ขออนุญาตตั้งกระทู้ใหม่ เนื่องจากกระทู้ที่แล้วไม่ได้เว้นวรรคและย่อหน้าหลายคนบอกว่าอ่านยาก
พระพุทธเจ้ามีอยู่จริง พระธรรม พระอรหันต์มีอยู่จริง บาปบุญ นรก สวรรค์มีอยู่จริง
ที่เล่าให้ฟังทั้งหมดนี่ เป็นประสบการณ์จริงของผม ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงทุกประการ ขอเล่าเป็นธรรมทาน
ผมและเพื่อนๆมาเข้าวัดปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิจริงจัง เมื่อเรียนอยู่ ป.ตรี ปี 3 โดยการแนะนำของ รุ่นพี่ปริญญาโทที่มหาวิทยาลัย ตอนนี้ท่านเป็นอาจารย์ คณะวิทย์ ม.มหิดลก่อนหน้านั้นผมและเพื่อนๆไปวัดทำบุญ ไหว้พระ ถวายสังฆทานกันบ่อยอยู่แล้ว แต่ไม่รู้จักการนั่งสมาธิ นั่งได้ไม่เกิน 15 นาที ครั้งแรกรุ่นพี่แนะนำให้ผมและเพื่อนๆไปปฏิบัติธรรม ถือศิล 8 จำนวน 7 วัน ที่วัดท่าซุงของหลวงพ่อฤาษี ลิงดำ ซึ่งท่านจะสอนวิชามโนมยิทธิ ผมได้ลองฝึกแล้วแต่ไม่ชอบ ได้ฟังธรรมของหลวงพ่อฤษี ที่ทางวัดเปิดให้ฟังเรื่อง กสิณ ผมเพิ่งได้ยินก็สนใจ ท่านเทศน์ว่าถ้าได้ดวงกสิณจะสามารถไปเห็นนรก สวรรค์ได้ ชอบสีไหนก็เอาสีนั้นมาเป็นกสิณ ด้วยความเป็นวัยรุ่นเรียนวิศวฯ อยากพิสูจน์ว่าจริงไหม เลยตั้งใจจะทำให้สำเร็จอยากไปเห็นนรก สวรรค์ว่ามีจริงไหม ผมชอบสีแดง จึงนำสีแดงมาภาวนา คิดถึงพลอยแดงกลมๆ แล้วภาวนาสีแดงๆๆๆๆไปด้วย ผมพยายามนั่งภาวนาสีแดงครั้งละ 1 ชม. 30 นาที วันละ 3 ครั้ง นั่งไป 6 วันไม่ได้อะไรมีแต่ปวดเมื่อยจากการนั่งนาน จนกระทั่งวันสุดท้ายวันที่ 7 ช่วงเที่ยงมานั่งภาวนาที่ศาลาแก้ว 100 เมตร ภาวนาสีแดงคิดในใจว่าวันนี้วันสุดท้ายไม่ได้อะไร ไม่เห็นนรก สวรรค์ก็ช่างมัน ปล่อยวางนั่งภาวนาสีแดงๆๆๆ ไปสักพัก เกิดอาการขนลุกไปทั้งตัว สักแปปเกิดน้ำตาไหลเหมือนคนร้องไห้ แล้วตัวมันขยายๆๆใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนจะทะลุเพดาน ผมไม่เคยเกิดอาการนี้มาก่อนในชีวิตไม่รู้ คืออะไร นั่งดูอาการนี้ในสมาธิจนครบ 1 ชม.30 นาทีแล้วกลับกุฏิ
ไม่รู้อยู่ดีๆก็ไปคุยกับพี่ท่านหนึ่งเค้าดูแปลกๆ อยู่มา 6 วันไม่เคยไปคุยกับกับเค้าเลย ไปเล่าอาการที่เกิดขึ้นในสมาธิให้เค้าฟัง เค้าบอกว่ามัน คือ อาการ "ปิติ" เป็นอาการหนึ่งของสมาธิที่ใกล้เข้า "ฌาน" แล้ว เค้าเองก็ติดอยู่อาการนี้มาหลายปี ถ้าเข้าอาการนี้อีกให้อยู่กับองค์กรรมฐาน อย่าไปสนใจอาการจะไปต่อเอง ผมไม่เคยได้ยินคำว่า "ปิติ" และ "ฌาน" มาก่อนไม่รู้คืออะไร ผมสังเกตุเค้าเวลานั่งสมาธิหรือสวดมนต์ จะตัวโยกขึ้น-ลง รุนแรงมากๆ พี่เค้าเล่าฟังว่า เคยเข้าถึง ฌาน 4 ตอนไปปฏิบัติในป่า แต่พอมาใช้ชีวิตฆราวาส เผลอไปกินเหล้าซึ่งเป็นตัวทำลายสมาธิที่สุด จึงเข้าสมาธิระดับ ฌาน ไม่ได้อีกเลยติดอยู่ที่ ปิติ มาหลายปีแล้ว พอได้ฟังอย่างนั้น ช่วงเย็นหลังจากทำวัตรเย็นเสร็จก็เริ่มนั่งภาวนา สีแดงๆๆ พร้อมกับจินตนาการพลอยแดงกลมๆ สักพักเกิดอาการขนลุกทั้งตัว น้ำตาไหลเหมือนคนร้องไห้ ตัวขยายๆๆ ผมมีสติจำคำพี่คนนั้นไม่ให้สนใจ กลับมาที่คำภาวนาและพลอยแดง สักพักแปปเดียว พลอยแดงกลมๆ มันเปลี่ยนเป็นดวงแก้ว