ผู้เขียน วรวิทย์ ไชยทอง : armmatichon@gmail.com
• หมายเหตุ – ผศ.ดร.พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย นักวิชาการด้านกฎหมายมหาชน กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง จากภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ให้สัมภาษณ์มติชน ในประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง อันเป็นผลมาจากปัญหาการทับซ้อนกันของอำนาจตามโครงสร้างรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับปี 2557 รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560
-ปัญหาของรัฐธรรมนูญใหม่หลังบังคับใช้มาระยะหนึ่ง
มันเริ่มมีสัญญาณของการขัดแย้งในทางการเมืองขึ้นมา หลังจากคสช.เข้ามาบริหารประเทศเป็นปีที่ 4 โดยก่อนหน้านี้แม้จะมีความขัดแย้งแต่ก็ยังไม่มีสัญญาณการปะทุ โดยจุดเริ่มต้นของสัญญาณการปะทุทางการเมืองเริ่มมาจากการที่ คสช.ออกคำสั่งที่ 53/2560 เพื่อแก้ไขพรบ.พรรคการเมือง นำไปสู่การรีเซตสมาชิกพรรค ทำให้พรรคการเมืองต่างๆแสดงความไม่พอใจ แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งก่อนหน้านี้มีจุดยืนสนับสนุนรัฐบาลอยู่บ้าง
โดยก่อนหน้านี้ ยังไม่เห็นคสช.ใช้อำนาจในลักษณะการเข้าไปจัดการหรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับโครงสร้างองค์กรภายใต้รัฐธรรมนูญโดยชัด แต่ครั้งนี้เป็นการเข้าไปแตะเรื่องพรรคการเมือง โดยหากมองว่าพรรคการเมืองคือองคาพยพหนึ่งอันเป็นสถาบันทางการเมืองย่อยภายใต้รัฐธรรมนูญ เมื่อคสช.ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วพรรคการเมืองเกิดต่อต้านของตัวสถาบันภายใต้โครงสร้าง ผมคิดว่านี่คือสัญญาณอะไรบางอย่าง โดยที่ม.44 คือตัวปัญหา
คำถามของผมคือว่าความขัดแย้งมันเกิดจากอะไร ผมคิดว่ามันเกิดจากการที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 แล้วเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา หากพูดโดยหลักการ เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรแล้ว ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงในเชิงระบบการเมืองทั่วไป ซึ่งยังไม่ได้มีกฎเกณฑ์หรือระบบอะไรมากมาย มาสู่การเมืองภายใต้โครงสร้างรัฐธรรมนูญหรือ Constitutional politics ซึ่งเป็นเรื่องของการทำหน้าที่และการใช้อำนาจต่างๆต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญที่จะต้องมีการตรวจสอบถ่วงดุล เรื่องความโปร่งใส โดยมีรัฐธรรมนูญกำกับการใช้อำนาจ แต่ลักษณะการใช้อำนาจตามม.44 ที่เขียนว่าการใช้อำนาจชอบด้วยกฎหมายเสมอนั้นขัดกับวิถีของรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นอำนาจที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ เมื่อยื่นคำร้องต่อศาลก็มีแนวโน้มว่าศาลจะวินิจฉัยว่าคำสั่งดังกล่าวชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เราจึงได้เห็นการใช้อำนาจในแบบการเมืองธรรมดาภายใต้สภาวะที่ควรจะเป็นการเมืองในโครงสร้างรัฐธรรมนูญ มันจึงเริ่มเกิดการขัดแย้งในตัวมันเอง คือรัฐธรรมนูญฟังก์ชันไม่ได้ คำถามของผมคือว่าเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้ว ทำไมม.44 ยังอยู่ ผมคิดว่าส่วนหนึ่งมาจากการร่างรัฐธรรมนูญที่ก่อให้เกิดการทำงานคู่กัน 2 ฉบับ
