ตั้งแต่ดิฉันศึกษาการเมืองของประเทศมาได้พบว่า...
ผู้นำทุศีลที่มีความผิดเรื่องการทุจริตและปล่อยให้นักการเมืองทุจริต
และพยายามล้างผิดให้คนทุจริตนั้น....อยู่ในสมัยที่ผ่านมาแล้ว
อย่างน่าสะพึงกลัว
อ่านข้อความนี้ก่อนค่ะ.....❌❌❌❌❌❌❌
นักการเมืองพรรคเพื่อไทยจะพากันรับรองว่าการทำผิดกฎหมายนั้นไม่ต้องได้รับการลงโทษ แล้วประชาชนจะมีความปลอดภัยได้อย่างไร เมื่อนักการเมืองใช้เสียงข้างมากอย่างไม่คำนึงถึงหลักกฎหมาย หลักนิติธรรมและหลักความยุติธรรม นักการเมืองทุศีลก็จะได้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำสิ่งผิดกฎหมายได้ตามใจชอบ แล้วก็ออกกฎหมายยกโทษให้พวกตนเอง ประเทศชาติและประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการกระทำความผิดของนักการเมือง ย่อมไม่ได้รับความเป็นธรรม บ้านเมืองจะไม่มีคนเคารพกฎหมายและไม่เกรงกลัวที่จะทำความผิด คอรัปชั่น โกงบ้านกินเมือง แต่จะมาบังคับคนดีมีศีลธรรมให้ไม่สามารถอยู่ได้ในสังคม
https://www.change.org/
มาอ่านบทความนี้ต่อค่ะ...ขออนุญาตคัดย่อบางส่วน....🙄
พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบภาวะผู้นำ และภาวะผู้ตามที่ดีและเลว โดยการนำเทพมาเปรียบกับอสูร ซึ่งปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ 21 หมวดที่ 50 วรรค 2 ดังนี้
1. อสูรที่มีอสูรเป็นบริวารได้แก่ บุคคลผู้ทุศีลมีบริษัทเป็นผู้ทุศีล มีบาปธรรม
2. อสูรที่มีเทพเป็นบริวารได้แก่ บุคคลผู้ทุศีล แต่มีบริษัทเป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม
3. เทพที่มีอสูรเป็นบริวารได้แก่ บุคคลผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม แต่มีบริษัทเป็นผู้ทุศีล มีบาปธรรม
4. เทพที่มีเทพเป็นบริวารได้แก่ บุคคลผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ทั้งมีบริษัทเป็นเช่นนั้นด้วย
จากพุทธพจน์ในเชิงเปรียบเทียบดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าประเภทที่ 1 เลวทั้งผู้นำและผู้ตาม เรียกได้ว่าประเภทเลวล้วนหรือล้วนแต่เลว พูดเป็นภาษาคณิตศาสตร์ได้ว่าเลว 100 % ประเภทที่ 4 ดีทั้งผู้นำและผู้ตาม พูดได้ในทำนองเดียวกันกับประเภทที่ 1 แต่โดยนัยตรงกันข้ามคือดีล้วนหรือดี 100 %
ส่วนประเภทที่ 2 และ 3 ดีกับเลวผสมกัน โดยมีประเภทที่ 2 ผู้นำเลว แต่ผู้ตามดี และประเภทที่ 3 ผู้นำดี แต่ผู้ตามเลว ทั้งประเภทที่ 2 และ 3 มีเนื้อหาผสมกัน
แต่ถ้ามองในแง่การบริหาร ประเภทที่ 3 ย่อมดีกว่าประเภทที่ 2 ทั้งนี้ด้วยเหตุว่า ผู้นำเป็นผู้คิดกำหนดนโยบาย และวางแผนแล้วสั่งการให้ผู้ตามหรือลูกน้องทำ
ดังนั้น ถ้าผู้นำเลวดังเช่นประเภทที่ 2 ก็จะคิดเลว และเมื่อสั่งการให้ผู้ตามซึ่งเป็นคนดี ถ้าผู้ตามทำตามที่ได้รับคำสั่งก็จะเกิดความเสียหายแก่องค์กร และตนเองก็จะรับในสิ่งที่ทำด้วย แต่ถ้าไม่ทำตามคำสั่งก็จะถูกกดดัน บีบคั้นรังแก หรือถึงกับโยกย้ายให้พ้นทางก็เป็นไปได้