สว่าง ไสว อาการสุข อย่างที่ไม่เคยสุขมาก่อนในชีวิต มันเป็นอาการสุขเหมือนที่เคยเกิดขึ้นตอน 8 ขวบ ผมนั่งสมาธิครั้งแรกตอนอายุ 8 ขวบ โดยเพื่อนเด็กๆ บอกให้นั่งดูแล้วจะมีพลังพิเศษ ผมจึงลองนั่งตอนนั้นไม่รู้ว่านั่งสมาธิอย่างไร คิดว่าสมาธิ คือ การไม่คิดอะไรเลย ผมจึงนั่งโดยพยายามตัดทุกความคิดเข้ามา รู้ทันทุกความคิดแล้วหยุดมันทันที นั่งไปสักพักก็เกิดความสุขมากๆ วิ่งไปทั่วทั้งร่าง เป็นความสุขที่ประมาณไม่ได้ ตัวโล่งเบาสบายไปหมด หลังจากนั้นก็ไม่เคยนั่งสมาธิจริงจังอีกเลย นี่เป็นครั้งที่ 2 ไม่มีความสุขใดในโลกเสมอเหมือนมันพุ่งไปทั่วทั้งร่างกาย ความเครียดจากการเรียนมันหายไปหมด เหลือแต่ความโล่งเบาสบายสุข อยู่กับดวงแก้วใสสว่างๆ นั่งไป 1 ชม. 30 นาทีก็ไม่รู้สึกปวดเมื่อยมีแต่ความสบาย
จนครบเวลา กระดิ่งเตือนดังขึ้นแต่ผมก็ไม่อยากออกจากสมาธิอยากนั่งต่อ จนเพื่อนๆต้องมาปลุก หลังจากเดินออกจากศาลาแก้ว ฝูงหมาหน้าศาลาก็มาตั้งแถวล้อมผมและเพื่อนๆเป็นวงกลมนั่งกันเป็นระเบียบมาก เพื่อนคนหนึ่งพูดว่า สงสัยมันนึกว่าเรามีอาหารมั้ง พอกลับกุฏิ หมาที่กุฏิก็มาตั้งแถวเป็นวงกลมล้อมผมคนเดียวอีก ผมพูดว่า "ไม่ใช่แล้ว ผมเคยได้ยินหลวงพ่อฤาษี ท่านเทศน์ว่า หมาทั้งหลายที่วัดท่าซุง อดีตเคยเกิดเป็นพระที่วัด แต่บวชกินข้าวญาติโยมแล้วไม่ปฏิบัตินั่งสมาธิ ตายไปจึงต้องมาเกิดเป็นหมาที่วัดใช้กรรมจำนวนมาก สงสัยเค้ามาอนุโมทนาบุญมั้ง" วันต่อมาก่อนกลับ กทม. ผมและเพื่อนๆไปกราบหลวงพี่สมปอง ที่บ้านสบายใจ อยู่ข้างๆวัด ทางศิษย์สายหลวงพ่อฤาษี จะเชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ไปถึงที่นั่น 12:00 น. ซึ่งท่านจะให้เข้ากราบ 13:00 น. ผมจึงนั่งสมาธิรอ นั่งสักพักก็เกิดดวงแก้วสว่าง ไสวขึ้นอีก ผมก็นั่งดูดวงแก้วจนถึงเวลา 13:00 น แล้วขึ้นไปกราบหหลวงพี่สมปองพร้อมเพื่อนๆ หลวงพี่สมปองมองแล้วยิ้มมาที่ผม ท่านกล่าวว่า “อนุโมทนาบุญกับ ฌาน 2 ด้วย” แล้วท่านก็เมตตาไล่ผลการปฏิบัติของเพื่อนแต่ละคนแบบเรียงคน ทุกคนฟังแล้วอึ้งมาก ท่านรู้นิสัยเราดียิ่งกว่าเรารู้ตัวเองเสียอีก ท่านรู้วาระจิตที่อยู่ในเบื้องลึกของจิตใจ ขนาดพวกผมครบกันมา 3 ปี ยังไม่เคยรู้มาก่อนและเพื่อนก็ยอมรับว่า หลวงพี่สมปองพูดจริง
หลังจากกลับมา กทม. แล้ว ผมก็มากราบหลวงพี่สมปองที่บ้านพุทธภูมิ แถวๆ ตลิ่งชันกับเพื่อนๆ หลวงพี่สมปองได้พูดถึงศิษย์ท่านหนึ่งปฏิบัติกับท่านมาหลายปี สามารถเข้า ฌาน 4 เวลาไหนก็ได้ และพูดติดตลกว่า ดูดวงแม่นนะ หลังจากหลวงพี่สมปองเทศเสร็จผมและเพื่อนๆจึงไปหาพี่ท่านนั้น ผมดูลักษณะพี่คนนั้นแล้วคิดในใจไม่น่าจะนั่งสมาธิได้ ผมจึงอยากลองพิสูจน์ จึงเข้าไปคุยกับพี่คนนั้นว่า “สวัสดีครับพี่ ช่วยดูดวงให้ผมได้ไหมครับ” พร้อมกับยื่นมือไปให้ พี่เค้ามองที่มือผมแปปเดียวแล้วมองหน้าผม พูดว่า “เข้าสมาธิก็เหมือนรถโดยสารจอดที่ป้ายรถ ต้องจอดให้พอดีๆ จอดเร็วไปก็ไม่ถึงป้าย จอดช้าไปก็เลยป้าย น้องต้องไปฝึกจอดให้พอดีๆ ป้าย จะเข้าสมาธิได้ดีและบ่อยขึ้น น้องปฏิบัติได้ดีและเร็วมากๆแปปเดียวก็เข้า ฌานได้แล้ว”
