Kota Kinabalu #ไม่ใช่ใครก็ไปได้
การพิชิตยอดเขาคินาบาลู ประเทศมาเลเซีย คงเป็นความฝันของใครหลายคน และก็เป็นความฝันของฉันเช่นกัน ฉันรู้จัก คินาบาลู ในชื่อ “ภูเขาแห่งความตาย” ภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวมาเลเซีย บนรัฐซาบะฮ์ ภูเขาที่ขึ้นชื่อว่า มีความสวยงามที่ติดอันดับโลก ทำให้การเดินทางมายังภูเขาลูกนี้ต้องจองคิวกันยาวร่วมครึ่งปี ..
สำหรับการเดินทางจากประเทศไทย ไป – กลับ คินาบาลู นั้น มี 2 สายการบิน
1.บินตรงจาก กรุงเทพฯ (สนามบินสุวรรณภูมิ) - โกตา คินาบาลู (Kota Kinabalu)
สายการบิน " Thai Smile " สนามสุวรรณภูมิ

2. บินจาก Bangkok - Kuala Lumpur (KL) - Kota Kinabalu
สายการบิน "Air Asia" สนามบินดอนเมือง

พวกเราเดินทางด้วยกันทั้งหมด 6 คน ขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมืองตอน 7 โมงเช้า ไปรอเปลี่ยนเครื่องที่ กัวลาลัมเปอร์ ลงที่ โคตาคินาบาลู ตอนบ่าย สาม เมื่อถึงสนามบินโคตาฯ เดินออกมา ซ้ายมือ จะมีท่ารถเข้าเมือง รถบัสโดยสาร จอดตามจุดต่างๆ ในเมือง ... ตอนไปซื้อตั๋ว เจ้าหน้าที่จะกางแผนที่ ถามจุดหมายปลายทางเรา บอกพร้อมกับบอกจุดลงรถเบ็ดเสร็จ และเก็บเงิน 5 MYR... ระยะเวลาเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง ประมาณ 10 – 15 นาที



------------------------------------
การจองโปรแกรมปีนเขารวมถึงที่พัก
เราใช้บริการของเว็บไซต์กลาง >>
http://www.mountkinabalu.com/
เว็บไซค์นี่จะมี Contact Agency ทั้งหมดเอาไว้ เราเลือก Package ได้ตามต้องการ ซึ่งเขาจะเขียนรายละเอียด ราคา เอาไว้ชัดเจน พวกเราเลือก Package 2D1N MOUNT KINABALU CLIMB (2D1N ย่อมาจาก 2 Days 1 night)
ค่าใช้จ่ายใน Package รวมทุกอย่างแล้ว ทั้งรถรับ-ส่ง , ค่าที่พัก 1 คืน บนเขา , ค่าอาหาร 4 มื้อ ,ค่า ID card , ค่าไกด์
**ไม่รวมค่าฝากกระเป๋า และ ค่าลูกหาบ**
หากเราเลือกวันที่จะไปเที่ยวได้แล้วให้คลิกเลือก " Send Enquiry " ผ่านเว็บไซต์ไปก่อน เพราะว่า เขาจำกัดจำนวนคนปีนเขาคินาบาลูไม่เกิน 200 คน / 1 วัน จากนั้น จะมีบริษัทเอเจนซี่ ติดต่อเรามาทางอีเมล์ แจ้งรายละเอียด การโอนเงิน ส่งรายชื่อ เพื่อให้เขาจัดการเรื่องเอกสารให้ทั้งหมด