โดยปกติรัฐธรรมนูญจะบังคับใช้ทีละฉบับ ไม่ว่าจะเป็นฉบับถาวรหรือชั่วคราว ยกตัวอย่างการยึดอำนาจของคมช. ที่เมื่อรัฐธรรมนูญ 2550 บังคับใช้ก็มีผลทำให้รัฐธรรมนูญชั่วคราวจบสิ้นลง แต่คราวนี้ แม้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้วแต่บทเฉพาะกาลก็ไปรับรองคสช.ไว้อยู่ แล้วให้อำนาจหน้าที่ของคสช.ตามรัฐธรรมนูญ 2557 ยังคงอยู่ มันจึงเกิดสภาวะทวิรัฐธรรมนูญหรือรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับฟังก์ชันควบคู่กัน ถ้าเทียบกับรถยนต์ก็คล้ายกับรถยนต์ไฮบริดที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าและน้ำมันควบคู่กันไป นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ที่รับรองเรื่องสิทธิเสรีภาพไว้แล้วบ้าง พร้อมกับยังมีคำสั่งคสช.ที่ตรวจสอบไม่ได้อยู่
การเลือกให้รัฐธรรมนูญของเรามีลักษณะเป็นรัฐธรรมนูญแบบนี้ มันมีแนวโน้มสูงในการนำไปสู่ความขัดแย้งในเชิงโครงสร้างรัฐธรรมนูญเพราะบางครั้งรัฐธรรมนูญที่มันมีอยู่ 2 ฉบับ ฟังก์ชั่นมันจะตีกันเอง ขัดแย้งกันเอง ตัวอย่างชัดคือ รธน.2557 ซึ่งเกิดจากการรัฐประหาร ก็จะเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มีโครงสร้างเหมือนรัฐธรรมนูญทั่วไป ไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุล ควบคุม กำกับต่างๆ แต่รัฐธรรมนูญ 2560 มันมี แม้เราจะมองว่าหลายเรื่องไม่เป็นประชาธิปไตย หรือจะมีเรื่องของนายกคนนอก แต่ว่าโครงสร้างหลักมันก็เป็นเรื่องการควบคุม กำกับ ตรวจสอบการใช้อำนาจของโครงสร้างภายใต้รัฐธรรมนูญอยู่ ฉะนั้น 2 ตัวนี้มันก็เหมือนขาวกับดำที่ทำงานคู่กัน บางครั้งเกิดความลักลั่นแล้วตีกันเอง
-แล้วตอนนี้ฉบับไหนชนะ
ถ้าถามผมตอนนี้คือฝ่ายดำชนะ คือ รธน.2557 เพราะในเชิงกฎหมาย มันไม่สามารถตรวจสอบได้ กลไกในทางรัฐธรรมนูญเช่นศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่สามารถไปตรวจสอบได้ เพราะมันชอบด้วยรัฐธรรมนูญเสมอ ในความเป็นจริง 2 ตัวนี้ไม่สามารถอยู่ควบคู่กัน แต่ของเราจับมาผนวก ทำงานพร้อมกัน ลักษณะเช่นนี้ในเชิงหลักวิชาเห็นได้ชัดว่ามันจะไปไม่รอด
– อะไรอีกที่เป็นสัญญาณที่ทำให้เห็นวิกฤตของรัฐธรรมนูญ
เมื่อเรามีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็มาจากประชามติ แม้เราจะวิจารณ์เรื่องปัญหาต่างๆ แต่โดยหลักวิชาก็ต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นสัญญาประชาคม กรณีนาฬิกาของรองนายกฯมีกระแสเรียกร้องให้เข้าไปตรวจสอบ โดยปปช.ชี้แจงเหตุผลว่าเป็นการยืมเพื่อนมา ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน ผมมิอาจก้าวล่วงป.ป.ช.ซึ่งอาจจะมีหลักฐานมากกว่าผม แต่ถ้าลองจับกระแสสังคม จะพบว่าสังคมอาจไม่เห็นพ้องกับคำตอบของปปช.มากนัก ผมไม่ได้บอกว่าผิดหรือถูก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือสังคมตั้งคำถามอย่างมาก รวมถึงตั้งคำถามกับปปช.ด้วย ถ้าพูดในเชิงรัฐศาสตร์บทบาทของปปช.ก็เริ่มถูกลดทอนความน่าเชื่อถือลง ก็จะมีปัญหาเรื่องความชอบธรรมเวลาที่ปปช.จะพิจารณาทำคดีอื่นในภายหลัง เพราะจะถูกคนตั้งคำถามอยู่เสมอ นี่คือสัญญาณบางอย่างของวิกฤตรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ พลเอกประวิตร เป็นทหารอาชีพอาจจะยังไม่เข้าใจระบบตรวจสอบในทางการเมืองมากนัก เพราะโดยหลักวิชา ระบบการตรวจสอบของการเมืองภายใต้โครงสร้างรัฐธรรมนูญ จะไม่สามารถเลือกปฏิบัติได้ ต่างกับระบบทหารอาชีพ ที่เป็นระบบเจ้านายตรวจสอบลูกน้องลูกน้องไม่สามารถตรวจสอบเจ้านายได้ การเมืองในแบบคสช. มันจึงเป็นเรื่องของ Political Contact หรือสัญญาทางการเมือง ไม่ใช่ Social contact หรือที่เป็นสัญญาประชาคม เพราะการเมืองในโครงสร้างรัฐธรรมนูญมันไม่สามารถคุยได้แค่ระดับตัวบุคคลแล้วจบ แต่คุณต้องคุยกับประชาชนด้วย