ประเภทที่ 3 ผู้นำดี ผู้ตามเลว ถ้ามองในแง่ของการบริหารย่อมดีกว่าผู้นำเลว ผู้ตามดี เพราะผู้นำคิดสั่งการให้ทำ และรับผิดชอบในสิ่งที่สั่งการไป
บุคคล 4 ประเภทจากคำสอนในเชิงเปรียบเทียบเกิดขึ้นได้อย่างไร?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอบได้ว่าไม่น่าจะเกิดจากการเลือกด้วยความสมัครใจของผู้นำ และไม่น่าจะด้วยการยอมรับของผู้ตามแน่นอน
แต่น่าจะเกิดจากปัจจัยภายนอกเช่น การเมือง เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนในกรณีดังต่อไปนี้
1. นักการเมืองซึ่งเป็นคนไม่ดี และได้เข้ามาเป็นผู้นำองค์กรของรัฐ ซึ่งมีบุคลากรส่วนใหญ่เป็นคนไม่ดี หรือส่วนใหญ่เป็นคนดี แต่ไม่ยอมรับผู้นำที่ไม่ดี จึงกลายเป็นโอกาสให้คนส่วนน้อยซึ่งเป็นคนไม่ดีวิ่งเข้าหาผู้นำ และยอมรับใช้ใกล้ชิด เปรียบได้กับคนประเภทที่ 1 คืออสูรที่มีอสูรเป็นบริวาร
2. นักการเมืองเป็นคนดี และเข้ามาเป็นผู้นำในองค์กรซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนดี เปรียบได้กับประเภทที่ 4 คือเทพที่มีเทพบริวาร
3. นักการเมืองเป็นคนไม่ดี และได้เข้ามาเป็นผู้นำในองค์กร ซึ่งคนส่วนใหญ่เป็นคนดี เปรียบได้กับประเภทที่ 2 คืออสูรที่มีเทพเป็นบริวาร
4. นักการเมืองเป็นคนดี และได้เข้ามาเป็นผู้นำในองค์กร ซึ่งบุคลากรส่วนใหญ่เป็นคนไม่ดี เปรียบได้กับประเภทที่ 3 คือเทพที่มีอสูรเป็นบริวาร
การเกิดขึ้นของบุคคล 4 ประเภทนี้ ถ้ามองในแง่ของจริยศาสตร์ และสังคมศาสตร์แล้วจะพบว่า 2 ประเภทคือ 1 และ 4 เป็นไปตามหลักของสองศาสตร์นี้คือ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม (Social Animal) และการคบหากันจะต้องยึดหลักความเหมือนกันในทำนองนกสีเดียวกัน ย่อมเข้าฝูงกันได้คือ คนเลวกับคนเลว คนดีกับคนดี
ส่วนว่าคนเลวต้องอยู่ร่วมกับคนดี หรือคนดีต้องอยู่ร่วมกับคนเลวนั้น มิได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสองศาสตร์ที่ว่านี้ และนี่เองคือจุดที่ทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคมที่คนดีอยู่ร่วมกับคนลว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสังคมที่คนเลวเป็นผู้นำ และคนดีเป็นผู้ตาม
ในสังคมที่ผู้นำเลว และผู้ตามดีจะเกิดความขัดแย้งระหว่างผู้นำกับผู้ตาม สุดท้ายแล้วผู้นำจะถูกผู้ตามขับไล่ให้พ้นไปจากความเป็นผู้นำ
ในทางกลับกัน ถ้าผู้นำเป็นคนดี และผู้ตามเป็นคนเลว ผู้นำจะต้องแก้ไขให้คนเลวกลายเป็นคนดี
แต่ถ้าทั้งผู้นำและผู้ตามเลว ก็จะทำให้สังคม หรือองค์กรที่มีบุคคลประเภทนี้อยู่ ได้รับความเสียหาย ดังที่ได้เกิดขึ้นแล้วกับสังคมไทยในยุคที่ระบอบประชานิยมครองอำนาจทางการเมือง
http://www.manager.co.th/daily/viewnews.aspx?NewsID=9570000067477
ที่ผ่านมาย่อมพิสูจน์ได้ว่า..ใครเป็นเทพตัวจริง ใครเป็นอสูร