สำหรับบริษัทที่ดูแลพวกเรา คือ Amazing Borneo ส่วนเรื่องการจ่ายเงิน (Payment) ทางบริษัทจะแบ่งการชำระเงินตามระยะเวลาในการจอง เราจองเกิน 1-2 เดือน จ่ายแค่ 50% ก่อน แล้วไปจ่ายอีกทีก่อนไป 7 วัน หลังจากนั้นเขาจะส่งโปรแกรม 2 วัน 1 คืนมาให้เรา ..
การเตรียมตัว – อุปกรณ์ การเดินทาง
- เสื้อกันหนาว ถุงมือ กันน้ำ / กันหนาว - เสื้อกันฝนซัก 1-2 ตัว
- ไม้เทรคกิ้ง (จำเป็นมาก) - ไฟฉายคาดหัว (จำเป็นมาก)
- รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าสำหรับเดินป่า - ขวดน้ำดื่ม – ถุงใส่น้ำดื่ม (แล้วแต่สะดวก)
- เสื้อผ้าเท่าที่จำเป็น - กล้อง , ปลั๊กพ่วง , ยาแก้ปวด ยาลดความดัน ฯลฯ
แนะนำว่าเอาไปแต่ของที่จำเป็นเท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้ว จะทิ้งแทบทุกอย่างเหมือนฉัน
-----------------------------------
เอาหล่ะ..!! การเดินทางเริ่มต้นขึ้น 6 โมงเช้า รถจากบริษัททัวร์ที่จองไว้ มารับพวกเราที่โรงแรม จากตัวเมืองเดินทางไปอุทยานฯ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ตลอดทางจะเห็นยอดเขาอยู่ไกลลิปตา พร้อมกับคนขับที่พูดตลอดทางว่า “it’s easy you can do it”
เดี๋ยวก็รู้... ฮึฮึ...

เมื่อเดินทาง ถึง " Kinabalu Park Headquarter. " เจ้าหน้าที่จะให้เรากรอกเอกสาร เป็นชื่อที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อกับบุคคลที่สามารถติดต่อได้ หากเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉินถึงขั้นเสียชีวิต เนื่องจาก ทางอุทยานฯจะไม่รับผิดชอบ (โหดดดดดด)
*เราจะ "ฝากกระเป๋า , จ้างลูกหาบ , รับ ID tag , อาหารกลางวัน " ที่นี่*



หลังจากนั้น ไกด์จะพาไปที่จุดเริ่มต้น Timpohon Gate เพื่อเริ่มออก start ก่อนจะเดิน ไกด์จะอธิบาย เส้นทางทั้งหมดที่เราจะต้องเดิน เป็นระยะทางทั้งหมด 6 กิโลเมตรเพื่อต้องไปให้ถึง Panalaban Base Camp ที่ความสูง 3,272 เมตร จากระดับน้ำทะเล ซึ่งที่พักเราจะอยู่ที่ Laban Rata สูง 3,314 เมตรจากระดับน้ำทะเล ตลอดทางจะมีช่วงหยุดพัก
ฉันจำขึ้นใจเลยกับคำพูดไกด์ ที่พูดว่า “ค่อยๆเดิน ไม่ต้องรีบ” เพราะหลังจากนี้ มีหลั่งน้ำตา


300 เมตรแรก เป็นอะไรที่เดินเรื่อยๆ เจอน้ำตก เจอต้นไม้แปลกตาแบบที่บ้านเราไม่มี กำลังเพลิดเพลินถ่ายรูปอยู่ดีดี ก็พบกับ...บันไดสูงกว่า 20 ขั้น มทั้งแบบธรรมชาติ และทางอุทยานฯทำเป็นเส้นทางไว้ให้ ขาก้าวไป ปากเริ่มอ้า หายใจเริ่มถี่ อาการหอบตามมา พวกเราพูดคุยกันน้อยลง เส้นทางเป็นขั้นบันได ต่อไปเรื่อยๆ กิโลแรก ผ่านไปก็แทบหมดแรงแล้ว ...
พอเริ่มเข้าสู่กิโลเมตรที่สอง ฝนเริ่มมา รอบข้างเริ่มมีหมอก และ กลายเป็นป่าดิบชื้น ฉันเริ่มเข้าใจแล้วว่า ข้อมูลที่หามา ทำไมไม่ค่อยมีภาพถ่ายระหว่างเดินทางขึ้นเขา เพรราะมันเหนื่อยมากจนแทบไม่มีแรงอยากจะหยิบกล้องออกมาถ่ายรูปเลยหล่ะ