หลังจากที่ผมได้ดวงแก้วก็มาฝึกอยู่เรื่อยๆ และก็ซื้อดวงแก้วใส จากวัดปทุมวนาราม ของหลวงพ่อถาวร มาพกติดตัวตลอดเวลาไว้ปฏิบัติ ช่วงนั้นทำให้ผมเห็น ผี บ่อยมากๆ ตอนเด็กๆ ก่อนอายุ 9 ขวบเห็นเป็นประจำอยู่แล้ว พออายุเลย 9 ขวบ ก็ไม่เคยเห็นอีกเลย จนกระทั่งได้ดวงแก้ว ไปไหนก็เห็น โดยเฉพาะหอพักของผมซึ่งเป็นหอพักของมหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ตรงถนนพญาไท มีผีเยอะๆ มากๆ เห็นเลางๆ เป็นพวกสัมภเวสี ไม่ได้น่ากลัวอะไร น่าสงสารมากกว่าดูไม่สมประกอบ จะอยู่ตามบันไดระหว่างชั้น จะอยู่กันเยอะที่บันไดชั้น 12 และ 13 และจะเห็นดวงวิญญานชุดสีขาวเดินมาที่เตียงรูมเมทผมทุกวัน ซึ่งผมก็รูมเมทก็เห็นพร้อมกันและมองหน้ากันว่าเห็นใช่ไหม ต่างคน ต่างบอกว่า ใช่ รูมเมทผม ชาติที่แล้วที่เคยเป็นทหารฆ่าคนมาเยอะเลยมีดวงวิญญานตามมาเยอะ ครั้งหนึ่งตอนปี 4 ผมไปเข้าค่ายที่ เพชรบุรี กับมหาวิทยาลัย ที่ค่ายทหารเห็นหนึ่ง ระว่างเดินเข้าที่พักซึ่งเป็นโรงนอนรวมขนาดใหญ่ ผมเหลือบขึ้นไปบนต้นไม้เห็น ผู้หญิงสวยใส่ชุดไทย สวมชฎา ยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ผมไม่ได้พูดอะไร หลังจากเก็บสัมภาระแล้ว ทหารก็เรียก นิสิตทุกคนมายืมหน้าต้นไม้ใหญ่นั่น แล้วพูดว่า ต้นไม้นี้มีเจ้าแม่ตะเคียนทองอยู่ ให้ทุกคนสวดมนต์พร้อมกันแล้วกราบท่านซะแล้วอย่าหลบหลู่ท่านหล่ะ จะได้นอนหลับได้ปกติ ผมถึงบางอ้อเลย ทำไมถึงเห็นผู้หญิงใส่ชุดไทยสวยยืนอยู่บนต้นไม้ก่อนเข้าที่พัก
ตอนมีดวงแก้วอยู่ตอนนั้นคิดอะไรอยากได้อะไรอธิฐานขอกับดวงแก้วก็สมหวังทุกประการจนหน้าอัศจรรย์ใจ มีครั้งหนึ่งอยากได้หนังสือเล่มหนึ่งมากๆ แต่ไม่มีเงินซื้อ จึงอธิฐานขอในใจไม่ได้บอกใคร กลับมาที่หอเพื่อนเอาหนังสือเล่มนั้นมาวางที่โต๊ะผมแล้วบอกว่าอยากเอามาให้ผมอ่าน ตอนเรียนปี 4 เครียดมากๆ จึงไม่มีเวลาปฏิบัติ จนกระทั่งเรียนจบ ดวงแก้วก็เลือนหายไป แล้วผมก็ไม่เห็น ผี อีกเลย เรียนจบมาก็ไปทำงานที่สนามบินดอนเมืองตามชีวิตคนทำงานปกติ กทม. รถติดมากๆ กลับถึงบ้าน 3 ทุ่มทุกวัน มีเวลาสวดมนต์นั่งสมาธิวันละ 30 นาที แต่ไม่ได้เข้าสมาธิถึงขั้นสงบอะไร เมื่อเรียนจบไม่นานแม่ก็ล้มป่วย เป็นหลายโรครุมเร้า เข้า ICU บ่อยมากๆ จนกระทั่ง ยมบาลพาไปเที่ยวนรก หมอบอกว่าไม่รอดแน่ๆ ให้จองวัดได้เลย ทำงานได้ 1 ปี ผมจึงลาออกจากงานมาบวชให้แม่เมื่อปี 53 ที่วัดปทุมวนารามซึ่งหลวงพี่เห็นผมมาทำบุญที่วัดเป็นประจำทุกวันสมัยเรียนจึงชวนผมบวช ผมกับเพื่อนสนิทบวชได้ 3 วัน หลวงพี่ท่านชวนให้ไปอยู่วัดป่าแถว วังน้ำเขียว พระอาจารย์ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านรู้ทุกอย่าง รู้วาระจิตเรา รู้อดีตชาติของเรา สนใจไหม ผมกับเพื่อนได้ยินอย่างนั้นก็ตอบตกลงในทันที ท่านจึงส่งไปอยู่กับพระอาจารย์โสภา สมโน ที่วัดแสงธรรมวังเขาเขียว ที่ อ.