ใครที่ทำผิดกฎหมายหนีศาลอ้างว่าถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง
ยุคทุศีลนั้นผ่านไปอย่างน่าสะพึง เพราะเกือบจะทำให้ประเทศล่มสลายทางด้านศีลธรรม
เพราะความทุศีลของผู้นำและผู้ตามที่มาอยู่รวมๆกันในรัฐบาล
ในยุคนี้ นายกฯลุงตู่มีความดีอยู่ในตัวเอง ท่านเลือกหาคนดีคนเก่ง คนมีความรู้ มีความสามารถมาร่วมงาน
ผิดกับรัฐบาลทุศีลคดโกง ก็ย่อมต้องเลือกสรรเฉพาะคนจำพวกเดียวกับตนให้เข้ามาทำงาน มีผู้สนับสนุนเป็นพวกนักเลงใช้ความรุนแรง สู้แล้วรวยเข้ามาร่วมก๊วน
ในแต่ละยุค ย่อมมีคนทุศีลปะปนกันไปบ้างแต่ผู้นำต้องหาทางแก้ไข จัดการตามกฎหมาย ไม่ให้คนเหล่านี้ทำอะไรให้เกิดความเสียหายต่อชาติบ้านเมืองได้ การตรวจสอบจึงสำคัญและไม่ปกป้องช่วยเหลือกัน
ดังเช่นรัฐบาลที่ผ่านมาไม่ตรวจสอบอะไรเลย จนมาเจอในรัฐบาลนี้
‘เฉลิม’ เบิกความคดีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายจำนำข้าว ป้อง ‘ยิ่งลักษณ์’ ไม่ละเลยปมทุจริตจำนำข้าว-ระบายข้าวจีทูจี ปลด ‘บุญทรง’ แล้วหลัง ป.ป.ช. ตั้งอนุฯสอบ ลั่นถ้าผิดหนีตั้งแต่ช่วงไปญี่ปุ่นหลังรัฐประหารแล้ว
ร.ต.อ.เฉลิม เบิกความสรุปได้ว่า หลังจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ต่อมาสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มีหนังสือท้วงติงโครงการรับจำนำข้าวถึงรัฐบาล ตนจึงตั้งข้อสังเกตว่า เขียนข้อท้วงมาในช่วงเวลาใด ขณะเดียวกันช่วงก่อนจะเริ่มโครงการรับจำนำข้าว คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทำหนังสือแนะนำให้รัฐบาลยุติโครงการรับจำนำข้าว โดยผลงานวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่ ป.ป.ช. นำมาอ้าง ไม่มีความเชื่อถือ แต่รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ นำเรื่องไปปรึกษาด้านกฎหมายกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ท้ายสุดคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี แต่ไม่มีการบันทึกไว้ว่า ป.ป.ช. ไม่มีอำนาจกำหนดนโยบายของรัฐบาล เพราะนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภามีผลผูกพันต่อรัฐสภา จึงไม่สามารถยกเลิกโครงการได้
ส่วนกรณีมีการตั้งกระทู้ถามเรื่องระบายข้าวหลายครั้งในรัฐสภานั้น ร.ต.อ.เฉลิม เบิกความสรุปได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ นำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทุกครั้ง แต่จำไม่ได้ว่ามีครั้งไหนบ้าง พร้อมกับสั่งการให้นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ (ขณะนั้น) ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการระบายข้าว ดำเนินการตรวจสอบประเด็นที่ถูกอภิปราย หากพบว่า มีความผิดให้จับกุม อย่าหวาดกลัว และให้รายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทุกครั้ง
