ณ หมู่บ้าน
Ceredigion ราว 15 กิโลเมตรนอกเมือง
Aberystwyth ใน
Wales บนถนนสาย A4120
มีสะพานขนาดเล็กเส้นหนึ่งที่เรียกว่า
Pontarfynach หรือสะพานข้ามลำธาร Mynach
เป็นสะพานที่ชาวบ้านต่างชื่นชอบและให้คุณค่ามากที่สุดสะพานหนึ่ง
สะพานเส้นนี้ไม่เหมือนกับสะพานทั่ว ๆ ไปที่มักจะสร้างกันเพียงชั้นเดียว
แต่สะพานสร้างซ้อน ๆ กันบนสะพานเดิมถึง 3 ชั้น
สะพานเส้นแรกอยู่ที่ด้านล่างสุดถูกสร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 11
และเมื่อคาดว่าสะพานเก่าแก่นี้จะไม่ค่อยมั่นคงแข็งแรงกับการสัญจรไปมาแล้ว
ก็มีการสร้างสะพานเส้นใหม่คร่อมบนสะพานเส้นแรกเส้นเดิม
โดยไม่มีการรื้อถอนหรือทำลายสะพานเก่าแก่นี้ลงแต่อย่างใด
คาดว่าชาวบ้าน/คนงานได้ใช้เป็นสะพานเดิมนี้
เป็นทางเบี่ยงหรือขนวัสดุก่อสร้างไปมา
งานก่อสร้างสะพานชั้นที่ 2 เสร็จราวปี 1753 ช่วงกลางศตวรรษที่ 18
ต่อมาในปี 1901 สะพานเส้นที่ 3 หรือชั้นที่ 3 ซึ่งเป็นสะพานเหล็ก
ก็มีการสร้างขึ้นอีกคร่อมบนสะพานเดิมทั้ง 2 สะพาน
โดยมีการอนุรักษ์และไม่ทำลายสะพานเดิมทั้ง 2 เส้น
© Alex Liivet/Flickr
ตามตำนานเดิมสะพานนี้มีชื่อเรียกว่า สะพานปีศาจ Devil’s Bridge
เพราะปีศาจตนหนึ่งได้สร้างสะพานขึ้นมาให้กับหญิงชรารายหนึ่ง
ซึ่งเธอเดินตามหาแม่วัวที่หายไป และพบว่าแม่วัวยืนเล็มหญ้า/เคี้ยวเอื้องอยู่ฝั่งตรงข้ามลำธาร
แต่เธอไม่สามารถจะข้ามโตรกผาที่มีลำธารผ่ากลางเพื่อไปจูงแม่วัวของเธอกลับมาได้
และแล้วเธอก็พบปีศาจตนหนึ่งนั่งรออยู่ที่ริมตลิ่งแห่งนี้
(ปีศาจน่าจะเป็นผู้นำแม่วัวข้ามแม่น้ำนี้ไปอยู่ฝั่งตรงข้าม)
โดยปีศาจได้ตั้งเงื่อนไขว่าจะสร้างสะพานให้กับเธอไว้เพียงข้อเดียวว่า
สิ่งมีชีวิตรายแรกที่เดินข้ามสะพานเส้นนี้ วิญญาณต้องตกเป็นของปีศาจทันที
เพราะปีศาจคาดว่า หญิงชราจะต้องเป็นคนแรกที่เดินข้ามสะพานแห่งนี้ไปเพื่อจูงแม่วัวกลับมา
แต่หญิงชรารายนี้กลับใช้เล่ห์เพทุบายหลอกปีศาจได้สำเร็จ
ด้วยการปาก้อนขนมปังข้ามสะพานปีศาจไป
ทำให้หมารีบวิ่งข้ามสะพานไปเพื่อกัดกินขนมปัง
หมาจึงเป็นสิ่งมีชีวิตรายแรกที่เดินข้ามสะพานปีศาจไปก่อน
ปีศาจจึงต้องรับเอาดวงวิญญาณหมาไปแทนอย่างผิดหวังและช้ำใจ
หญิงชราเลยเดินข้ามสะพานไปเพื่อจูงแม่วัวกลับบ้าน
สะพานแห่งนี้ตั้งอยู่จุดที่ลำธาร
