คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
ถ้าจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ต้องรับกับการเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยให้ได้ ซึ่งปัจจุบันถือว่าเสี่ยงต่อความมั่นคง ขอฝาก 10 ข้อนี้ไว้ให้ครุ่นคิดและพิจารณานะครับ
1. ปัจจุบันอาจารย์มหาวิทยาลัย จะบรรจุเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ซึ่งขึ้นชื่อว่าบรรจุ แต่ก็เป็นแบบสัญญาจ้าง ระยะเวลา 1-3-5 ปีแล้วแต่ที่ ต้องมีการประเมินเพื่อต่อสัญญาจ้างเป็นระยะ และปัจจุบัน ความก้าวหน้าเป็นแบบ tenure track คือต้องได้ ผศ. ภายใน 5 ปี และหลังได้ ผศ. แล้วต้องได้ รศ. ภายใน 7 ปี จึงจะได้สัญญาถาวร ถ้าไม่เป็นไปตามนี้ก็จะไม่ต่อสัญญาจ้าง พูดง่ายๆ คือถ้าไม่ก้าวหน้าก็ตกงานไปเลย (คงไม่สนุกถ้าตกงานตอนอายุ 40 กว่าๆ)
*** เห็นว่ากำลังจะปรับเกณฑ์ tenure track ใหม่ ต้องไปให้ถึง ศ. ถึงจะเป็นสัญญาถาวร ต่อไปคงมี ศ. เดินว่อนเมือง ***
2. สวัสดิการ ประกันสังคมและประกันสุขภาพกลุ่ม ซึ่งไม่เหมือนกันแล้วแต่แต่ละมหาวิทยาลัยจัดให้ แต่อย่างไรก็ตามถ้าเทียบกับข้าราชการ ต่อให้จะว่ากรมบัญชีกลางตังค์หมด ตัดสิทธิ์นั้นนี่แค่ไหน แต่ถ้าว่ากันตามตรงโดยไม่ประชดประชันแล้ว สิทธิ์สวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการยังถือว่าดีมากๆ อยู่ดี ดีที่สุดเท่าที่ระบบสวัสดิการของรัฐมีอยู่ การรักษาเล็กๆ น้อยๆ อาจมองว่าไม่ต่างกันกับสิทธิ์อื่นๆ แต่จะเห็นผลมากเวลาเป็นโรคร้ายแรงและต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันยารักษามะเร็งชุดเป็นแสนๆ ถึงจะเบิกด้วยขั้นตอนที่ยากขึ้นแต่ก็ยังเบิกได้ ถ้าคุณเป็นโรคร้ายแรงและเป็นข้าราชการ คุณจะสำนึกถึงคุณประโยชน์ของสิทธิ์สวัสดิการตรงนี้ ซึ่งไม่สามารถเอาไปเปรียบกับประกันสังคมหรือ 30 บาทได้เลย
3. เงินเดือนพนักงานมหาวิทยาลัย ขึ้นปีละ 4% ในขณะที่ข้าราชการขึ้นปีละ 2 ครั้ง เฉลี่ยครั้งละ 3% ยิ่งได้ชำนาญการ ชำนาญการพิเศษ ก็จะมีเงินเดือนที่สูงขึ้น เชื่อว่าถ้าเป็นข้าราชการที่พัฒนาตนอยู่ตลอด เป็นไปได้ที่เงินเดือนแซงอาจารย์มหาวิทยาลัยในช่วงท้ายๆ
4. ข้าราชการมีบำนาญหลังเกษียณไปตลอดชีวิตพร้อมสิทธิ์รักษาพยาบาล คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ซึ่งในส่วนมหาวิทยาลัยจะอ้างว่ามีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หักเงินจากเงินเดือนมาเก็บ+มหาวิทยาลัยสมทบให้ แต่ลองคิดไปถึงตอนนั้นว่ามันพอหรือไม่กับที่ต้องใช้ชีวิตหลังเกษียณไปหลายปี แถมไม่มีสิทธิรักษาพยาบาลให้ ในขณะที่ข้าราชการ นอกจากได้บำนาญแล้ว ก็ยังมี กบข. เหมือนกันกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของมหาวิทยาลัยนั่นแหละ หักจากเงินเดือน 3% รัฐสมทบให้อีก 3% และเงินลงทุนจาก กบข. อีก ตอนเกษียณได้เงินก้อนเป็นล้าน บำนาญก็ยังได้ ลองคิดไปถึงตอนวันเกษียณก็ต่างกันมากกกกกกแล้วระหว่างข้าราชการกับพนักงานมหาวิทยาลัย คุณต้องคิดตรงนี้ให้ดี นอกจากคิดว่าจะมีอายุไม่ถึง 60 ปี