กิโลเมตรที่สาม ฉันหายใจถี่ขึ้นเรื่อย ๆ หยุดพักมากขึ้น ส่วนฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด สัมภาระที่แบกมา เริ่มหนักขึ้นเพราะน้ำฝน พอเข้าสู่ กิโลเมตรที่สี่ ฉันเริ่มเจ็บซี่โครง หายใจติดขัด หนทางข้างหน้าอีกยาวไกล เพื่อนที่มาด้วยกันเริ่มทิ้งระยะห่าง ไกด์ประกบฉันมากขึ้น ฝนก็ไม่หยุดตกซะที T^T ส่วนบรรยากาศระหว่างทาง ไม่มีการดื่มด่ำกับธรรมชาติอีกต่อไป ...
กิโลเมตรที่ห้า รอบๆ เต็มไปด้วย ป่าบอนไซ สำหรับฉันมันสวยมาก และฉันก็ยังพยายามเดินต่อไป ก้มมองเท้าตัวเองที่ค่อยๆก้าวทีละก้าว ค่อยๆสูดหายใจเข้าออก และจู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมา ฉันเดินร้องไห้อยู่พักใหญ่ คิดทบทวนว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ ... จำเป็นไหมที่ต้องลำบากขนาดนี้ ... ฉันเตรียมตัวมาพอสมควรนะ ทั้งออกกำลังกาย ฝึกเดิน แต่สุดท้าย มาแพ้เรื่องระบบหายใจ ... ใจฉัน เท้าฉัน สู้มากๆ แต่นี่คิดตลอด ว่าปอดจะระเบิดเพราะรับแรงดันอากาศไม่ไหวเมื่อไหร่ ...




ห้าร้อยเมตรสุดท้าย ก่อนถึงที่พัก ฝนหยุดตก แดดเริ่มออก ตอนนี้เราอยู่เหนือก้อนเมฆแล้ว ฉันเห็นหลังคาที่พักอยู่ไม่ไกล อีกอึดใจเดียวเท่านั้น ตอนนี้เป็นเวลา 4 โมงเย็น เราเริ่มเดินกันตั้งแต่ 9 โมง ป่านนี้เพื่อนๆ คงไปถึงที่พักเรียบร้อยแล้ว
ในที่สุด ฉันก็ทำได้ Panalaban Base Camp ความสูง 3,272 เมตร จากระดับน้ำทะเล และฉันยังไม่ตาย ...



ที่พักบนอุทยานฯ Laban Rata จะแบ่งเป็นห้องพัก เตียงสองชั้น พวกเรามาหกคน ได้1ห้องไปโดยไม่ต้องแชร์ร่วมกับใคร ส่วนห้องน้ำรวม แยกชายหญิง ตามผนังจะมีข้อความให้กำลังใจมากมาย ฉันบอกเลยว่าฉันเดินอ่านทุกอัน แม้จะเหนื่อยมากก็ตาม ... สิ่งเหล่านี้คือกำลังใจชั้นดี เลยหล่ะ
ส่วนอาหาร ทางที่พักมีบริการ ตามแพคเกจที่เราจองมา ยกเว้นน้ำดื่มซึ่งแพงมาก ขวดเล็ก 7 ริงกิต ขวดใหญ่ 14 ริงกิต แต่ใครสั่งเป็นเหยือกจะคิดในราคา 15 ริงกิต





พวกเรารีบอาบน้ำพักผ่อน ไกด์นัดเวลาตื่นตี 2 และเตรียมตัวเดินทางอีกครั้งตอนตี 2 .45 ฉันกับเพื่อนอีกคน ตัดสินใจแล้ว ว่าไม่ไปต่อ ดังนั้น จึงเหลือเพื่อนอีก 4 คน ที่จะเดินทางต่อ จากLaban Rata ไปยัง Low’s Peak Summit พิชิตยอดสูงสุดอีก 2.5 กม.
------------------------------------
สำหรับการเดินทางไป จุด Low’s Peak เพื่อนฉันเล่าว่า ทางช่วงแรกจะเป็นบันไดไม้ ที่มีความชื้น ลื่นบ้าง แต่ชัน หลังจากนั้นจะเป็นการปีนป่าย จับเชือกดึงตัวเองขึ้นไปเดินบนก้อนหินแทน แต่สุดท้ายแล้ว ทั้งกลุ่มมา 6 คน พิชิตยอดเขาได้ 2 คน แวะระหว่างทาง ตรงจุด Check Point อีก 2 คน ทำให้เราทั้งหมด ได้ภาพในแต่ชั้นบรรยากาศที่แตกต่างกัน ...
จุด Check Point