Mynach ค่อย ๆ ไหลลัดเลาะตลิ่งสองข้างทาง
เป็นระยะทางราว 90 เมตรผ่านโตรกผาที่แคบก่อนไปพบกับแม่น้ำ
Rheidol
โดยค่อย ๆ ไหลลดหลั่นลงไปถึง 5 ชั้นทีเดียว
สะพาน Devil's Bridge เป็นจุดเยี่ยมชมของนักท่องเที่ยวมาหลายศตวรรษแล้ว
George Borrow นักเขียนชาวอังกฤษนามอุโฆษเคยเขียนเรื่อง
Wild Wales (1854)
บอกเล่าถึงเรื่องราวสนุกสนานและมีชีวิตชีวาตอนที่ไปเยี่ยมชม Pontarfynach
และยังมีโรงแรมชื่อ George Borrow Hotel สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17
เพราะโรงแรมได้เปลี่ยนชื่อใหม่ให้เป็นเกียรติกับนักเขียนท่านนี้
เพราะท่านเคยเข้าไปพักอาศัยช่วงหนึ่งและอยู่ไม่ไกลกันนัก
ใกล้ ๆ กับสะพาน Devil's Bridge ยังมีสถานีรถไฟ Devil's Bridge
ซึ่งเป็นเส้นทางประวัติศาสตร์สาย Vale of Rheidol Railway
วิ่งระหว่าง Aberystwyth กับ Devil's Bridge ในปี 1902
ยังมีพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นที่เป็นทรัพย์สินของ Hafod Estate
เจ้าของเดิมคือ
Thomas Johnes ผู้ชื่นชอบกับการล่าสัตว์ในที่ดินส่วนตัว
หลังจากมีการพัฒนาและดัดแปลงที่พักล่าสัตว์หลายครั้ง
ทุกวันนี้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเป็นโรงแรม Hafod Hotel
© James Stringer/Flickr
© Ruben Holthuijsen/Flickr
© Alex Liivet/Flickr
Devil's Bridge กับ Hafod Arms Hotel ก่อนการสร้างสะพานครั้งที่ 3 ในช่วงปี 1860
จุดชมวิวบน Devil's Bridge ในปี 1781
Hafod Arms Hotel สร้างโดย Thomas Johnes
ภูมิทัศน์ Hafod Estate ในปี 1795 โดย John Warwick Smith
เรียบเรียง/ที่มา
https://goo.gl/6DTKwk
https://goo.gl/GQb3rP
เรื่องเล่าไร้สาระ
มีสะพานเส้นหนึ่งทางไปซัง (ตรัง)
เป็นสะพานที่สร้างคู่ขนานกับสะพานสร้างใหม่มีทางเบี่ยงข้างทาง
ชื่อ สะพานโค้งประวัติศาสตร์ สร้างในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ชาวบ้านแถวนั้นก็ยังคงใช้สะพานนี้สัญจรไปมาเป็นทางรอง
เป็นสะพานโค้งแห่งแรกของเส้นทางสายพัทลุง-ตรัง ตัดผ่านเทือกเขาพับผ้า
ในอดีตเป็นถนนที่เส้นทางเดินทางยากลำบากมาก
ถนนสายพับผ้าเส้นเดิมนี้ตัดขึ้นในรัชสมัยพระปิยะมหาราช
โดย
พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง)
เพราะตรังสมัยก่อนจะขาดแคลนข้าวปลาช่วงฤดูมรสุม