5. ข้าราชการยังไงก็คือข้าราชการ มีสิทธิ์แห่งความเป็นข้าราชการอย่างครบถ้วน ลองลูกหลานมาขอให้คุณเซ็นค้ำเพื่อสอบเข้าเรียนนายร้อยนั่นนี่ ถ้าเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ต่อให้เป็นตำแหน่งศาสตราจารย์ก็เซ็นไม่ได้เพราะไม่ใช่ข้าราชการ ที่ย้อนแย้งมากก็คือบางมหาวิทยาลัยของรัฐ(ที่ออกนอกระบบแล้ว) จะเข้าไปเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยตำแหน่งอาจารย์ ต้องให้ข้าราชการเป็นผู้เซ็นค้ำ!!! ถึงกับต้องไปให้ข้าราชการครูที่รู้จักกันเซ็นให้ คุณก็คิดดูแล้วกันว่าศักดิ์ศรีพน้กงานมหาวิทยาลัยเป็นอย่างไร อ่อ พนักงานมหาวิทยาลัยไม่มีตัวตนในทางกฎหมายด้วยนะครับ ไม่มี พ.ร.บ. พนักงานมหาวิทยาลัยรองรับนะ มีแต่ พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยของตัวเองซึ่งพูดถึงพนักงานไว้หน่อยๆ แปลว่าถ้าคุณถูกให้ออกหรือไม่ต่อสัญญาอย่างไม่เป็นธรรม คุณไปร้องเรียนที่ไหนหรือจะฟ้องศาลแรงงานไม่ได้เลยนะ เพราะคุณไม่ใช่อะไรเลย ฟ้องได้แต่ศาลปกครองซึ่งก็ลองคาดเดาผลลัพธ์เอา
6. แน่นอน อาชีพอาจารย์มหาวิทยาลัยเป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีคนนับหน้าถือตา เป็นหลักสำคัญทางวิชาการให้กับสังคมและผลิตบัณฑิตออกมาขับเคลื่อนประเทศ สร้างนวัตกรรมและงานวิจัย ทำผลงานเช่นตำรา เปเปอร์ หนังสือต่างๆ ได้เป็นที่ยอมรับ แต่ว่า คุณต้องทำด้วยความกดดัน นอกจาก tenure track ในข้อ 1 แล้ว การต่อสัญญาจ้างคุณก็ต้องมีผลการประเมินการปฏิบัติงานที่ดี ต้องมีคาบสอนเด็กเพียงพอ (และต้องสอนให้ดี ให้เด็กพึงพอใจด้วยนะ ถ้าสอนไม่ดี เด็กประเมินท้ายเทอมไม่ดีก็มีสิทธิ์ไม่ต่อสัญญาได้ เด็กเดี๋ยวนี้เขียนประเมินแรงไม่มีความปราณีเลยล่ะ คุณต้องตั้งใจสอนมากจะมาเลคเชอร์อ่านพาวเวอร์พอยต์สอนแบบขอไปทีไม่ได้) ต้องไปบริการวิชาการ(ไปเป็นวิทยากร) คือต้องเอาตัวเองไปจัดงานอบรมต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ต้องมีวิจัยอย่างน้อยๆ ก็ควรปีละเรื่อง เรื่องบำรุงศิลปวัฒนธรรมอีก นอกจากนี้ก็ยังต้องมีงานภาควิชา และอาจไปเป็นฝ่ายบริหารในคณะด้วย เป็นอาจารย์ไม่ง่ายและไม่สบายอย่างที่คิด นอกจากว่าคุณเป็นคน active มี energy ล้นเหลือ