อย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้คือเรื่องการปราบโกง และแม้จะพูดในเชิงหลักวิชา ที่มารัฐธรรมนูญฉบับนี้อาจจะดูไม่ชอบธรรมนักเพราะร่างในสมัยรัฐบาลทหาร ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ในทางหลักวิชารัฐธรรมนูญ ความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญมันอาจเกิดขึ้นได้หากรัฐธรรมนูญนั้นมีฟังก์ชันรองรับสิทธิของคน สามารถทำงานตามหลักการได้ แม้ที่มาอาจจะไม่ชอบธรรม แต่การทำงานทำให้ประชาชนพอใจ มันก็เกิดความชอบธรรมขึ้นมาได้ กรณีประชาชนสงสัยเรื่องความโปร่งใส แล้วประชาชนรู้สึกว่าองค์กรตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถปราบโกงได้เลย นี่คือการลดทอนความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญ เพราะกลไกของรัฐธรรมนูญมันตรวจสอบอะไรไม่ได้
หากเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ การเมืองในอนาคตก็ลำบาก หากเราไปดูในอารัมภบทของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่จะเน้นเรื่องขององค์กรที่เกี่ยวกับการใช้กฎหมาย ซึ่งรวมปปช.และศาล ที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้สูง หากเราไปดูจะเห็นว่า ปปช.มีอำนาจเยอะมาก แต่พอเกิดเหตุขึ้นมา คนกลับตั้งคำถามมาที่ปปช. เมื่อความเชื่อมั่นไม่มี ผมคิดว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปลำบาก นี่ยังไม่พูดถึงองค์กรอื่นซึ่งมีช่องให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ได้อีกมาก เช่น รัฐธรรมนูญฉบับนี้ในเชิงหลักการมีความคลุมเครือหลายเรื่องที่เรียกว่า Constitutional silence คือรัฐธรรมนูญไม่ตอบอะไรบางอย่าง ผมไม่แน่ใจว่าคนร่างตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น การบอกว่าการเลือกตั้งจะเกิดได้เมื่อมีการประกาศใช้กฎหมาย 4 ฉบับ กฎหมายกกต. กฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายเลือกตั้งสส. และที่มาสว. โดยขณะนี้ประกาศไปแล้ว 2 เหลืออีก 2 ตัว
ตอนนี้เราเริ่มเห็นสัญญาณบางอย่างว่ากรธ. เองกับ สนช.หรือกกต. เริ่มไม่เห็นพ้องต้องกันในเรื่องเนื้อหาที่มีการแก้ไข ขั้นแรกจะมีการตั้งกรรมาธิการร่วม มาพิจารณา แต่เราก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วสนช.ทุกคนจะเห็นพ้องด้วยหรือเปล่า วันดีคืนดีสนช.บางคนเกิดบอกไม่เห็นด้วย แล้วโหวตไม่ให้กฎหมายผ่านแค่ตัวใดตัวหนึ่ง คำถามคือเราจะทำยังไง? หากไปดูรัฐธรรมนูญรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ไม่ตอบ ว่าหากมีการโหวตคว่ำ ผลจะเป็นอย่างไร? ใครจะมาร่างต่อ? บางคนบอกก็ต้องเป็นกรธ.ร่างต่อ เพราะมีความเชี่ยวชาญ แต่ก็มีคนค้านว่าแล้วกรธ.จะมีความชอบธรรมอะไรมาร่างต่อ เพราะร่างที่ร่างมาก็เพิ่งถูกคว่ำ คือมันมีประเด็นอีกมากมาย หรือแม้แต่สนช.ผ่านร่างแต่ก็มีบางกลุ่มไม่เห็นด้วย อาจจะเสียง 1 ใน 10 ตามที่รธน.เขียนไว้ ส่งคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตีความว่ากระบวนการชอบหรือไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากศาลบอกว่าขัดรัฐธรรมนูญร่างฉบับนี้ก็ตกอีก เมื่อตกก็เข้ามาสู่วังวนเดิมเป็นภาวะสูญญากาศทางรัฐธรรมนูญ ต่างๆเหล่านี้ สุดท้ายศาลก็จะต้องแบกรับความคลุมเครือหลายอย่างของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ยังไม่นับว่าศาลรัฐธรรมนูญก็เป็นส่วนหนึ่งในวิกฤตการเมืองตอนนี้เช่นกัน ถ้าจำได้ว่าก่อนการรัฐประหารครั้งที่แล้วมันเกิดการปะทะกันเชิงโครงสร้างทางรัฐธรรมนูญ คือสภาที่จะทำการแก้ไขเพิ่มเติมแต่ศาลรัฐธรรมนูญก็ห้ามการแก้ไขเพิ่มเติม สุดท้ายนำมาสู่ภาวะทางตันทางการเมือง และเกิดการรัฐประหาร คำถามคือหากย้อนมาสู่ศาลอีกแล้วจะเกิดอะไรขึ้น มันก็จะเกิดแรงต้านขึ้น