วังน้ำเขียว เป็นสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเป็นศิษย์ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นวัดป่าที่ค่อนข้างเคร่ง ฉันข้าวมื้อเดียวในบาตร วัดไม่มีไฟฟ้าใช้ ห้ามพกมือถือ ห้ามจับเงิน ท่านสอนให้ภาวนา พุทโธๆๆ ผมอยู่ที่วัด 1 เดือนแอบนำดวงแก้วมาภาวนา ไม่เคยภาวนา พุทโธ เลย จนกระทั่งวันหนึ่งเณรน้อยแอบเอาดวงแล้วที่ผมพกติดตัวไปเล่น พระอาจารย์โสภาท่านหยิบดวงแก้ว แล้วปล่อยลงพื้นให้แตกเป็นรอยร้าว ผมก็ก็กระวนกระวายใจมากไม่รู้จะฝึกอะไร จึงเริ่มภาวนา พุทโธๆๆ แล้วพระอาจารย์โสภาก็ส่งผมกับเพื่อนไปปฏิบัติบนเขาสลัดไดเป็นเวลา 1 เดือน ท่านเมตตาพาผมและเพื่อนๆ ไปส่งบนเขาด้วยตนเอง ระหว่างเดินทางท่านกล่าวว่า “ขึ้นไปบนเขาตั้งใจภาวนา พุทโธ นะแล้วจะได้ของดี”
พอขึ้นไปบนเขา ไม่มีอะไรเลย ไม่มีไฟฟ้า ปักกลตอยู่ในป่า ไม่รู้จะทำอะไร ก็ปฏิบัติ เดินจงกรม นั่งสมาธิสลับกันครั้งละ 2-3 ชม. วันละ 8-10 ชม. อยู่ในป่าที่เงียบสงบไม่มีอะไรให้ทำ อยู่กัน 2 คน ถ้าไม่นั่งสมาธิ เดินจงกรมก้จะเบื่อและฟุ้งซ่านมากๆ กลางคืนก็มืดสนิท ชวนวังเวงให้จินตนาการถึงผีและช้างป่า ผมตั้งใจภาวนา พุทโธๆๆ แต่ไม่ได้เกิดอะไร นั่งสลับเดินจงกรม หลายสัปดาห์ก็มีแต่ความปวดเมื่อย หลังจากนั่งเข้าสัปดาห์ที่ 3 ทุกวันวันละ 8-10 ชั่วโมง มันเกิดความสงบ จิตมันทิ้งคำภาวนาพุทโธ ไปเอง มีสติอยู่กับลมหายใจเข้า ออก รู้เห็นลมหายใจ เข้าออก ลมหายใจค่อยๆ ละเอียดๆ ลึกลงเรื่อยๆ ตัวค่อยๆ ตั้งตรงเป็นไม้บรรทัด ลมหายใจละเอียดจนดับหายไป ผมมีสติรับรู้การเปลี่ยนแปลงของกายและลมหายใจตลอดรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นไม่ได้ตกใจ แม้ลมหายใจหายก็รู้ว่าไม่ตาย เมื่อไม่สามารถจับลมหายใจได้ มันเกิดดวงแล้ว สว่าง ไสว ขึ้นที่กลางหว่างคิ้ว สว่างสวยงามมากๆ ผมเอาสติไปวางที่นั่น นั่งดูดวงแก้วเฉยๆ ไม่มีลมหายใจและความรู้สึกทางกายอีกเลย สักแต่ว่ารู้ นั่งอยู่หลายชั่วโมง เมื่อจิตหมดกำลัง ลมหายใจก็ค่อยๆปรากฏอีกครั้ง เกิดความสุขขึ้นอย่างมากนี่เป็นครั้งที่ 3 ที่เกิดความรู้สึกแบบนี้
ผมลองกำหนดจิตว่าเพื่อนอยู่ไหน ก็ได้ขึ้นเสียงผีเท้าเพื่อนเดิน ดังกระทบที่หูผมชัดเจน และได้ยินเสียงความคิดเพื่อนดังในหูจนแสบแก้วหู ผมลองเอาจิตมาวางที่หัวใจตนเอง ได้ยินเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะ ตุ๊บๆๆๆ ชัดเจนในหูผม เป็นที่น่าอัศจรรย์มาก หลังจากวันนั้นก็พอเริ่มภาวนาพุทโธ ได้ 5 นาที ก็เกิดอาการ เต้นตุ๊บๆๆๆ เหมือนชีพจรเต้นที่หว่างคิ้ว พอพุทโธหายอยู่กับความสงบไปตอลด 2 ชั่วโมง นั่งไม่ถึง 5 นาทีก็เข้าสมาธิแล้ว วันหนึ่งออกจากสมาธิเวลากลางคืนแล้วไม่ได้แผ่เมตตา เห็นเทวดาสีขาวลางๆ มายืนล้อมผมเป็นร้อยเป็นพันองค์ ผมรู้ทันทีต้องแผ่เมตตาให้ท่านแล้วท่านก็เลือนหายไป องค์พระหลวงตามหาบัว เคยมาที่วัดบอกว่า "ที่มาเทศน์ที่นี่ (วังน้ำเขียว) ไม่ได้มาโปรดญาติโยมอย่างเดียว แต่ที่นี่มีเทวดาเยอะมากๆ อยู่บนป่าเขา" ผมเข้าใจวันนี้ หลังจากนั้นทุกครั้งที่ภาวนา พุทโธ ก็จะเกิดอาการ ตุ๊บๆๆ ที่หว่างคิ้วทุกครั้งและเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ
ประสบการณ์การปฏิบัติ ภาวนา พระพุทธเจ้ามีอยู่จริง พระธรรม พระอรหันต์มีอยู่จริง บาปบุญ นรก สวรรค์มีอยู่จริง
พระพุทธเจ้ามีอยู่จริง พระธรรม พระอรหันต์มีอยู่จริง บาปบุญ นรก สวรรค์มีอยู่จริง
ที่เล่าให้ฟังทั้งหมดนี่ เป็นประสบการณ์จริงของผม ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงทุกประการ ขอเล่าเป็นธรรมทาน
ผมและเพื่อนๆมาเข้าวัดปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิจริงจัง เมื่อเรียนอยู่ ป.ตรี ปี 3 โดยการแนะนำของ รุ่นพี่ปริญญาโทที่มหาวิทยาลัย ตอนนี้ท่านเป็นอาจารย์ คณะวิทย์ ม.มหิดลก่อนหน้านั้นผมและเพื่อนๆไปวัดทำบุญ ไหว้พระ ถวายสังฆทานกันบ่อยอยู่แล้ว แต่ไม่รู้จักการนั่งสมาธิ นั่งได้ไม่เกิน 15 นาที ครั้งแรกรุ่นพี่แนะนำให้ผมและเพื่อนๆไปปฏิบัติธรรม ถือศิล 8 จำนวน 7 วัน ที่วัดท่าซุงของหลวงพ่อฤาษี ลิงดำ ซึ่งท่านจะสอนวิชามโนมยิทธิ ผมได้ลองฝึกแล้วแต่ไม่ชอบ ได้ฟังธรรมของหลวงพ่อฤษี ที่ทางวัดเปิดให้ฟังเรื่อง กสิณ ผมเพิ่งได้ยินก็สนใจ ท่านเทศน์ว่าถ้าได้ดวงกสิณจะสามารถไปเห็นนรก สวรรค์ได้ ชอบสีไหนก็เอาสีนั้นมาเป็นกสิณ ด้วยความเป็นวัยรุ่นเรียนวิศวฯ อยากพิสูจน์ว่าจริงไหม เลยตั้งใจจะทำให้สำเร็จอยากไปเห็นนรก สวรรค์ว่ามีจริงไหม ผมชอบสีแดง จึงนำสีแดงมาภาวนา คิดถึงพลอยแดงกลมๆ แล้วภาวนาสีแดงๆๆๆๆไปด้วย ผมพยายามนั่งภาวนาสีแดงครั้งละ 1 ชม. 30 นาที วันละ 3 ครั้ง นั่งไป 6 วันไม่ได้อะไรมีแต่ปวดเมื่อยจากการนั่งนาน จนกระทั่งวันสุดท้ายวันที่ 7 ช่วงเที่ยงมานั่งภาวนาที่ศาลาแก้ว 100 เมตร ภาวนาสีแดงคิดในใจว่าวันนี้วันสุดท้ายไม่ได้อะไร ไม่เห็นนรก สวรรค์ก็ช่างมัน ปล่อยวางนั่งภาวนาสีแดงๆๆๆ ไปสักพัก เกิดอาการขนลุกไปทั้งตัว สักแปปเกิดน้ำตาไหลเหมือนคนร้องไห้ แล้วตัวมันขยายๆๆใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนจะทะลุเพดาน ผมไม่เคยเกิดอาการนี้มาก่อนในชีวิตไม่รู้ คืออะไร นั่งดูอาการนี้ในสมาธิจนครบ 1 ชม.30 นาทีแล้วกลับกุฏิ
ไม่รู้อยู่ดีๆก็ไปคุยกับพี่ท่านหนึ่งเค้าดูแปลกๆ อยู่มา 6 วันไม่เคยไปคุยกับกับเค้าเลย ไปเล่าอาการที่เกิดขึ้นในสมาธิให้เค้าฟัง เค้าบอกว่ามัน คือ อาการ "ปิติ" เป็นอาการหนึ่งของสมาธิที่ใกล้เข้า "ฌาน" แล้ว เค้าเองก็ติดอยู่อาการนี้มาหลายปี ถ้าเข้าอาการนี้อีกให้อยู่กับองค์กรรมฐาน อย่าไปสนใจอาการจะไปต่อเอง ผมไม่เคยได้ยินคำว่า "ปิติ" และ "ฌาน" มาก่อนไม่รู้คืออะไร ผมสังเกตุเค้าเวลานั่งสมาธิหรือสวดมนต์ จะตัวโยกขึ้น-ลง รุนแรงมากๆ พี่เค้าเล่าฟังว่า เคยเข้าถึง ฌาน 4 ตอนไปปฏิบัติในป่า แต่พอมาใช้ชีวิตฆราวาส เผลอไปกินเหล้าซึ่งเป็นตัวทำลายสมาธิที่สุด จึงเข้าสมาธิระดับ ฌาน ไม่ได้อีกเลยติดอยู่ที่ ปิติ มาหลายปีแล้ว พอได้ฟังอย่างนั้น ช่วงเย็นหลังจากทำวัตรเย็นเสร็จก็เริ่มนั่งภาวนา สีแดงๆๆ พร้อมกับจินตนาการพลอยแดงกลมๆ สักพักเกิดอาการขนลุกทั้งตัว น้ำตาไหลเหมือนคนร้องไห้ ตัวขยายๆๆ ผมมีสติจำคำพี่คนนั้นไม่ให้สนใจ กลับมาที่คำภาวนาและพลอยแดง สักพักแปปเดียว พลอยแดงกลมๆ มันเปลี่ยนเป็นดวงแก้ว สว่าง ไสว อาการสุข อย่างที่ไม่เคยสุขมาก่อนในชีวิต มันเป็นอาการสุขเหมือนที่เคยเกิดขึ้นตอน 8 ขวบ ผมนั่งสมาธิครั้งแรกตอนอายุ 8 ขวบ โดยเพื่อนเด็กๆ บอกให้นั่งดูแล้วจะมีพลังพิเศษ ผมจึงลองนั่งตอนนั้นไม่รู้ว่านั่งสมาธิอย่างไร คิดว่าสมาธิ คือ การไม่คิดอะไรเลย ผมจึงนั่งโดยพยายามตัดทุกความคิดเข้ามา รู้ทันทุกความคิดแล้วหยุดมันทันที นั่งไปสักพักก็เกิดความสุขมากๆ วิ่งไปทั่วทั้งร่าง เป็นความสุขที่ประมาณไม่ได้ ตัวโล่งเบาสบายไปหมด หลังจากนั้นก็ไม่เคยนั่งสมาธิจริงจังอีกเลย นี่เป็นครั้งที่ 2 ไม่มีความสุขใดในโลกเสมอเหมือนมันพุ่งไปทั่วทั้งร่างกาย ความเครียดจากการเรียนมันหายไปหมด เหลือแต่ความโล่งเบาสบายสุข อยู่กับดวงแก้วใสสว่างๆ นั่งไป 1 ชม. 30 นาทีก็ไม่รู้สึกปวดเมื่อยมีแต่ความสบาย
จนครบเวลา กระดิ่งเตือนดังขึ้นแต่ผมก็ไม่อยากออกจากสมาธิอยากนั่งต่อ จนเพื่อนๆต้องมาปลุก หลังจากเดินออกจากศาลาแก้ว ฝูงหมาหน้าศาลาก็มาตั้งแถวล้อมผมและเพื่อนๆเป็นวงกลมนั่งกันเป็นระเบียบมาก เพื่อนคนหนึ่งพูดว่า สงสัยมันนึกว่าเรามีอาหารมั้ง พอกลับกุฏิ หมาที่กุฏิก็มาตั้งแถวเป็นวงกลมล้อมผมคนเดียวอีก ผมพูดว่า "ไม่ใช่แล้ว ผมเคยได้ยินหลวงพ่อฤาษี ท่านเทศน์ว่า หมาทั้งหลายที่วัดท่าซุง อดีตเคยเกิดเป็นพระที่วัด แต่บวชกินข้าวญาติโยมแล้วไม่ปฏิบัตินั่งสมาธิ ตายไปจึงต้องมาเกิดเป็นหมาที่วัดใช้กรรมจำนวนมาก สงสัยเค้ามาอนุโมทนาบุญมั้ง" วันต่อมาก่อนกลับ กทม. ผมและเพื่อนๆไปกราบหลวงพี่สมปอง ที่บ้านสบายใจ อยู่ข้างๆวัด ทางศิษย์สายหลวงพ่อฤาษี จะเชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ไปถึงที่นั่น 12:00 น. ซึ่งท่านจะให้เข้ากราบ 13:00 น. ผมจึงนั่งสมาธิรอ นั่งสักพักก็เกิดดวงแก้วสว่าง ไสวขึ้นอีก ผมก็นั่งดูดวงแก้วจนถึงเวลา 13:00 น แล้วขึ้นไปกราบหหลวงพี่สมปองพร้อมเพื่อนๆ หลวงพี่สมปองมองแล้วยิ้มมาที่ผม ท่านกล่าวว่า “อนุโมทนาบุญกับ ฌาน 2 ด้วย” แล้วท่านก็เมตตาไล่ผลการปฏิบัติของเพื่อนแต่ละคนแบบเรียงคน ทุกคนฟังแล้วอึ้งมาก ท่านรู้นิสัยเราดียิ่งกว่าเรารู้ตัวเองเสียอีก ท่านรู้วาระจิตที่อยู่ในเบื้องลึกของจิตใจ ขนาดพวกผมครบกันมา 3 ปี ยังไม่เคยรู้มาก่อนและเพื่อนก็ยอมรับว่า หลวงพี่สมปองพูดจริง
หลังจากกลับมา กทม. แล้ว ผมก็มากราบหลวงพี่สมปองที่บ้านพุทธภูมิ แถวๆ ตลิ่งชันกับเพื่อนๆ หลวงพี่สมปองได้พูดถึงศิษย์ท่านหนึ่งปฏิบัติกับท่านมาหลายปี สามารถเข้า ฌาน 4 เวลาไหนก็ได้ และพูดติดตลกว่า ดูดวงแม่นนะ หลังจากหลวงพี่สมปองเทศเสร็จผมและเพื่อนๆจึงไปหาพี่ท่านนั้น ผมดูลักษณะพี่คนนั้นแล้วคิดในใจไม่น่าจะนั่งสมาธิได้ ผมจึงอยากลองพิสูจน์ จึงเข้าไปคุยกับพี่คนนั้นว่า “สวัสดีครับพี่ ช่วยดูดวงให้ผมได้ไหมครับ” พร้อมกับยื่นมือไปให้ พี่เค้ามองที่มือผมแปปเดียวแล้วมองหน้าผม พูดว่า “เข้าสมาธิก็เหมือนรถโดยสารจอดที่ป้ายรถ ต้องจอดให้พอดีๆ จอดเร็วไปก็ไม่ถึงป้าย จอดช้าไปก็เลยป้าย น้องต้องไปฝึกจอดให้พอดีๆ ป้าย จะเข้าสมาธิได้ดีและบ่อยขึ้น น้องปฏิบัติได้ดีและเร็วมากๆแปปเดียวก็เข้า ฌานได้แล้ว”