7.การเมืองในมหาวิทยาลัยรุนแรงมากในปัจจุบัน แน่นอนเพราะเป็นศูนย์รวมของเหล่า PhD ที่พก ego กันมาล้นหลาม พร้อมๆ กับผลประโยชน์มากมายมหาศาลเนื่องจากเข้าถึงงบต่างๆ ได้ง่ายขึ้นเพราะออกนอกระบบไปแล้ว เรียกว่าแต่ละคนพกมีดไว้ข้างหลังกันพร้อมจะแทงได้ตลอด คุณต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งมากๆ ไม่เช่นนั้นโรคเครียดไปจนถึงโรคซึมเศร้าจะถามถึงได้ บางคนทนไม่ไหวลาออกจากวงการไปทำอย่างอื่นเลยก็มี
8. ปัจจุบันเทรนด์การเกิดของเด็กไทยยุคใหม่ลดลง และจะลดลงไปอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เริ่มเห็นผลชัดเจนแล้ว มหาวิทยาลัยเอกชนเริ่มไม่มีคนเรียนจนต้องปิดหลายหลักสูตรแล้ว ต่อไปจะกระทบไปถึงมหาวิทยาลัยราชภัฎ และมหาวิทยาลัยรัฐเดิมก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนผลกระทบเช่นกัน ถ้ามหาวิทยาลัยใหญ่มากๆ และเป็นสาขาสำคัญ ก็น่าจะอยู่รอดปลอดภัย แต่ถ้าสาขาที่ไม่สำคัญและเป็นมหาวิทยาลัยรองๆ ลงมา พูดได้เลยว่าในอนาคตอยู่ยาก เพราะถ้าไม่มีคนเรียน มหาวิทยาลัยก็ต้องปิดสาขาเพื่อลดต้นทุน และแน่นอน...ไม่ต่อสัญญาจ้างอาจารย์ อีก 10-20 ปี คาดคะเนได้เลยว่ามี ดร. เตะฝุ่นกันเพียบ (หรือไม่จริงครับ? คนในวงการอุดมศึกษาทั้งหลาย) ทุกวันนี้มหาวิทยาลัยจะเปลี่ยนเทรนด์ไปให้อาจารย์ขยันทำวิจัยกันแทน ได้แต้มจัดอันดับ Ranking ด้วย แต่งานวิจัยไทยจะไปได้ไกลแค่ไหน มหาวิทยาลัยไทยจะเพิ่งแต่การวิจัยโดยลดบทบาทของการผลิตบัณฑิตได้จริงๆ หรือไม่ ต้องรอดู
*** ยิ่งในเร็วๆ นี้ รัฐกำลังจะเปลี่ยนนโยบาย จากให้เงินอุดหนุนนักศึกษาเป็นรายหัวทุกสาขาวิชา เปลี่ยนมาให้เงินอุดหนุนเฉพาะสาขาหลักและสาขาที่สร้างนวัตกรรมให้กับประเทศเท่านั้น สาขาอื่นๆ ที่ไม่ใช่สาขาหลักในการขับเคลื่อนประเทศ(เดาว่าเป็นสายสังคมซะเยอะ) รัฐจะไม่อุดหนุนค่าหัวอีกต่อไป มันก็เป็นการกดดันมหาวิทยาลัยกลายๆ ให้เปิดแต่สาขาที่ได้ค่าหัว ส่วนสาขาที่ไม่ได้ค่าหัวก็ต้องพึ่งค่าเทอม ถ้าอยู่ไม่ได้ก็ต้องปิดไป ..ชะตากรรมอาจารย์ในสาขาที่รัฐไม่ส่งเสริมจะเป็นอย่างไรก็พิจารณาดู
9. ข้อจำกัดอีกอย่างของพนักงานมหาวิทยาลัย คือคุณไม่สามารถโอนย้ายได้แบบข้าราชการ คุณเป็นพนักงานที่นั่น ถ้าจะเปลี่ยนที่ ก็ต้องไปสมัครสอบที่ใหม่ให้ติด แล้วไปลาออกจากที่เก่า ประเด็นคือ การเป็นข้าราชการ คือการทำงานไปเรื่อยๆ เก็บอายุราชการ เงินเดือนขึ้นตามขั้นที่มาจากอายุราชการ+ความดีความชอบ ยิ่งทำนานเงินเดือนยิ่งสูง เมื่อได้บรรจุเป็นข้าราชการแล้วมักจะทำตลอดไปกันจนเกษียณอายุราชการเลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าทำที่เดิมตลอดไป สามารถโอนย้ายไปหน่วยงานหรือสังกัดอื่นๆ ได้ โดยเงินเดือนและอายุราชการรวมทั้งประวัติทางราชการ กพ.7 ก็ยังจะติดตัวไปยังที่ใหม่อย่างครบถ้วน เงินเดือนนับต่อเนื่องจากของเดิมไปเลย แต่ในขณะที่พนักงานมหาวิทยาลัย อยู่นานเงินเดือนขึ้นเหมือนกัน แต่การเปลี่ยนมหาวิทยาลัยใหม่ มันต้องลาออกแล้วเข้าใหม่ เท่ากับต้องมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ แม้จะมีบาง ม. ให้เทียบเงินเดือนจากที่เก่า มาปรับขึ้นยังที่ใหม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกที่ที่ทำได้ มันไม่ได้โอนย้ายกันไปมาได้ง่ายๆ แบบข้าราชการ ดังนั้นคุณจะตัดสินใจเป็นอาจารย์อยู่ที่ไหนแล้วก็ต้องมองในระยะยาวด้วย เช่นถ้าคุณมีภูมิลำเนาต่างจังหวัด แต่คุณจะสมัครเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยใน กทม. แปลว่าคุณจะต้องทำอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ไปจนเกษียณ หรือต้องลาออกไปสมัครใหม่ที่มหาวิทยาลัยแถวบ้าน
10. ถ้าเทียบเรื่องรายได้ ยังไง อ.มหาวิทยาลัยดีกว่าแน่นอน เพราะเงินเดือนถือว่าไม่สูงมาก (สตาร์ท 31000 - 35000 สำหรับ PhD) แต่เขาให้เขี้ยวคุณไปหากินข้างนอก ไปรับทุนทำวิจัย (จับเงินหลักแสนหลักล้านเป็นเรื่องปกติมาก) ไปเป็นอาจารย์พิเศษ ไปเป็นวิทยากรอบรม เป็นที่ปรึกษาโครงการต่างๆ ซึ่งเงินมันได้หลายทางกว่าการเป็นข้าราชการมากๆ แต่คุณก็ต้องขยัน ทุ่มเท และต้องสร้างทีมนักศึกษาโดยเฉพาะพวกบัณฑิตศึกษาไว้คอยช่วยงาน ถ้าคุณขยัน ความก้าวหน้าและรายได้ย่อมดีกว่า
(เผลอๆ มีเงินกินสบายๆ ไม่ต้องเพิ่งบำนาญ) แต่เมื่อไหร่ที่คุณไม่ขยัน คุณก็จะหลุดออกจากวงโคจรไปเลย ในขณะที่ข้าราชการเป็น Comfort zone ล้มบนฟูก ถ้าไม่ทำผิดร้ายแรงก็อยู่บนฟูกได้อย่างมีความสุขไปจนเกษียณและตลอดไปจนเสียชีวิต บั้นปลายชีวิตมีเงินเดือนหลายหมื่นได้เที่ยวต่างประเทศอย่างมีความสุข เจ็บป่วยก็รักษาได้ฟรีตลอดไป นี่แหละคือความมั่นคงในชีวิตของข้าราชการ
ส่วนตัวไม่เชียร์ให้ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในมหาวิทยาลัยระดับรองๆ แต่ยังมองว่ามหาวิทยาลัยใหญ่ๆ (Top 10 ของประเทศเท่านั้น) ยังพอมีความมั่นคงและก้าวหน้าดีอยู่ (ปัจจัยเรื่องประชากรเกิดใหม่ลดนี่สำคัญมาก ระวังให้ดีครับ) แต่ถ้าเลือกได้ยังอยากให้ไปเป็นข้าราชการอยู่ดี แต่ก็ต้องเลือกเหมือนกันครับ เอาหน่วยงานที่มันก้าวหน้าได้แบบไปถึงชำนาญการพิเศษ แค่นี้ผมว่าเพียงพอแล้วสำหรับการเป็นข้าราชการแล้วล่ะ
เป็นข้าราชการ จบ ป.เอกปรับเงินเดือน แล้วค่อยไปเป็นอาจารย์พิเศษได้ ได้เงินดี ได้สอนเด็กๆ แถมไม่ต้องมาจุกจิกทำงาน มคอ.แบบพวกอาจารย์ประจำด้วย แถมราชการอนุญาตให้ไปสอนในเวลาราชการได้อย่างถูกต้องด้วย เพราะถ้ามีหนังสือเชิญตัวจากมหาวิทยาลัยไปยังต้นสังก้ด ก็สามารถไปราชการได้ ดูดีจะตายครับเป็นข้าราชการ ดร. แถมเป็นอาจารย์พิเศษ เกิดไม่มีงานสอนก็ไม่เดือดร้อนอะไร ไม่เครียดด้วยสอนก็สอนสบาย เพราะไม่มีผลกับความมั่นคง