ยังไม่พูดถึงเรื่องการไม่ได้เขียนว่านายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง แค่เขียนว่า ในทางปฏิบัติว่าพึงต้องเลือกคนจากบัญชีของพรรคการเมืองก่อน ซึ่งหากไปดูข่าวตอนนี้ ก็จะมีบางพรรคชูการสนับสนุนนายกฯคนนอก หรือการเขียนให้สว.มีส่วนในกระบวนการนี้ด้วย ถามว่าลักษณะแบบนี้มันเป็นไปตามหลักการเมืองภายใต้โครงสร้างรัฐธรรมนูญหรือ? การเมืองขณะนี้มันเหมือนการมองข้ามหรือไม่สนใจใยดีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเลย รัฐธรรมนูญเหมือนมีแค่ชื่อแต่บังคับใช้ไม่ได้ ทุกอย่างตอนนี้เหมือนกลับไปหารัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว
-สภาวะสองรัฐธรรมนูญซ้อนกันอะไรน่าห่วงที่สุด
อย่างที่ผมบอกการที่โครงสร้างของรัฐธรรมนูญมันชนกัน กรณีแยกกันทำงาน คนที่เห็นว่ามันไม่ชอบธรรมเขาก็ต่อต้านทีละฉบับใช่ไหม? แต่คราวนี้คุณเอาทั้งสองฉบับมาฟังก์ชั่นร่วมกัน คนทั่วไปเขาไม่มองหรอกว่าคุณกำลังใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญฉบับไหน ตอนนี้ผมคิดว่าหลายๆคนมองว่านี่คือรัฐธรรมนูญ 2560 และขณะนี้มันมีการลดทอนความชอบธรรมและความน่าเชื่อถือของรัฐธรรมนูญไปเรื่อยๆ นี่คือการนับถอยหลังไปเรื่อยๆนั่นเอง
ในเชิงหลักการความขัดแย้งหากมีการบ่มเพาะมากขึ้นได้เรื่อยๆ มันจะพัฒนาจากความขัดแย้ง หรือ Conflict เป็นวิกฤต หรือ Crisis ถามว่าพฤติกรรมอะไรที่จะนำไปสู่วิกฤต ในเชิงหลักการขอยกตัวอย่างซัก 3 กรณี
กรณีแรกคือผู้นำทางการเมืองมีการอ้างถึงสภาวะพิเศษบางอย่างเพื่อใช้อำนาจในการยกเว้น ไม่ทำตามสิ่งที่ควรจะเป็น เช่นการบอกว่าประเทศไทยมีสถานการณ์พิเศษ การจะใช้รัฐธรรมนูญแก้ปัญหาทุกอย่าง มีขั้นตอนเยอะเป็นไปไม่ได้จึงต้องยกเว้น ยกตัวอย่าง คือการใช้อำนาจตามม.44
2. คือการที่ผู้นำหรือผู้มีอำนาจทางการเมืองหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ไปยึดหรือปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญทั้งที่เห็นอยู่แล้วว่ามันไม่แก้ปัญหา แต่ตัวมันนำไปสู่การสร้างปัญหา พูดภาษาชาวบ้าน มันคือการดันทุรัง เช่นที่ผ่านมาพบว่านักการเมืองคอรัปชั่น ไม่เกิดการตรวจสอบถ่วงดุล รัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงเขียนขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา แต่เมื่อสาธารณชนหรือหลายๆคนอ่านแล้วเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่ ฝรั่งเขาเรียกแบบนี้ว่า Suicide pact หรือกติกาที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย เพราะถ้าคุณดันทุรังที่จะใช้รัฐธรรมนูญแบบนี้ในการแก้ปัญหา ก็แปลว่าคุณพยายามขับเคลื่อนประเทศไปสู่ทางตัน เกิดเดดล็อกทางการเมือง
3. ก็คือตัวผู้นำทางการเมืองหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง พยายามกล่าวหา กับคนที่ต่อต้านหรือคัดค้าน รัฐบาล ว่าทำผิดรัฐธรรมนูญหรือทำผิดกฎหมาย พูดง่ายๆก็คือภาวะที่รัฐบาลถูกเสมอ ฝ่ายต่อต้านผิดเสมอ ทั้งๆ ที่โดยหลักการแล้วบางครั้งการใช้อำนาจของผู้นำทางการเมืองก็เห็นชัดเจนว่าไม่ได้ทำตามรัฐธรรมนูญ
สังเกตให้ดี 3 ปัจจัยเหล่านี้ที่พูดมา มันนำไปสู่ความขัดแย้งและความรุนแรงทางการเมืองทั้งนั้น มันเป็นการผลักอีกฝั่งไม่ให้มีที่ยืนทางการเมือง มันสร้างความขัดแย้งขึ้นมาทั้งหมด