ในช่วงพฤษภาคมถึงตุลาคมแถบทะเลฝั่งอันดามันมักจะมีมรสุม
ทะเลฝั่งอ่าวไทยช่วงพฤศจิกายนถึงเมษายนก็จะเป็นช่วงฤดูมรสุม(สลับกัน)
การตัดถนนข้ามเขาพับผ้าจะทำให้คนสองฝั่งทะเล
สามารถข้ามเขาพับผ้าไปซื้อหาอาหารหยูกยากันได้
และมีการซื้อขายแร่ดีบุกกันมากในยุคอดีตจากฝั่งอ่าวไทย
เพื่อนำแร่ดีบุกไปขายที่เกาะหมาก(ปีนัง) ช่วงเป็นเมืองขึ้นอังกฤษ
” เมืองลุง ชุมข้าวชุมปลาและชุมโจรา
มาแต่ซัง ม่ายหนังก้อโนหร่า “ หนังปานบอด เคยเอื้อนเอ่ยไว้
หมายเหตุ
นายหนังตะลุง มโนราห์ ทั้งคู่ถือว่าเป็นศิลปินท้องถิ่นที่ได้รับการยกย่อง
ในเรื่องเจ้าบทเจ้ากลอนไหวพริบการโต้ตอบและเจ้าพิธีกรรมคาถาอาคม
เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราว/ข่าวสารต่าง ๆ ในอดีตระหว่างเมืองต่าง ๆ
จากการเป็นนักแสดงที่เดินทางไปแสดงศิลปะในที่ต่าง ๆ
เทียบเท่ามหาวิทยาลัยชาวบ้านในยุคอดีต
เช่นเดียวกับ หมอลำ ในภาคอีสาน
ซอล้านนา ที่มี ช่างซอ กับ คู่ถ้อง ในยุคก่อน ๆ
ที่เป็นที่รู้จักและชื่นชอบพอ ๆ กับ ป๋า Bird ธงชัย
หรือในปัจจุบันก็ ตูน Body Slam ฉันใดฉันนั้น
พื้นที่พัทลุงติดกับทะเลน้อยไม่ติดกับอ่าวไทย
พื้นที่ติดต่อกับนครศรีธรรมราชกับสงขลาที่ติดกับอ่าวไทย
ในอดีตบางครั้งพัทลุงก็เป็นส่วนหนึ่งของนครฯ บางครั้งก็สงขลา
ทั้งสามจังหวัดนี้ในอดีตมักจะติดต่อค้าขายกัน
จากพัทลุง-ตรังทางสะดวกคือ ผ่านเขาพับผ้า
ตอนที่สร้างถนนตัดผ่านเขาพับผ้า
ท่านคอซิมบี้ได้นำนักโทษที่รู้เส้นทางหนีทีไล่ในป่า
มาชี้แนะบอกเส้นทาง โดยจะมีรางวัลและลดโทษทัณฑ์ให้
เพราะยุคนั้นพวกโจรมักจะหลบหนีไปมาระหว่างเมืองลุงกับเมืองซัง
ซึ่งการติดตามจับกุมเป็นเรื่องยากลำบากมากในอดีต
ในการตัดถนนสายนี้ ท่านใช้การเกณฑ์แรงงานชาวบ้านตามกฎหมายยุคอดีต
ที่ให้อำนาจเจ้าเมืองและนายอำเภอไว้ ก่อนจะถูกยกเลิกไปในภายหลังปี 2475
และท่านใช้แรงงานนักโทษที่มีความประพฤติดีมาสร้างทางพร้อมลดวันลงโทษให้ด้วย
ซึ่งนักโทษหลายคนก็ชอบเรื่องนี้ด้วยเพราะไม่ต้องติดคุกและมีอิสรภาพบ้างนิดหน่อย
ในะหว่างเส้นทางที่ตัดผ่านเทือกเขาพับผ้า
ท่านให้ใช้วัวเทียมเกวียนแบกขนข้าวปลาอาหาร/ก้อนหินจำลองน้ำหนักจริง
จุดไหนลาดชันมากถ้าวัวเทียมเกวียนแบกขนขึ้นไปไม่รอด
ก็จะปรับลดเส้นทางหรือตัดทางวนเวียนขึ้นลงไป
เวลาเจอก้อนหินขนาดใหญ่ที่ทุบไม่แตกง่าย ๆ
ก็จะกองไม้สุมไฟให้ลุกโชนแล้วเอาน้ำราดให้หินแตก
ทางข้ามลำธารก็จะตัดไม้ในป่ามาทำสะพานข้ามไป
สองข้างทางทุกวันนี้ ถ้าสังเกตดีดีจะเห็นลำธารน้ำใสหลายจุด
สมัยก่อนถนนข้ามเขาพับผ้านี้
การใช้ถนนเส้นนี้จะวิ่งสลับวันกันวันคู่วันคี่
ยุคแรก ๆ ใช้วันทางจันทรคติ วันข้างขึ้นข้างแรม
ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้วันตามปฏิทินภายหลัง
เพราะสมัยก่อนสื่อสิ่งตีพิมพ์ปฏิทินหายากและมีราคาแพง
ยังไม่มีการแจกจ่ายปฏิทินฟรีที่เคยยอดนิยมกันมากในอดีต
เช่น ปฏิทินแม่โขง น้ำมันเครื่อง เบียร์ ที่ฮือฮายอดนิยมมากในยุคหนึ่ง
ในอดีต ใครไปผิดวันก็ต้องรอจนถึงวันที่ระบุไว้จึงจะข้ามเขาพับผ้าได้
จากซังไปลุงมักจะรอกันที่บ้านช่องที่เป็นปากทางได้
แต่ส่วนมากจะรอกันที่นาโยงซึ่งเป็นชุมชนใหญ่
จากลุงไปซังรอกันที่นาวงซึ่งเป็นชุมชนขนาดย่อม
การข้ามเส้นทางเขาพับผ้า ในสมัยนั้นถ้าใช้เกวียนหรือรถยนต์
จะต้องรอวันคู่วันคี่เพราะทางถนนแคบมากรถรายังวิ่งสวนทางกันไม่ได้
ยกเว้นแต่คนเดินเท้าหรือแบกหามข้าวของที่หลบหลีกเส้นทางได้จึงจะอนุโลมให้ไปได้
โดยจะมีเจ้าหน้าที่กับชาวบ้านช่วยกันกำกับและดูแลที่ปากทางเข้าวันคู่สลับกับวันคี่
ก่อนที่จะตัดถนนอีกสองครั้งจนเป็นสภาพปัจจุบัน
และข้างทางยังมีถนนสายเก่าบางเส้นเลียบข้างทางสลับไปมาไม่ได้ใช้เป็นทางการแล้ว
เป็นเส้นทางยอดนิยมของนักปั่นจักรยาน BigBike และ OffRoad
สะพานโค้งนี้ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฮอลแลนด์ ก่อสร้างในปี พ.ศ. 2487
สะพานนี้ถูกตั้งชื่อตามลักษณะของสะพาน
ลักษณะพิเศษของสะพานนี้คือ บริเวณฐานของสะพานจะไม่ใช้เสาค้ำ
แต่จะออกแบบให้มีลักษณะโค้งรับน้ำหนักแทน
ส่วนสะพานเส้นใหม่ที่สร้างคู่ขนานจะก่อสร้างแบบมาตรฐานทั่วไป
สะพานเส้นนี้อยู่ใกล้กับถนนสายพัทลุง-ตรัง
อยู่ในเขตอำเภอศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง
ใกล้ ๆ กับวัดถ้ำสุมะโน เดิมเป็นบริเวณป่าเขามีถ้ำหลายแห่งภายใน
สถานที่อโคจรที่พวกโจร/นายพราน/ทหารป่าพรรคคอมมิวนิสต์
เคยใช้เป็นที่พักชั่วคราวในอดีต/ที่หลบซ่อนตัวของคนที่ทางการต้องการตัว
ก่อนที่มีพระภิกษุจากอีสานมาพัฒนาจนเป็นวัดทุกวันนี้
พร้อมกับคำบอกเล่าจากบรรดาศิษยานุศิษย์