จุด Low’s Peak


จุด Panalaban Base Camp


--------------------------------------
[CR] Kota Kinabalu #ไม่ใช่ใครก็ไปได้
การพิชิตยอดเขาคินาบาลู ประเทศมาเลเซีย คงเป็นความฝันของใครหลายคน และก็เป็นความฝันของฉันเช่นกัน ฉันรู้จัก คินาบาลู ในชื่อ “ภูเขาแห่งความตาย” ภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวมาเลเซีย บนรัฐซาบะฮ์ ภูเขาที่ขึ้นชื่อว่า มีความสวยงามที่ติดอันดับโลก ทำให้การเดินทางมายังภูเขาลูกนี้ต้องจองคิวกันยาวร่วมครึ่งปี ..
สำหรับการเดินทางจากประเทศไทย ไป – กลับ คินาบาลู นั้น มี 2 สายการบิน
1.บินตรงจาก กรุงเทพฯ (สนามบินสุวรรณภูมิ) - โกตา คินาบาลู (Kota Kinabalu)
สายการบิน " Thai Smile " สนามสุวรรณภูมิ
2. บินจาก Bangkok - Kuala Lumpur (KL) - Kota Kinabalu
สายการบิน "Air Asia" สนามบินดอนเมือง
พวกเราเดินทางด้วยกันทั้งหมด 6 คน ขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมืองตอน 7 โมงเช้า ไปรอเปลี่ยนเครื่องที่ กัวลาลัมเปอร์ ลงที่ โคตาคินาบาลู ตอนบ่าย สาม เมื่อถึงสนามบินโคตาฯ เดินออกมา ซ้ายมือ จะมีท่ารถเข้าเมือง รถบัสโดยสาร จอดตามจุดต่างๆ ในเมือง ... ตอนไปซื้อตั๋ว เจ้าหน้าที่จะกางแผนที่ ถามจุดหมายปลายทางเรา บอกพร้อมกับบอกจุดลงรถเบ็ดเสร็จ และเก็บเงิน 5 MYR... ระยะเวลาเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง ประมาณ 10 – 15 นาที
การจองโปรแกรมปีนเขารวมถึงที่พัก
เราใช้บริการของเว็บไซต์กลาง >> http://www.mountkinabalu.com/
เว็บไซค์นี่จะมี Contact Agency ทั้งหมดเอาไว้ เราเลือก Package ได้ตามต้องการ ซึ่งเขาจะเขียนรายละเอียด ราคา เอาไว้ชัดเจน พวกเราเลือก Package 2D1N MOUNT KINABALU CLIMB (2D1N ย่อมาจาก 2 Days 1 night)
ค่าใช้จ่ายใน Package รวมทุกอย่างแล้ว ทั้งรถรับ-ส่ง , ค่าที่พัก 1 คืน บนเขา , ค่าอาหาร 4 มื้อ ,ค่า ID card , ค่าไกด์
**ไม่รวมค่าฝากกระเป๋า และ ค่าลูกหาบ**
หากเราเลือกวันที่จะไปเที่ยวได้แล้วให้คลิกเลือก " Send Enquiry " ผ่านเว็บไซต์ไปก่อน เพราะว่า เขาจำกัดจำนวนคนปีนเขาคินาบาลูไม่เกิน 200 คน / 1 วัน จากนั้น จะมีบริษัทเอเจนซี่ ติดต่อเรามาทางอีเมล์ แจ้งรายละเอียด การโอนเงิน ส่งรายชื่อ เพื่อให้เขาจัดการเรื่องเอกสารให้ทั้งหมด
การเตรียมตัว – อุปกรณ์ การเดินทาง
- เสื้อกันหนาว ถุงมือ กันน้ำ / กันหนาว - เสื้อกันฝนซัก 1-2 ตัว