JJNY : 'พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย' ถอดรหัสวิกฤตรัฐธรรมนูญ วิเคราะห์ 'ฉบับนี้อาจอยู่ไม่เกิน 3 ปี'
• หมายเหตุ – ผศ.ดร.พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย นักวิชาการด้านกฎหมายมหาชน กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง จากภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ให้สัมภาษณ์มติชน ในประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง อันเป็นผลมาจากปัญหาการทับซ้อนกันของอำนาจตามโครงสร้างรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับปี 2557 รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560
-ปัญหาของรัฐธรรมนูญใหม่หลังบังคับใช้มาระยะหนึ่ง
มันเริ่มมีสัญญาณของการขัดแย้งในทางการเมืองขึ้นมา หลังจากคสช.เข้ามาบริหารประเทศเป็นปีที่ 4 โดยก่อนหน้านี้แม้จะมีความขัดแย้งแต่ก็ยังไม่มีสัญญาณการปะทุ โดยจุดเริ่มต้นของสัญญาณการปะทุทางการเมืองเริ่มมาจากการที่ คสช.ออกคำสั่งที่ 53/2560 เพื่อแก้ไขพรบ.พรรคการเมือง นำไปสู่การรีเซตสมาชิกพรรค ทำให้พรรคการเมืองต่างๆแสดงความไม่พอใจ แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งก่อนหน้านี้มีจุดยืนสนับสนุนรัฐบาลอยู่บ้าง
โดยก่อนหน้านี้ ยังไม่เห็นคสช.ใช้อำนาจในลักษณะการเข้าไปจัดการหรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับโครงสร้างองค์กรภายใต้รัฐธรรมนูญโดยชัด แต่ครั้งนี้เป็นการเข้าไปแตะเรื่องพรรคการเมือง โดยหากมองว่าพรรคการเมืองคือองคาพยพหนึ่งอันเป็นสถาบันทางการเมืองย่อยภายใต้รัฐธรรมนูญ เมื่อคสช.ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วพรรคการเมืองเกิดต่อต้านของตัวสถาบันภายใต้โครงสร้าง ผมคิดว่านี่คือสัญญาณอะไรบางอย่าง โดยที่ม.44 คือตัวปัญหา
คำถามของผมคือว่าความขัดแย้งมันเกิดจากอะไร ผมคิดว่ามันเกิดจากการที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 แล้วเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา หากพูดโดยหลักการ เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรแล้ว ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงในเชิงระบบการเมืองทั่วไป ซึ่งยังไม่ได้มีกฎเกณฑ์หรือระบบอะไรมากมาย มาสู่การเมืองภายใต้โครงสร้างรัฐธรรมนูญหรือ Constitutional politics ซึ่งเป็นเรื่องของการทำหน้าที่และการใช้อำนาจต่างๆต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญที่จะต้องมีการตรวจสอบถ่วงดุล เรื่องความโปร่งใส โดยมีรัฐธรรมนูญกำกับการใช้อำนาจ แต่ลักษณะการใช้อำนาจตามม.44 ที่เขียนว่าการใช้อำนาจชอบด้วยกฎหมายเสมอนั้นขัดกับวิถีของรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นอำนาจที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ เมื่อยื่นคำร้องต่อศาลก็มีแนวโน้มว่าศาลจะวินิจฉัยว่าคำสั่งดังกล่าวชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เราจึงได้เห็นการใช้อำนาจในแบบการเมืองธรรมดาภายใต้สภาวะที่ควรจะเป็นการเมืองในโครงสร้างรัฐธรรมนูญ มันจึงเริ่มเกิดการขัดแย้งในตัวมันเอง คือรัฐธรรมนูญฟังก์ชันไม่ได้ คำถามของผมคือว่าเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้ว ทำไมม.44 ยังอยู่ ผมคิดว่าส่วนหนึ่งมาจากการร่างรัฐธรรมนูญที่ก่อให้เกิดการทำงานคู่กัน 2 ฉบับ