ผมไม่รู้จักกับบริษัท สยามอินดิก้าฯ หรือเสี่ยเปี๋ยง (นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร อดีตพ่อค้าข้าวชื่อดัง จำเลยคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐโดยมิชอบ) ส่วนการตรวจสอบนายบุญทรงรายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทางวาจาว่า ไม่พบทุจริต แต่หลังจากนั้นไม่นาน คณะอนุกรรมการไต่สวน ป.ป.ช. มีความเห็นว่าคดีดังกล่าวมีมูล จนเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2556 น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีคำสั่งปลดนายบุญทรงออกจากตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ เนื่องจากมีข้อบกพร่อง ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดคงไม่มีการปลด” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
https://www.isranews.org/isranews-news/54791-54791.html
ในยุคนี้พบการทุจริตเป็นว่าเล่นทั้งในสังคมประชาชนทั่วไปและข้าราชการ
ดิฉันจึงคิดว่า..การไม่ปกป้องคนทำผิดและช่วยกันตรวจสอบเป็นการดีกว่าปล่อยให้ทำผิดแล้วปกป้องกลัวถูกครหานินทา
ยิ่งสนับสนุนให้ล้างความผิดด้วยแล้ว ยิ่งส่งเสริมให้คนทุศีลพ้นผิด คนทุศีลจึงไม่มีทางหมดไปจากแผ่นดิน
จึงต้องเอาผิดทางกฏหมายแม้ใครอาศัยความร่ำรวยหนีไปได้ก็ต้องถูกตราหน้าว่าทุศีล
เชื่อเถอะค่ะ !! คนทุศีลไม่มีความดีความเจริญในชีวิตหรอกนะคะ
❌❌~มาลาริน~ดิฉันมั่นใจ! ยุคที่ปกครองด้วยผู้นำและนักการเมืองทุศีลได้ผ่านไปแล้ว คนทุศีล..อุปมา เทพกับอสูรต่างกันอย่างไร
ผู้นำทุศีลที่มีความผิดเรื่องการทุจริตและปล่อยให้นักการเมืองทุจริต
และพยายามล้างผิดให้คนทุจริตนั้น....อยู่ในสมัยที่ผ่านมาแล้ว
อย่างน่าสะพึงกลัว
อ่านข้อความนี้ก่อนค่ะ.....❌❌❌❌❌❌❌
นักการเมืองพรรคเพื่อไทยจะพากันรับรองว่าการทำผิดกฎหมายนั้นไม่ต้องได้รับการลงโทษ แล้วประชาชนจะมีความปลอดภัยได้อย่างไร เมื่อนักการเมืองใช้เสียงข้างมากอย่างไม่คำนึงถึงหลักกฎหมาย หลักนิติธรรมและหลักความยุติธรรม นักการเมืองทุศีลก็จะได้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำสิ่งผิดกฎหมายได้ตามใจชอบ แล้วก็ออกกฎหมายยกโทษให้พวกตนเอง ประเทศชาติและประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการกระทำความผิดของนักการเมือง ย่อมไม่ได้รับความเป็นธรรม บ้านเมืองจะไม่มีคนเคารพกฎหมายและไม่เกรงกลัวที่จะทำความผิด คอรัปชั่น โกงบ้านกินเมือง แต่จะมาบังคับคนดีมีศีลธรรมให้ไม่สามารถอยู่ได้ในสังคม
https://www.change.org/
มาอ่านบทความนี้ต่อค่ะ...ขออนุญาตคัดย่อบางส่วน....🙄
พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบภาวะผู้นำ และภาวะผู้ตามที่ดีและเลว โดยการนำเทพมาเปรียบกับอสูร ซึ่งปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ 21 หมวดที่ 50 วรรค 2 ดังนี้