- ไม้เทรคกิ้ง (จำเป็นมาก) - ไฟฉายคาดหัว (จำเป็นมาก)
- รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าสำหรับเดินป่า - ขวดน้ำดื่ม – ถุงใส่น้ำดื่ม (แล้วแต่สะดวก)
- เสื้อผ้าเท่าที่จำเป็น - กล้อง , ปลั๊กพ่วง , ยาแก้ปวด ยาลดความดัน ฯลฯ
แนะนำว่าเอาไปแต่ของที่จำเป็นเท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้ว จะทิ้งแทบทุกอย่างเหมือนฉัน
เอาหล่ะ..!! การเดินทางเริ่มต้นขึ้น 6 โมงเช้า รถจากบริษัททัวร์ที่จองไว้ มารับพวกเราที่โรงแรม จากตัวเมืองเดินทางไปอุทยานฯ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ตลอดทางจะเห็นยอดเขาอยู่ไกลลิปตา พร้อมกับคนขับที่พูดตลอดทางว่า “it’s easy you can do it”
เดี๋ยวก็รู้... ฮึฮึ...
*เราจะ "ฝากกระเป๋า , จ้างลูกหาบ , รับ ID tag , อาหารกลางวัน " ที่นี่*
หลังจากนั้น ไกด์จะพาไปที่จุดเริ่มต้น Timpohon Gate เพื่อเริ่มออก start ก่อนจะเดิน ไกด์จะอธิบาย เส้นทางทั้งหมดที่เราจะต้องเดิน เป็นระยะทางทั้งหมด 6 กิโลเมตรเพื่อต้องไปให้ถึง Panalaban Base Camp ที่ความสูง 3,272 เมตร จากระดับน้ำทะเล ซึ่งที่พักเราจะอยู่ที่ Laban Rata สูง 3,314 เมตรจากระดับน้ำทะเล ตลอดทางจะมีช่วงหยุดพัก
ฉันจำขึ้นใจเลยกับคำพูดไกด์ ที่พูดว่า “ค่อยๆเดิน ไม่ต้องรีบ” เพราะหลังจากนี้ มีหลั่งน้ำตา
300 เมตรแรก เป็นอะไรที่เดินเรื่อยๆ เจอน้ำตก เจอต้นไม้แปลกตาแบบที่บ้านเราไม่มี กำลังเพลิดเพลินถ่ายรูปอยู่ดีดี ก็พบกับ...บันไดสูงกว่า 20 ขั้น มทั้งแบบธรรมชาติ และทางอุทยานฯทำเป็นเส้นทางไว้ให้ ขาก้าวไป ปากเริ่มอ้า หายใจเริ่มถี่ อาการหอบตามมา พวกเราพูดคุยกันน้อยลง เส้นทางเป็นขั้นบันได ต่อไปเรื่อยๆ กิโลแรก ผ่านไปก็แทบหมดแรงแล้ว ...
พอเริ่มเข้าสู่กิโลเมตรที่สอง ฝนเริ่มมา รอบข้างเริ่มมีหมอก และ กลายเป็นป่าดิบชื้น ฉันเริ่มเข้าใจแล้วว่า ข้อมูลที่หามา ทำไมไม่ค่อยมีภาพถ่ายระหว่างเดินทางขึ้นเขา เพรราะมันเหนื่อยมากจนแทบไม่มีแรงอยากจะหยิบกล้องออกมาถ่ายรูปเลยหล่ะ
กิโลเมตรที่สาม ฉันหายใจถี่ขึ้นเรื่อย ๆ หยุดพักมากขึ้น ส่วนฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด สัมภาระที่แบกมา เริ่มหนักขึ้นเพราะน้ำฝน พอเข้าสู่ กิโลเมตรที่สี่ ฉันเริ่มเจ็บซี่โครง หายใจติดขัด หนทางข้างหน้าอีกยาวไกล เพื่อนที่มาด้วยกันเริ่มทิ้งระยะห่าง ไกด์ประกบฉันมากขึ้น ฝนก็ไม่หยุดตกซะที T^T ส่วนบรรยากาศระหว่างทาง ไม่มีการดื่มด่ำกับธรรมชาติอีกต่อไป ...