หลังจากที่ผมได้ดวงแก้วก็มาฝึกอยู่เรื่อยๆ และก็ซื้อดวงแก้วใส จากวัดปทุมวนาราม ของหลวงพ่อถาวร มาพกติดตัวตลอดเวลาไว้ปฏิบัติ ช่วงนั้นทำให้ผมเห็น ผี บ่อยมากๆ ตอนเด็กๆ ก่อนอายุ 9 ขวบเห็นเป็นประจำอยู่แล้ว พออายุเลย 9 ขวบ ก็ไม่เคยเห็นอีกเลย จนกระทั่งได้ดวงแก้ว ไปไหนก็เห็น โดยเฉพาะหอพักของผมซึ่งเป็นหอพักของมหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ตรงถนนพญาไท มีผีเยอะๆ มากๆ เห็นเลางๆ เป็นพวกสัมภเวสี ไม่ได้น่ากลัวอะไร น่าสงสารมากกว่าดูไม่สมประกอบ จะอยู่ตามบันไดระหว่างชั้น จะอยู่กันเยอะที่บันไดชั้น 12 และ 13 และจะเห็นดวงวิญญานชุดสีขาวเดินมาที่เตียงรูมเมทผมทุกวัน ซึ่งผมก็รูมเมทก็เห็นพร้อมกันและมองหน้ากันว่าเห็นใช่ไหม ต่างคน ต่างบอกว่า ใช่ รูมเมทผม ชาติที่แล้วที่เคยเป็นทหารฆ่าคนมาเยอะเลยมีดวงวิญญานตามมาเยอะ ครั้งหนึ่งตอนปี 4 ผมไปเข้าค่ายที่ เพชรบุรี กับมหาวิทยาลัย ที่ค่ายทหารเห็นหนึ่ง ระว่างเดินเข้าที่พักซึ่งเป็นโรงนอนรวมขนาดใหญ่ ผมเหลือบขึ้นไปบนต้นไม้เห็น ผู้หญิงสวยใส่ชุดไทย สวมชฎา ยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ผมไม่ได้พูดอะไร หลังจากเก็บสัมภาระแล้ว ทหารก็เรียก นิสิตทุกคนมายืมหน้าต้นไม้ใหญ่นั่น แล้วพูดว่า ต้นไม้นี้มีเจ้าแม่ตะเคียนทองอยู่ ให้ทุกคนสวดมนต์พร้อมกันแล้วกราบท่านซะแล้วอย่าหลบหลู่ท่านหล่ะ จะได้นอนหลับได้ปกติ ผมถึงบางอ้อเลย ทำไมถึงเห็นผู้หญิงใส่ชุดไทยสวยยืนอยู่บนต้นไม้ก่อนเข้าที่พัก
ตอนมีดวงแก้วอยู่ตอนนั้นคิดอะไรอยากได้อะไรอธิฐานขอกับดวงแก้วก็สมหวังทุกประการจนหน้าอัศจรรย์ใจ มีครั้งหนึ่งอยากได้หนังสือเล่มหนึ่งมากๆ แต่ไม่มีเงินซื้อ จึงอธิฐานขอในใจไม่ได้บอกใคร กลับมาที่หอเพื่อนเอาหนังสือเล่มนั้นมาวางที่โต๊ะผมแล้วบอกว่าอยากเอามาให้ผมอ่าน ตอนเรียนปี 4 เครียดมากๆ จึงไม่มีเวลาปฏิบัติ จนกระทั่งเรียนจบ ดวงแก้วก็เลือนหายไป แล้วผมก็ไม่เห็น ผี อีกเลย เรียนจบมาก็ไปทำงานที่สนามบินดอนเมืองตามชีวิตคนทำงานปกติ กทม. รถติดมากๆ กลับถึงบ้าน 3 ทุ่มทุกวัน มีเวลาสวดมนต์นั่งสมาธิวันละ 30 นาที แต่ไม่ได้เข้าสมาธิถึงขั้นสงบอะไร เมื่อเรียนจบไม่นานแม่ก็ล้มป่วย เป็นหลายโรครุมเร้า เข้า ICU บ่อยมากๆ จนกระทั่ง ยมบาลพาไปเที่ยวนรก หมอบอกว่าไม่รอดแน่ๆ ให้จองวัดได้เลย ทำงานได้ 1 ปี ผมจึงลาออกจากงานมาบวชให้แม่เมื่อปี 53 ที่วัดปทุมวนารามซึ่งหลวงพี่เห็นผมมาทำบุญที่วัดเป็นประจำทุกวันสมัยเรียนจึงชวนผมบวช ผมกับเพื่อนสนิทบวชได้ 3 วัน หลวงพี่ท่านชวนให้ไปอยู่วัดป่าแถว วังน้ำเขียว พระอาจารย์ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านรู้ทุกอย่าง รู้วาระจิตเรา รู้อดีตชาติของเรา สนใจไหม ผมกับเพื่อนได้ยินอย่างนั้นก็ตอบตกลงในทันที ท่านจึงส่งไปอยู่กับพระอาจารย์โสภา สมโน ที่วัดแสงธรรมวังเขาเขียว ที่ อ.