เพื่อยกย่องอาจารย์ของตนว่ามีอิทธิปาฏิหารย์
นั่งทางในเห็นถ้ำแห่งนี้/มีเทวดามาบอกให้สร้างวัดที่นี่
เห็นถ้ำแห่งนี้ในนิมิตแล้วจึงมาสร้างเป็นวัดถ้ำสุมะโน
สุมะโน มาจาก สุมโน สมณะ ผู้สงบหรือภิกษุ
หรือเล่นคำ สุ ดีงาม มะโน ความคิด/จิตใจ
Pontarfynach สะพานสร้างซ้อนกันสามชั้น
มีสะพานขนาดเล็กเส้นหนึ่งที่เรียกว่า Pontarfynach หรือสะพานข้ามลำธาร Mynach
เป็นสะพานที่ชาวบ้านต่างชื่นชอบและให้คุณค่ามากที่สุดสะพานหนึ่ง
สะพานเส้นนี้ไม่เหมือนกับสะพานทั่ว ๆ ไปที่มักจะสร้างกันเพียงชั้นเดียว
แต่สะพานสร้างซ้อน ๆ กันบนสะพานเดิมถึง 3 ชั้น
สะพานเส้นแรกอยู่ที่ด้านล่างสุดถูกสร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 11
และเมื่อคาดว่าสะพานเก่าแก่นี้จะไม่ค่อยมั่นคงแข็งแรงกับการสัญจรไปมาแล้ว
ก็มีการสร้างสะพานเส้นใหม่คร่อมบนสะพานเส้นแรกเส้นเดิม
โดยไม่มีการรื้อถอนหรือทำลายสะพานเก่าแก่นี้ลงแต่อย่างใด
คาดว่าชาวบ้าน/คนงานได้ใช้เป็นสะพานเดิมนี้
เป็นทางเบี่ยงหรือขนวัสดุก่อสร้างไปมา
งานก่อสร้างสะพานชั้นที่ 2 เสร็จราวปี 1753 ช่วงกลางศตวรรษที่ 18
ต่อมาในปี 1901 สะพานเส้นที่ 3 หรือชั้นที่ 3 ซึ่งเป็นสะพานเหล็ก
ก็มีการสร้างขึ้นอีกคร่อมบนสะพานเดิมทั้ง 2 สะพาน
โดยมีการอนุรักษ์และไม่ทำลายสะพานเดิมทั้ง 2 เส้น
เพราะปีศาจตนหนึ่งได้สร้างสะพานขึ้นมาให้กับหญิงชรารายหนึ่ง
ซึ่งเธอเดินตามหาแม่วัวที่หายไป และพบว่าแม่วัวยืนเล็มหญ้า/เคี้ยวเอื้องอยู่ฝั่งตรงข้ามลำธาร
แต่เธอไม่สามารถจะข้ามโตรกผาที่มีลำธารผ่ากลางเพื่อไปจูงแม่วัวของเธอกลับมาได้
และแล้วเธอก็พบปีศาจตนหนึ่งนั่งรออยู่ที่ริมตลิ่งแห่งนี้
(ปีศาจน่าจะเป็นผู้นำแม่วัวข้ามแม่น้ำนี้ไปอยู่ฝั่งตรงข้าม)
โดยปีศาจได้ตั้งเงื่อนไขว่าจะสร้างสะพานให้กับเธอไว้เพียงข้อเดียวว่า
สิ่งมีชีวิตรายแรกที่เดินข้ามสะพานเส้นนี้ วิญญาณต้องตกเป็นของปีศาจทันที
เพราะปีศาจคาดว่า หญิงชราจะต้องเป็นคนแรกที่เดินข้ามสะพานแห่งนี้ไปเพื่อจูงแม่วัวกลับมา
แต่หญิงชรารายนี้กลับใช้เล่ห์เพทุบายหลอกปีศาจได้สำเร็จ
ด้วยการปาก้อนขนมปังข้ามสะพานปีศาจไป
ทำให้หมารีบวิ่งข้ามสะพานไปเพื่อกัดกินขนมปัง
หมาจึงเป็นสิ่งมีชีวิตรายแรกที่เดินข้ามสะพานปีศาจไปก่อน
ปีศาจจึงต้องรับเอาดวงวิญญาณหมาไปแทนอย่างผิดหวังและช้ำใจ