กิโลเมตรที่ห้า รอบๆ เต็มไปด้วย ป่าบอนไซ สำหรับฉันมันสวยมาก และฉันก็ยังพยายามเดินต่อไป ก้มมองเท้าตัวเองที่ค่อยๆก้าวทีละก้าว ค่อยๆสูดหายใจเข้าออก และจู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมา ฉันเดินร้องไห้อยู่พักใหญ่ คิดทบทวนว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ ... จำเป็นไหมที่ต้องลำบากขนาดนี้ ... ฉันเตรียมตัวมาพอสมควรนะ ทั้งออกกำลังกาย ฝึกเดิน แต่สุดท้าย มาแพ้เรื่องระบบหายใจ ... ใจฉัน เท้าฉัน สู้มากๆ แต่นี่คิดตลอด ว่าปอดจะระเบิดเพราะรับแรงดันอากาศไม่ไหวเมื่อไหร่ ...
ห้าร้อยเมตรสุดท้าย ก่อนถึงที่พัก ฝนหยุดตก แดดเริ่มออก ตอนนี้เราอยู่เหนือก้อนเมฆแล้ว ฉันเห็นหลังคาที่พักอยู่ไม่ไกล อีกอึดใจเดียวเท่านั้น ตอนนี้เป็นเวลา 4 โมงเย็น เราเริ่มเดินกันตั้งแต่ 9 โมง ป่านนี้เพื่อนๆ คงไปถึงที่พักเรียบร้อยแล้ว
ในที่สุด ฉันก็ทำได้ Panalaban Base Camp ความสูง 3,272 เมตร จากระดับน้ำทะเล และฉันยังไม่ตาย ...
ที่พักบนอุทยานฯ Laban Rata จะแบ่งเป็นห้องพัก เตียงสองชั้น พวกเรามาหกคน ได้1ห้องไปโดยไม่ต้องแชร์ร่วมกับใคร ส่วนห้องน้ำรวม แยกชายหญิง ตามผนังจะมีข้อความให้กำลังใจมากมาย ฉันบอกเลยว่าฉันเดินอ่านทุกอัน แม้จะเหนื่อยมากก็ตาม ... สิ่งเหล่านี้คือกำลังใจชั้นดี เลยหล่ะ
ส่วนอาหาร ทางที่พักมีบริการ ตามแพคเกจที่เราจองมา ยกเว้นน้ำดื่มซึ่งแพงมาก ขวดเล็ก 7 ริงกิต ขวดใหญ่ 14 ริงกิต แต่ใครสั่งเป็นเหยือกจะคิดในราคา 15 ริงกิต
พวกเรารีบอาบน้ำพักผ่อน ไกด์นัดเวลาตื่นตี 2 และเตรียมตัวเดินทางอีกครั้งตอนตี 2 .45 ฉันกับเพื่อนอีกคน ตัดสินใจแล้ว ว่าไม่ไปต่อ ดังนั้น จึงเหลือเพื่อนอีก 4 คน ที่จะเดินทางต่อ จากLaban Rata ไปยัง Low’s Peak Summit พิชิตยอดสูงสุดอีก 2.5 กม.
สำหรับการเดินทางไป จุด Low’s Peak เพื่อนฉันเล่าว่า ทางช่วงแรกจะเป็นบันไดไม้ ที่มีความชื้น ลื่นบ้าง แต่ชัน หลังจากนั้นจะเป็นการปีนป่าย จับเชือกดึงตัวเองขึ้นไปเดินบนก้อนหินแทน แต่สุดท้ายแล้ว ทั้งกลุ่มมา 6 คน พิชิตยอดเขาได้ 2 คน แวะระหว่างทาง ตรงจุด Check Point อีก 2 คน ทำให้เราทั้งหมด ได้ภาพในแต่ชั้นบรรยากาศที่แตกต่างกัน ...
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น