วังน้ำเขียว เป็นสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเป็นศิษย์ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นวัดป่าที่ค่อนข้างเคร่ง ฉันข้าวมื้อเดียวในบาตร วัดไม่มีไฟฟ้าใช้ ห้ามพกมือถือ ห้ามจับเงิน ท่านสอนให้ภาวนา พุทโธๆๆ ผมอยู่ที่วัด 1 เดือนแอบนำดวงแก้วมาภาวนา ไม่เคยภาวนา พุทโธ เลย จนกระทั่งวันหนึ่งเณรน้อยแอบเอาดวงแล้วที่ผมพกติดตัวไปเล่น พระอาจารย์โสภาท่านหยิบดวงแก้ว แล้วปล่อยลงพื้นให้แตกเป็นรอยร้าว ผมก็ก็กระวนกระวายใจมากไม่รู้จะฝึกอะไร จึงเริ่มภาวนา พุทโธๆๆ แล้วพระอาจารย์โสภาก็ส่งผมกับเพื่อนไปปฏิบัติบนเขาสลัดไดเป็นเวลา 1 เดือน ท่านเมตตาพาผมและเพื่อนๆ ไปส่งบนเขาด้วยตนเอง ระหว่างเดินทางท่านกล่าวว่า “ขึ้นไปบนเขาตั้งใจภาวนา พุทโธ นะแล้วจะได้ของดี”
พอขึ้นไปบนเขา ไม่มีอะไรเลย ไม่มีไฟฟ้า ปักกลตอยู่ในป่า ไม่รู้จะทำอะไร ก็ปฏิบัติ เดินจงกรม นั่งสมาธิสลับกันครั้งละ 2-3 ชม. วันละ 8-10 ชม. อยู่ในป่าที่เงียบสงบไม่มีอะไรให้ทำ อยู่กัน 2 คน ถ้าไม่นั่งสมาธิ เดินจงกรมก้จะเบื่อและฟุ้งซ่านมากๆ กลางคืนก็มืดสนิท ชวนวังเวงให้จินตนาการถึงผีและช้างป่า ผมตั้งใจภาวนา พุทโธๆๆ แต่ไม่ได้เกิดอะไร นั่งสลับเดินจงกรม หลายสัปดาห์ก็มีแต่ความปวดเมื่อย หลังจากนั่งเข้าสัปดาห์ที่ 3 ทุกวันวันละ 8-10 ชั่วโมง มันเกิดความสงบ จิตมันทิ้งคำภาวนาพุทโธ ไปเอง มีสติอยู่กับลมหายใจเข้า ออก รู้เห็นลมหายใจ เข้าออก ลมหายใจค่อยๆ ละเอียดๆ ลึกลงเรื่อยๆ ตัวค่อยๆ ตั้งตรงเป็นไม้บรรทัด ลมหายใจละเอียดจนดับหายไป ผมมีสติรับรู้การเปลี่ยนแปลงของกายและลมหายใจตลอดรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นไม่ได้ตกใจ แม้ลมหายใจหายก็รู้ว่าไม่ตาย เมื่อไม่สามารถจับลมหายใจได้ มันเกิดดวงแล้ว สว่าง ไสว ขึ้นที่กลางหว่างคิ้ว สว่างสวยงามมากๆ ผมเอาสติไปวางที่นั่น นั่งดูดวงแก้วเฉยๆ ไม่มีลมหายใจและความรู้สึกทางกายอีกเลย สักแต่ว่ารู้ นั่งอยู่หลายชั่วโมง เมื่อจิตหมดกำลัง ลมหายใจก็ค่อยๆปรากฏอีกครั้ง เกิดความสุขขึ้นอย่างมากนี่เป็นครั้งที่ 3 ที่เกิดความรู้สึกแบบนี้
ผมลองกำหนดจิตว่าเพื่อนอยู่ไหน ก็ได้ขึ้นเสียงผีเท้าเพื่อนเดิน ดังกระทบที่หูผมชัดเจน และได้ยินเสียงความคิดเพื่อนดังในหูจนแสบแก้วหู ผมลองเอาจิตมาวางที่หัวใจตนเอง ได้ยินเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะ ตุ๊บๆๆๆ ชัดเจนในหูผม เป็นที่น่าอัศจรรย์มาก หลังจากวันนั้นก็พอเริ่มภาวนาพุทโธ ได้ 5 นาที ก็เกิดอาการ เต้นตุ๊บๆๆๆ เหมือนชีพจรเต้นที่หว่างคิ้ว พอพุทโธหายอยู่กับความสงบไปตอลด 2 ชั่วโมง นั่งไม่ถึง 5 นาทีก็เข้าสมาธิแล้ว วันหนึ่งออกจากสมาธิเวลากลางคืนแล้วไม่ได้แผ่เมตตา เห็นเทวดาสีขาวลางๆ มายืนล้อมผมเป็นร้อยเป็นพันองค์ ผมรู้ทันทีต้องแผ่เมตตาให้ท่านแล้วท่านก็เลือนหายไป องค์พระหลวงตามหาบัว เคยมาที่วัดบอกว่า "ที่มาเทศน์ที่นี่ (วังน้ำเขียว) ไม่ได้มาโปรดญาติโยมอย่างเดียว แต่ที่นี่มีเทวดาเยอะมากๆ อยู่บนป่าเขา" ผมเข้าใจวันนี้ หลังจากนั้นทุกครั้งที่ภาวนา พุทโธ ก็จะเกิดอาการ ตุ๊บๆๆ ที่หว่างคิ้วทุกครั้งและเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