หญิงชราเลยเดินข้ามสะพานไปเพื่อจูงแม่วัวกลับบ้าน
สะพานแห่งนี้ตั้งอยู่จุดที่ลำธาร Mynach ค่อย ๆ ไหลลัดเลาะตลิ่งสองข้างทาง
เป็นระยะทางราว 90 เมตรผ่านโตรกผาที่แคบก่อนไปพบกับแม่น้ำ Rheidol
โดยค่อย ๆ ไหลลดหลั่นลงไปถึง 5 ชั้นทีเดียว
สะพาน Devil's Bridge เป็นจุดเยี่ยมชมของนักท่องเที่ยวมาหลายศตวรรษแล้ว
George Borrow นักเขียนชาวอังกฤษนามอุโฆษเคยเขียนเรื่อง Wild Wales (1854)
บอกเล่าถึงเรื่องราวสนุกสนานและมีชีวิตชีวาตอนที่ไปเยี่ยมชม Pontarfynach
และยังมีโรงแรมชื่อ George Borrow Hotel สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17
เพราะโรงแรมได้เปลี่ยนชื่อใหม่ให้เป็นเกียรติกับนักเขียนท่านนี้
เพราะท่านเคยเข้าไปพักอาศัยช่วงหนึ่งและอยู่ไม่ไกลกันนัก
ใกล้ ๆ กับสะพาน Devil's Bridge ยังมีสถานีรถไฟ Devil's Bridge
ซึ่งเป็นเส้นทางประวัติศาสตร์สาย Vale of Rheidol Railway
วิ่งระหว่าง Aberystwyth กับ Devil's Bridge ในปี 1902
ยังมีพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นที่เป็นทรัพย์สินของ Hafod Estate
เจ้าของเดิมคือ Thomas Johnes ผู้ชื่นชอบกับการล่าสัตว์ในที่ดินส่วนตัว
หลังจากมีการพัฒนาและดัดแปลงที่พักล่าสัตว์หลายครั้ง
ทุกวันนี้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเป็นโรงแรม Hafod Hotel
https://goo.gl/6DTKwk
https://goo.gl/GQb3rP
มีสะพานเส้นหนึ่งทางไปซัง (ตรัง)
เป็นสะพานที่สร้างคู่ขนานกับสะพานสร้างใหม่มีทางเบี่ยงข้างทาง
ชื่อ สะพานโค้งประวัติศาสตร์ สร้างในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ชาวบ้านแถวนั้นก็ยังคงใช้สะพานนี้สัญจรไปมาเป็นทางรอง
เป็นสะพานโค้งแห่งแรกของเส้นทางสายพัทลุง-ตรัง ตัดผ่านเทือกเขาพับผ้า
ในอดีตเป็นถนนที่เส้นทางเดินทางยากลำบากมาก
ถนนสายพับผ้าเส้นเดิมนี้ตัดขึ้นในรัชสมัยพระปิยะมหาราช
โดย พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง)
เพราะตรังสมัยก่อนจะขาดแคลนข้าวปลาช่วงฤดูมรสุม
ในช่วงพฤษภาคมถึงตุลาคมแถบทะเลฝั่งอันดามันมักจะมีมรสุม
ทะเลฝั่งอ่าวไทยช่วงพฤศจิกายนถึงเมษายนก็จะเป็นช่วงฤดูมรสุม(สลับกัน)
การตัดถนนข้ามเขาพับผ้าจะทำให้คนสองฝั่งทะเล
สามารถข้ามเขาพับผ้าไปซื้อหาอาหารหยูกยากันได้