1. อสูรที่มีอสูรเป็นบริวารได้แก่ บุคคลผู้ทุศีลมีบริษัทเป็นผู้ทุศีล มีบาปธรรม
2. อสูรที่มีเทพเป็นบริวารได้แก่ บุคคลผู้ทุศีล แต่มีบริษัทเป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม
3. เทพที่มีอสูรเป็นบริวารได้แก่ บุคคลผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม แต่มีบริษัทเป็นผู้ทุศีล มีบาปธรรม
4. เทพที่มีเทพเป็นบริวารได้แก่ บุคคลผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ทั้งมีบริษัทเป็นเช่นนั้นด้วย
จากพุทธพจน์ในเชิงเปรียบเทียบดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าประเภทที่ 1 เลวทั้งผู้นำและผู้ตาม เรียกได้ว่าประเภทเลวล้วนหรือล้วนแต่เลว พูดเป็นภาษาคณิตศาสตร์ได้ว่าเลว 100 % ประเภทที่ 4 ดีทั้งผู้นำและผู้ตาม พูดได้ในทำนองเดียวกันกับประเภทที่ 1 แต่โดยนัยตรงกันข้ามคือดีล้วนหรือดี 100 %
ส่วนประเภทที่ 2 และ 3 ดีกับเลวผสมกัน โดยมีประเภทที่ 2 ผู้นำเลว แต่ผู้ตามดี และประเภทที่ 3 ผู้นำดี แต่ผู้ตามเลว ทั้งประเภทที่ 2 และ 3 มีเนื้อหาผสมกัน
แต่ถ้ามองในแง่การบริหาร ประเภทที่ 3 ย่อมดีกว่าประเภทที่ 2 ทั้งนี้ด้วยเหตุว่า ผู้นำเป็นผู้คิดกำหนดนโยบาย และวางแผนแล้วสั่งการให้ผู้ตามหรือลูกน้องทำ
ดังนั้น ถ้าผู้นำเลวดังเช่นประเภทที่ 2 ก็จะคิดเลว และเมื่อสั่งการให้ผู้ตามซึ่งเป็นคนดี ถ้าผู้ตามทำตามที่ได้รับคำสั่งก็จะเกิดความเสียหายแก่องค์กร และตนเองก็จะรับในสิ่งที่ทำด้วย แต่ถ้าไม่ทำตามคำสั่งก็จะถูกกดดัน บีบคั้นรังแก หรือถึงกับโยกย้ายให้พ้นทางก็เป็นไปได้
ประเภทที่ 3 ผู้นำดี ผู้ตามเลว ถ้ามองในแง่ของการบริหารย่อมดีกว่าผู้นำเลว ผู้ตามดี เพราะผู้นำคิดสั่งการให้ทำ และรับผิดชอบในสิ่งที่สั่งการไป
บุคคล 4 ประเภทจากคำสอนในเชิงเปรียบเทียบเกิดขึ้นได้อย่างไร?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอบได้ว่าไม่น่าจะเกิดจากการเลือกด้วยความสมัครใจของผู้นำ และไม่น่าจะด้วยการยอมรับของผู้ตามแน่นอน
แต่น่าจะเกิดจากปัจจัยภายนอกเช่น การเมือง เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนในกรณีดังต่อไปนี้
1. นักการเมืองซึ่งเป็นคนไม่ดี และได้เข้ามาเป็นผู้นำองค์กรของรัฐ ซึ่งมีบุคลากรส่วนใหญ่เป็นคนไม่ดี หรือส่วนใหญ่เป็นคนดี แต่ไม่ยอมรับผู้นำที่ไม่ดี จึงกลายเป็นโอกาสให้คนส่วนน้อยซึ่งเป็นคนไม่ดีวิ่งเข้าหาผู้นำ และยอมรับใช้ใกล้ชิด เปรียบได้กับคนประเภทที่ 1 คืออสูรที่มีอสูรเป็นบริวาร
2. นักการเมืองเป็นคนดี และเข้ามาเป็นผู้นำในองค์กรซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนดี เปรียบได้กับประเภทที่ 4 คือเทพที่มีเทพบริวาร
3. นักการเมืองเป็นคนไม่ดี และได้เข้ามาเป็นผู้นำในองค์กร ซึ่งคนส่วนใหญ่เป็นคนดี เปรียบได้กับประเภทที่ 2 คืออสูรที่มีเทพเป็นบริวาร
4. นักการเมืองเป็นคนดี และได้เข้ามาเป็นผู้นำในองค์กร ซึ่งบุคลากรส่วนใหญ่เป็นคนไม่ดี เปรียบได้กับประเภทที่ 3 คือเทพที่มีอสูรเป็นบริวาร
การเกิดขึ้นของบุคคล 4 ประเภทนี้ ถ้ามองในแง่ของจริยศาสตร์ และสังคมศาสตร์แล้วจะพบว่า 2 ประเภทคือ 1 และ 4 เป็นไปตามหลักของสองศาสตร์นี้คือ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม (Social Animal) และการคบหากันจะต้องยึดหลักความเหมือนกันในทำนองนกสีเดียวกัน ย่อมเข้าฝูงกันได้คือ คนเลวกับคนเลว คนดีกับคนดี
ส่วนว่าคนเลวต้องอยู่ร่วมกับคนดี หรือคนดีต้องอยู่ร่วมกับคนเลวนั้น มิได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสองศาสตร์ที่ว่านี้ และนี่เองคือจุดที่ทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคมที่คนดีอยู่ร่วมกับคนลว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสังคมที่คนเลวเป็นผู้นำ และคนดีเป็นผู้ตาม
ในสังคมที่ผู้นำเลว และผู้ตามดีจะเกิดความขัดแย้งระหว่างผู้นำกับผู้ตาม สุดท้ายแล้วผู้นำจะถูกผู้ตามขับไล่ให้พ้นไปจากความเป็นผู้นำ
ในทางกลับกัน ถ้าผู้นำเป็นคนดี และผู้ตามเป็นคนเลว ผู้นำจะต้องแก้ไขให้คนเลวกลายเป็นคนดี
แต่ถ้าทั้งผู้นำและผู้ตามเลว ก็จะทำให้สังคม หรือองค์กรที่มีบุคคลประเภทนี้อยู่ ได้รับความเสียหาย ดังที่ได้เกิดขึ้นแล้วกับสังคมไทยในยุคที่ระบอบประชานิยมครองอำนาจทางการเมือง
http://www.manager.co.th/daily/viewnews.aspx?NewsID=9570000067477
ที่ผ่านมาย่อมพิสูจน์ได้ว่า..ใครเป็นเทพตัวจริง ใครเป็นอสูร
ใครที่ทำผิดกฎหมายหนีศาลอ้างว่าถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง
ยุคทุศีลนั้นผ่านไปอย่างน่าสะพึง เพราะเกือบจะทำให้ประเทศล่มสลายทางด้านศีลธรรม
เพราะความทุศีลของผู้นำและผู้ตามที่มาอยู่รวมๆกันในรัฐบาล
ในยุคนี้ นายกฯลุงตู่มีความดีอยู่ในตัวเอง ท่านเลือกหาคนดีคนเก่ง คนมีความรู้ มีความสามารถมาร่วมงาน
ผิดกับรัฐบาลทุศีลคดโกง ก็ย่อมต้องเลือกสรรเฉพาะคนจำพวกเดียวกับตนให้เข้ามาทำงาน มีผู้สนับสนุนเป็นพวกนักเลงใช้ความรุนแรง สู้แล้วรวยเข้ามาร่วมก๊วน
ในแต่ละยุค ย่อมมีคนทุศีลปะปนกันไปบ้างแต่ผู้นำต้องหาทางแก้ไข จัดการตามกฎหมาย ไม่ให้คนเหล่านี้ทำอะไรให้เกิดความเสียหายต่อชาติบ้านเมืองได้ การตรวจสอบจึงสำคัญและไม่ปกป้องช่วยเหลือกัน
ดังเช่นรัฐบาลที่ผ่านมาไม่ตรวจสอบอะไรเลย จนมาเจอในรัฐบาลนี้
‘เฉลิม’ เบิกความคดีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายจำนำข้าว ป้อง ‘ยิ่งลักษณ์’ ไม่ละเลยปมทุจริตจำนำข้าว-ระบายข้าวจีทูจี ปลด ‘บุญทรง’ แล้วหลัง ป.ป.ช. ตั้งอนุฯสอบ ลั่นถ้าผิดหนีตั้งแต่ช่วงไปญี่ปุ่นหลังรัฐประหารแล้ว