โดยปกติรัฐธรรมนูญจะบังคับใช้ทีละฉบับ ไม่ว่าจะเป็นฉบับถาวรหรือชั่วคราว ยกตัวอย่างการยึดอำนาจของคมช. ที่เมื่อรัฐธรรมนูญ 2550 บังคับใช้ก็มีผลทำให้รัฐธรรมนูญชั่วคราวจบสิ้นลง แต่คราวนี้ แม้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้วแต่บทเฉพาะกาลก็ไปรับรองคสช.ไว้อยู่ แล้วให้อำนาจหน้าที่ของคสช.ตามรัฐธรรมนูญ 2557 ยังคงอยู่ มันจึงเกิดสภาวะทวิรัฐธรรมนูญหรือรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับฟังก์ชันควบคู่กัน ถ้าเทียบกับรถยนต์ก็คล้ายกับรถยนต์ไฮบริดที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าและน้ำมันควบคู่กันไป นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ที่รับรองเรื่องสิทธิเสรีภาพไว้แล้วบ้าง พร้อมกับยังมีคำสั่งคสช.ที่ตรวจสอบไม่ได้อยู่
การเลือกให้รัฐธรรมนูญของเรามีลักษณะเป็นรัฐธรรมนูญแบบนี้ มันมีแนวโน้มสูงในการนำไปสู่ความขัดแย้งในเชิงโครงสร้างรัฐธรรมนูญเพราะบางครั้งรัฐธรรมนูญที่มันมีอยู่ 2 ฉบับ ฟังก์ชั่นมันจะตีกันเอง ขัดแย้งกันเอง ตัวอย่างชัดคือ รธน.2557 ซึ่งเกิดจากการรัฐประหาร ก็จะเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มีโครงสร้างเหมือนรัฐธรรมนูญทั่วไป ไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุล ควบคุม กำกับต่างๆ แต่รัฐธรรมนูญ 2560 มันมี แม้เราจะมองว่าหลายเรื่องไม่เป็นประชาธิปไตย หรือจะมีเรื่องของนายกคนนอก แต่ว่าโครงสร้างหลักมันก็เป็นเรื่องการควบคุม กำกับ ตรวจสอบการใช้อำนาจของโครงสร้างภายใต้รัฐธรรมนูญอยู่ ฉะนั้น 2 ตัวนี้มันก็เหมือนขาวกับดำที่ทำงานคู่กัน บางครั้งเกิดความลักลั่นแล้วตีกันเอง
-แล้วตอนนี้ฉบับไหนชนะ
ถ้าถามผมตอนนี้คือฝ่ายดำชนะ คือ รธน.2557 เพราะในเชิงกฎหมาย มันไม่สามารถตรวจสอบได้ กลไกในทางรัฐธรรมนูญเช่นศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่สามารถไปตรวจสอบได้ เพราะมันชอบด้วยรัฐธรรมนูญเสมอ ในความเป็นจริง 2 ตัวนี้ไม่สามารถอยู่ควบคู่กัน แต่ของเราจับมาผนวก ทำงานพร้อมกัน ลักษณะเช่นนี้ในเชิงหลักวิชาเห็นได้ชัดว่ามันจะไปไม่รอด
– อะไรอีกที่เป็นสัญญาณที่ทำให้เห็นวิกฤตของรัฐธรรมนูญ
เมื่อเรามีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็มาจากประชามติ แม้เราจะวิจารณ์เรื่องปัญหาต่างๆ แต่โดยหลักวิชาก็ต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นสัญญาประชาคม กรณีนาฬิกาของรองนายกฯมีกระแสเรียกร้องให้เข้าไปตรวจสอบ โดยปปช.ชี้แจงเหตุผลว่าเป็นการยืมเพื่อนมา ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน ผมมิอาจก้าวล่วงป.ป.ช.ซึ่งอาจจะมีหลักฐานมากกว่าผม แต่ถ้าลองจับกระแสสังคม จะพบว่าสังคมอาจไม่เห็นพ้องกับคำตอบของปปช.มากนัก ผมไม่ได้บอกว่าผิดหรือถูก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือสังคมตั้งคำถามอย่างมาก รวมถึงตั้งคำถามกับปปช.ด้วย ถ้าพูดในเชิงรัฐศาสตร์บทบาทของปปช.ก็เริ่มถูกลดทอนความน่าเชื่อถือลง ก็จะมีปัญหาเรื่องความชอบธรรมเวลาที่ปปช.จะพิจารณาทำคดีอื่นในภายหลัง เพราะจะถูกคนตั้งคำถามอยู่เสมอ นี่คือสัญญาณบางอย่างของวิกฤตรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ พลเอกประวิตร เป็นทหารอาชีพอาจจะยังไม่เข้าใจระบบตรวจสอบในทางการเมืองมากนัก เพราะโดยหลักวิชา ระบบการตรวจสอบของการเมืองภายใต้โครงสร้างรัฐธรรมนูญ จะไม่สามารถเลือกปฏิบัติได้ ต่างกับระบบทหารอาชีพ ที่เป็นระบบเจ้านายตรวจสอบลูกน้องลูกน้องไม่สามารถตรวจสอบเจ้านายได้ การเมืองในแบบคสช. มันจึงเป็นเรื่องของ Political Contact หรือสัญญาทางการเมือง ไม่ใช่ Social contact หรือที่เป็นสัญญาประชาคม เพราะการเมืองในโครงสร้างรัฐธรรมนูญมันไม่สามารถคุยได้แค่ระดับตัวบุคคลแล้วจบ แต่คุณต้องคุยกับประชาชนด้วย อย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้คือเรื่องการปราบโกง และแม้จะพูดในเชิงหลักวิชา ที่มารัฐธรรมนูญฉบับนี้อาจจะดูไม่ชอบธรรมนักเพราะร่างในสมัยรัฐบาลทหาร ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ในทางหลักวิชารัฐธรรมนูญ ความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญมันอาจเกิดขึ้นได้หากรัฐธรรมนูญนั้นมีฟังก์ชันรองรับสิทธิของคน สามารถทำงานตามหลักการได้ แม้ที่มาอาจจะไม่ชอบธรรม แต่การทำงานทำให้ประชาชนพอใจ มันก็เกิดความชอบธรรมขึ้นมาได้ กรณีประชาชนสงสัยเรื่องความโปร่งใส แล้วประชาชนรู้สึกว่าองค์กรตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถปราบโกงได้เลย นี่คือการลดทอนความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญ เพราะกลไกของรัฐธรรมนูญมันตรวจสอบอะไรไม่ได้
หากเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ การเมืองในอนาคตก็ลำบาก หากเราไปดูในอารัมภบทของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่จะเน้นเรื่องขององค์กรที่เกี่ยวกับการใช้กฎหมาย ซึ่งรวมปปช.และศาล ที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้สูง หากเราไปดูจะเห็นว่า ปปช.มีอำนาจเยอะมาก แต่พอเกิดเหตุขึ้นมา คนกลับตั้งคำถามมาที่ปปช. เมื่อความเชื่อมั่นไม่มี ผมคิดว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปลำบาก นี่ยังไม่พูดถึงองค์กรอื่นซึ่งมีช่องให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ได้อีกมาก เช่น รัฐธรรมนูญฉบับนี้ในเชิงหลักการมีความคลุมเครือหลายเรื่องที่เรียกว่า Constitutional silence คือรัฐธรรมนูญไม่ตอบอะไรบางอย่าง ผมไม่แน่ใจว่าคนร่างตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น การบอกว่าการเลือกตั้งจะเกิดได้เมื่อมีการประกาศใช้กฎหมาย 4 ฉบับ กฎหมายกกต. กฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายเลือกตั้งสส. และที่มาสว. โดยขณะนี้ประกาศไปแล้ว 2 เหลืออีก 2 ตัว
ตอนนี้เราเริ่มเห็นสัญญาณบางอย่างว่ากรธ. เองกับ สนช.หรือกกต. เริ่มไม่เห็นพ้องต้องกันในเรื่องเนื้อหาที่มีการแก้ไข ขั้นแรกจะมีการตั้งกรรมาธิการร่วม มาพิจารณา แต่เราก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วสนช.ทุกคนจะเห็นพ้องด้วยหรือเปล่า วันดีคืนดีสนช.บางคนเกิดบอกไม่เห็นด้วย แล้วโหวตไม่ให้กฎหมายผ่านแค่ตัวใดตัวหนึ่ง คำถามคือเราจะทำยังไง? หากไปดูรัฐธรรมนูญรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ไม่ตอบ ว่าหากมีการโหวตคว่ำ ผลจะเป็นอย่างไร? ใครจะมาร่างต่อ? บางคนบอกก็ต้องเป็นกรธ.ร่างต่อ เพราะมีความเชี่ยวชาญ แต่ก็มีคนค้านว่าแล้วกรธ.จะมีความชอบธรรมอะไรมาร่างต่อ เพราะร่างที่ร่างมาก็เพิ่งถูกคว่ำ คือมันมีประเด็นอีกมากมาย หรือแม้แต่สนช.ผ่านร่างแต่ก็มีบางกลุ่มไม่เห็นด้วย อาจจะเสียง 1 ใน 10 ตามที่รธน.เขียนไว้ ส่งคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตีความว่ากระบวนการชอบหรือไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากศาลบอกว่าขัดรัฐธรรมนูญร่างฉบับนี้ก็ตกอีก เมื่อตกก็เข้ามาสู่วังวนเดิมเป็นภาวะสูญญากาศทางรัฐธรรมนูญ ต่างๆเหล่านี้ สุดท้ายศาลก็จะต้องแบกรับความคลุมเครือหลายอย่างของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ยังไม่นับว่าศาลรัฐธรรมนูญก็เป็นส่วนหนึ่งในวิกฤตการเมืองตอนนี้เช่นกัน ถ้าจำได้ว่าก่อนการรัฐประหารครั้งที่แล้วมันเกิดการปะทะกันเชิงโครงสร้างทางรัฐธรรมนูญ คือสภาที่จะทำการแก้ไขเพิ่มเติมแต่ศาลรัฐธรรมนูญก็ห้ามการแก้ไขเพิ่มเติม สุดท้ายนำมาสู่ภาวะทางตันทางการเมือง และเกิดการรัฐประหาร คำถามคือหากย้อนมาสู่ศาลอีกแล้วจะเกิดอะไรขึ้น มันก็จะเกิดแรงต้านขึ้น