และมีการซื้อขายแร่ดีบุกกันมากในยุคอดีตจากฝั่งอ่าวไทย
เพื่อนำแร่ดีบุกไปขายที่เกาะหมาก(ปีนัง) ช่วงเป็นเมืองขึ้นอังกฤษ
” เมืองลุง ชุมข้าวชุมปลาและชุมโจรา
มาแต่ซัง ม่ายหนังก้อโนหร่า “ หนังปานบอด เคยเอื้อนเอ่ยไว้
หมายเหตุ
นายหนังตะลุง มโนราห์ ทั้งคู่ถือว่าเป็นศิลปินท้องถิ่นที่ได้รับการยกย่อง
ในเรื่องเจ้าบทเจ้ากลอนไหวพริบการโต้ตอบและเจ้าพิธีกรรมคาถาอาคม
เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราว/ข่าวสารต่าง ๆ ในอดีตระหว่างเมืองต่าง ๆ
จากการเป็นนักแสดงที่เดินทางไปแสดงศิลปะในที่ต่าง ๆ
เทียบเท่ามหาวิทยาลัยชาวบ้านในยุคอดีต
เช่นเดียวกับ หมอลำ ในภาคอีสาน
ซอล้านนา ที่มี ช่างซอ กับ คู่ถ้อง ในยุคก่อน ๆ
ที่เป็นที่รู้จักและชื่นชอบพอ ๆ กับ ป๋า Bird ธงชัย
หรือในปัจจุบันก็ ตูน Body Slam ฉันใดฉันนั้น
พื้นที่พัทลุงติดกับทะเลน้อยไม่ติดกับอ่าวไทย
พื้นที่ติดต่อกับนครศรีธรรมราชกับสงขลาที่ติดกับอ่าวไทย
ในอดีตบางครั้งพัทลุงก็เป็นส่วนหนึ่งของนครฯ บางครั้งก็สงขลา
ทั้งสามจังหวัดนี้ในอดีตมักจะติดต่อค้าขายกัน
จากพัทลุง-ตรังทางสะดวกคือ ผ่านเขาพับผ้า
ตอนที่สร้างถนนตัดผ่านเขาพับผ้า
ท่านคอซิมบี้ได้นำนักโทษที่รู้เส้นทางหนีทีไล่ในป่า
มาชี้แนะบอกเส้นทาง โดยจะมีรางวัลและลดโทษทัณฑ์ให้
เพราะยุคนั้นพวกโจรมักจะหลบหนีไปมาระหว่างเมืองลุงกับเมืองซัง
ซึ่งการติดตามจับกุมเป็นเรื่องยากลำบากมากในอดีต
ในการตัดถนนสายนี้ ท่านใช้การเกณฑ์แรงงานชาวบ้านตามกฎหมายยุคอดีต
ที่ให้อำนาจเจ้าเมืองและนายอำเภอไว้ ก่อนจะถูกยกเลิกไปในภายหลังปี 2475
และท่านใช้แรงงานนักโทษที่มีความประพฤติดีมาสร้างทางพร้อมลดวันลงโทษให้ด้วย
ซึ่งนักโทษหลายคนก็ชอบเรื่องนี้ด้วยเพราะไม่ต้องติดคุกและมีอิสรภาพบ้างนิดหน่อย
ในะหว่างเส้นทางที่ตัดผ่านเทือกเขาพับผ้า
ท่านให้ใช้วัวเทียมเกวียนแบกขนข้าวปลาอาหาร/ก้อนหินจำลองน้ำหนักจริง
จุดไหนลาดชันมากถ้าวัวเทียมเกวียนแบกขนขึ้นไปไม่รอด
ก็จะปรับลดเส้นทางหรือตัดทางวนเวียนขึ้นลงไป
เวลาเจอก้อนหินขนาดใหญ่ที่ทุบไม่แตกง่าย ๆ
ก็จะกองไม้สุมไฟให้ลุกโชนแล้วเอาน้ำราดให้หินแตก
ทางข้ามลำธารก็จะตัดไม้ในป่ามาทำสะพานข้ามไป
สองข้างทางทุกวันนี้ ถ้าสังเกตดีดีจะเห็นลำธารน้ำใสหลายจุด
สมัยก่อนถนนข้ามเขาพับผ้านี้
