องดีๆ ก็กลายเป็นร้ายได้)