ยังไม่พูดถึงเรื่องการไม่ได้เขียนว่านายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง แค่เขียนว่า ในทางปฏิบัติว่าพึงต้องเลือกคนจากบัญชีของพรรคการเมืองก่อน ซึ่งหากไปดูข่าวตอนนี้ ก็จะมีบางพรรคชูการสนับสนุนนายกฯคนนอก หรือการเขียนให้สว.มีส่วนในกระบวนการนี้ด้วย ถามว่าลักษณะแบบนี้มันเป็นไปตามหลักการเมืองภายใต้โครงสร้างรัฐธรรมนูญหรือ? การเมืองขณะนี้มันเหมือนการมองข้ามหรือไม่สนใจใยดีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเลย รัฐธรรมนูญเหมือนมีแค่ชื่อแต่บังคับใช้ไม่ได้ ทุกอย่างตอนนี้เหมือนกลับไปหารัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว
-สภาวะสองรัฐธรรมนูญซ้อนกันอะไรน่าห่วงที่สุด
อย่างที่ผมบอกการที่โครงสร้างของรัฐธรรมนูญมันชนกัน กรณีแยกกันทำงาน คนที่เห็นว่ามันไม่ชอบธรรมเขาก็ต่อต้านทีละฉบับใช่ไหม? แต่คราวนี้คุณเอาทั้งสองฉบับมาฟังก์ชั่นร่วมกัน คนทั่วไปเขาไม่มองหรอกว่าคุณกำลังใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญฉบับไหน ตอนนี้ผมคิดว่าหลายๆคนมองว่านี่คือรัฐธรรมนูญ 2560 และขณะนี้มันมีการลดทอนความชอบธรรมและความน่าเชื่อถือของรัฐธรรมนูญไปเรื่อยๆ นี่คือการนับถอยหลังไปเรื่อยๆนั่นเอง
ในเชิงหลักการความขัดแย้งหากมีการบ่มเพาะมากขึ้นได้เรื่อยๆ มันจะพัฒนาจากความขัดแย้ง หรือ Conflict เป็นวิกฤต หรือ Crisis ถามว่าพฤติกรรมอะไรที่จะนำไปสู่วิกฤต ในเชิงหลักการขอยกตัวอย่างซัก 3 กรณี
กรณีแรกคือผู้นำทางการเมืองมีการอ้างถึงสภาวะพิเศษบางอย่างเพื่อใช้อำนาจในการยกเว้น ไม่ทำตามสิ่งที่ควรจะเป็น เช่นการบอกว่าประเทศไทยมีสถานการณ์พิเศษ การจะใช้รัฐธรรมนูญแก้ปัญหาทุกอย่าง มีขั้นตอนเยอะเป็นไปไม่ได้จึงต้องยกเว้น ยกตัวอย่าง คือการใช้อำนาจตามม.44
2. คือการที่ผู้นำหรือผู้มีอำนาจทางการเมืองหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ไปยึดหรือปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญทั้งที่เห็นอยู่แล้วว่ามันไม่แก้ปัญหา แต่ตัวมันนำไปสู่การสร้างปัญหา พูดภาษาชาวบ้าน มันคือการดันทุรัง เช่นที่ผ่านมาพบว่านักการเมืองคอรัปชั่น ไม่เกิดการตรวจสอบถ่วงดุล รัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงเขียนขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา แต่เมื่อสาธารณชนหรือหลายๆคนอ่านแล้วเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่ ฝรั่งเขาเรียกแบบนี้ว่า Suicide pact หรือกติกาที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย เพราะถ้าคุณดันทุรังที่จะใช้รัฐธรรมนูญแบบนี้ในการแก้ปัญหา ก็แปลว่าคุณพยายามขับเคลื่อนประเทศไปสู่ทางตัน เกิดเดดล็อกทางการเมือง
3. ก็คือตัวผู้นำทางการเมืองหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง พยายามกล่าวหา กับคนที่ต่อต้านหรือคัดค้าน รัฐบาล ว่าทำผิดรัฐธรรมนูญหรือทำผิดกฎหมาย พูดง่ายๆก็คือภาวะที่รัฐบาลถูกเสมอ ฝ่ายต่อต้านผิดเสมอ ทั้งๆ ที่โดยหลักการแล้วบางครั้งการใช้อำนาจของผู้นำทางการเมืองก็เห็นชัดเจนว่าไม่ได้ทำตามรัฐธรรมนูญ
สังเกตให้ดี 3 ปัจจัยเหล่านี้ที่พูดมา มันนำไปสู่ความขัดแย้งและความรุนแรงทางการเมืองทั้งนั้น มันเป็นการผลักอีกฝั่งไม่ให้มีที่ยืนทางการเมือง มันสร้างความขัดแย้งขึ้นมาทั้งหมด