การใช้ถนนเส้นนี้จะวิ่งสลับวันกันวันคู่วันคี่
ยุคแรก ๆ ใช้วันทางจันทรคติ วันข้างขึ้นข้างแรม
ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้วันตามปฏิทินภายหลัง
เพราะสมัยก่อนสื่อสิ่งตีพิมพ์ปฏิทินหายากและมีราคาแพง
ยังไม่มีการแจกจ่ายปฏิทินฟรีที่เคยยอดนิยมกันมากในอดีต
เช่น ปฏิทินแม่โขง น้ำมันเครื่อง เบียร์ ที่ฮือฮายอดนิยมมากในยุคหนึ่ง
ในอดีต ใครไปผิดวันก็ต้องรอจนถึงวันที่ระบุไว้จึงจะข้ามเขาพับผ้าได้
จากซังไปลุงมักจะรอกันที่บ้านช่องที่เป็นปากทางได้
แต่ส่วนมากจะรอกันที่นาโยงซึ่งเป็นชุมชนใหญ่
จากลุงไปซังรอกันที่นาวงซึ่งเป็นชุมชนขนาดย่อม
การข้ามเส้นทางเขาพับผ้า ในสมัยนั้นถ้าใช้เกวียนหรือรถยนต์
จะต้องรอวันคู่วันคี่เพราะทางถนนแคบมากรถรายังวิ่งสวนทางกันไม่ได้
ยกเว้นแต่คนเดินเท้าหรือแบกหามข้าวของที่หลบหลีกเส้นทางได้จึงจะอนุโลมให้ไปได้
โดยจะมีเจ้าหน้าที่กับชาวบ้านช่วยกันกำกับและดูแลที่ปากทางเข้าวันคู่สลับกับวันคี่
ก่อนที่จะตัดถนนอีกสองครั้งจนเป็นสภาพปัจจุบัน
และข้างทางยังมีถนนสายเก่าบางเส้นเลียบข้างทางสลับไปมาไม่ได้ใช้เป็นทางการแล้ว
เป็นเส้นทางยอดนิยมของนักปั่นจักรยาน BigBike และ OffRoad
สะพานโค้งนี้ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฮอลแลนด์ ก่อสร้างในปี พ.ศ. 2487
สะพานนี้ถูกตั้งชื่อตามลักษณะของสะพาน
ลักษณะพิเศษของสะพานนี้คือ บริเวณฐานของสะพานจะไม่ใช้เสาค้ำ
แต่จะออกแบบให้มีลักษณะโค้งรับน้ำหนักแทน
ส่วนสะพานเส้นใหม่ที่สร้างคู่ขนานจะก่อสร้างแบบมาตรฐานทั่วไป
สะพานเส้นนี้อยู่ใกล้กับถนนสายพัทลุง-ตรัง
อยู่ในเขตอำเภอศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง
ใกล้ ๆ กับวัดถ้ำสุมะโน เดิมเป็นบริเวณป่าเขามีถ้ำหลายแห่งภายใน
สถานที่อโคจรที่พวกโจร/นายพราน/ทหารป่าพรรคคอมมิวนิสต์
เคยใช้เป็นที่พักชั่วคราวในอดีต/ที่หลบซ่อนตัวของคนที่ทางการต้องการตัว
ก่อนที่มีพระภิกษุจากอีสานมาพัฒนาจนเป็นวัดทุกวันนี้
พร้อมกับคำบอกเล่าจากบรรดาศิษยานุศิษย์
เพื่อยกย่องอาจารย์ของตนว่ามีอิทธิปาฏิหารย์
นั่งทางในเห็นถ้ำแห่งนี้/มีเทวดามาบอกให้สร้างวัดที่นี่
เห็นถ้ำแห่งนี้ในนิมิตแล้วจึงมาสร้างเป็นวัดถ้ำสุมะโน
สุมะโน มาจาก สุมโน สมณะ ผู้สงบหรือภิกษุ
หรือเล่นคำ สุ ดีงาม มะโน ความคิด/จิตใจ