ร.ต.อ.เฉลิม เบิกความสรุปได้ว่า หลังจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ต่อมาสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มีหนังสือท้วงติงโครงการรับจำนำข้าวถึงรัฐบาล ตนจึงตั้งข้อสังเกตว่า เขียนข้อท้วงมาในช่วงเวลาใด ขณะเดียวกันช่วงก่อนจะเริ่มโครงการรับจำนำข้าว คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทำหนังสือแนะนำให้รัฐบาลยุติโครงการรับจำนำข้าว โดยผลงานวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่ ป.ป.ช. นำมาอ้าง ไม่มีความเชื่อถือ แต่รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ นำเรื่องไปปรึกษาด้านกฎหมายกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ท้ายสุดคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี แต่ไม่มีการบันทึกไว้ว่า ป.ป.ช. ไม่มีอำนาจกำหนดนโยบายของรัฐบาล เพราะนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภามีผลผูกพันต่อรัฐสภา จึงไม่สามารถยกเลิกโครงการได้
ส่วนกรณีมีการตั้งกระทู้ถามเรื่องระบายข้าวหลายครั้งในรัฐสภานั้น ร.ต.อ.เฉลิม เบิกความสรุปได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ นำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทุกครั้ง แต่จำไม่ได้ว่ามีครั้งไหนบ้าง พร้อมกับสั่งการให้นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ (ขณะนั้น) ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการระบายข้าว ดำเนินการตรวจสอบประเด็นที่ถูกอภิปราย หากพบว่า มีความผิดให้จับกุม อย่าหวาดกลัว และให้รายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทุกครั้ง
ผมไม่รู้จักกับบริษัท สยามอินดิก้าฯ หรือเสี่ยเปี๋ยง (นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร อดีตพ่อค้าข้าวชื่อดัง จำเลยคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐโดยมิชอบ) ส่วนการตรวจสอบนายบุญทรงรายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทางวาจาว่า ไม่พบทุจริต แต่หลังจากนั้นไม่นาน คณะอนุกรรมการไต่สวน ป.ป.ช. มีความเห็นว่าคดีดังกล่าวมีมูล จนเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2556 น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีคำสั่งปลดนายบุญทรงออกจากตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ เนื่องจากมีข้อบกพร่อง ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดคงไม่มีการปลด” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
https://www.isranews.org/isranews-news/54791-54791.html
ในยุคนี้พบการทุจริตเป็นว่าเล่นทั้งในสังคมประชาชนทั่วไปและข้าราชการ
ดิฉันจึงคิดว่า..การไม่ปกป้องคนทำผิดและช่วยกันตรวจสอบเป็นการดีกว่าปล่อยให้ทำผิดแล้วปกป้องกลัวถูกครหานินทา
ยิ่งสนับสนุนให้ล้างความผิดด้วยแล้ว ยิ่งส่งเสริมให้คนทุศีลพ้นผิด คนทุศีลจึงไม่มีทางหมดไปจากแผ่นดิน
จึงต้องเอาผิดทางกฏหมายแม้ใครอาศัยความร่ำรวยหนีไปได้ก็ต้องถูกตราหน้าว่าทุศีล
เชื่อเถอะค่ะ !! คนทุศีลไม่มีความดีความเจริญในชีวิตหรอกนะคะ