อีกอย่าง กว่าจะจบ ป.เอกก็ 5 ปี ถ้าเรียนเฉยๆ โดยไม่ทำงาน กว่าจะจบแล้วถึงเป็นอาจารย์ ก็เสียดายเวลาครับ (อย่างที่ว่า ยิ่งทำงานเร็วยิ่งได้เปรียบเพราะราชการเงินขึ้นตามอายุราชการ) รีบสอบบรรจุให้ติดเลยครับ แล้วค่อยเรียน ป.เอก สนับสนุนให้มาทางนี้ครับ
จริงๆ ผมสนับสนุนให้ช่วยกันคิดเยอะๆ คิดให้ดีๆ กันก่อนจะเข้าสู่วงการมหาวิทยาลัยนะ ไม่ใช่อะไร จริงๆ วงการอุดมศึกษาต้องการคนเก่ง ต้องสนับสนุนให้คนเก่งมาเป็นอาจารย์ สมัยอาจารย์ยังเป็นข้าราชการก็ดีอยู่แล้ว ถึงเงินเดือนไม่สูงมากแต่ก็มีสวัสดิการที่ดีและความภูมิใจ บางคนที่เขาต้องการเงินเดือนเยอะๆ ก็ปล่อยไปเอกชนเถอะ แต่นี่อะไร ออกนอกระบบแล้วทำให้สถานะพนักงานมหาวิทยาลัยดูแย่ลงไปทั้งๆ ที่มติคณะรัฐมนตรีบอกว่าสิทธิ์ต่างๆ ต้องไม่น้อยกว่าการเป็นข้าราชการ เพิ่มเงินเดือนเพื่อจูงในคนเก่ง แต่สิทธิ์ข้าราชการหายเกลี้ยง กลายเป็นว่า นอกจากจะเป็นแค่พนักงาน ไม่ได้เป็นข้าราชการแล้ว เงินเดือนก็ยังสู้เอกชนไม่ได้ แถมเผลอๆ จะมั่นคงต่ำกว่าเอกชนอีก ทั้งๆ ที่มันควรเป็นงานที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีสมควรแก่การเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ตอนนี้หลายๆ คนก็เริ่มหนีจากวงการ บ้างก็ว่าอาชีพนี้เข้าสู่ช่วง Sunset แล้ว ผมก็อยากให้รัฐตระหนักบ้างว่าการเอามหาวิทยาลัยออกนอกระบบมันก็คือการทำลายวงการอุดมศึกษาดีๆ นี่เอง ถ้าคนอยากมาเป็นอาจารย์ลดลง ต่อไปรัฐอาจเห็นความสำคัญของพนักงานมหาวิทยาลัยมากขึ้น อาจไม่กล้บไปสู่ระบบราชการ แต่ก็ควรต้องให้อาจารย์มีเกียรติ ศักดิศรี และความมั่นคงมากกว่านี้
ปล.ประสบการณ์จากผู้หนึ่งที่เคยหลงทาง ปัจจุบันเป็นข้าราชการด้วยความภาคภูมิ
1. ปัจจุบันอาจารย์มหาวิทยาลัย จะบรรจุเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ซึ่งขึ้นชื่อว่าบรรจุ แต่ก็เป็นแบบสัญญาจ้าง ระยะเวลา 1-3-5 ปีแล้วแต่ที่ ต้องมีการประเมินเพื่อต่อสัญญาจ้างเป็นระยะ และปัจจุบัน ความก้าวหน้าเป็นแบบ tenure track คือต้องได้ ผศ. ภายใน 5 ปี และหลังได้ ผศ. แล้วต้องได้ รศ. ภายใน 7 ปี จึงจะได้สัญญาถาวร ถ้าไม่เป็นไปตามนี้ก็จะไม่ต่อสัญญาจ้าง พูดง่ายๆ คือถ้าไม่ก้าวหน้าก็ตกงานไปเลย (คงไม่สนุกถ้าตกงานตอนอายุ 40 กว่าๆ)
*** เห็นว่ากำลังจะปรับเกณฑ์ tenure track ใหม่ ต้องไปให้ถึง ศ. ถึงจะเป็นสัญญาถาวร ต่อไปคงมี ศ. เดินว่อนเมือง ***
2. สวัสดิการ ประกันสังคมและประกันสุขภาพกลุ่ม ซึ่งไม่เหมือนกันแล้วแต่แต่ละมหาวิทยาลัยจัดให้ แต่อย่างไรก็ตามถ้าเทียบกับข้าราชการ ต่อให้จะว่ากรมบัญชีกลางตังค์หมด ตัดสิทธิ์นั้นนี่แค่ไหน แต่ถ้าว่ากันตามตรงโดยไม่ประชดประชันแล้ว สิทธิ์สวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการยังถือว่าดีมากๆ อยู่ดี ดีที่สุดเท่าที่ระบบสวัสดิการของรัฐมีอยู่ การรักษาเล็กๆ น้อยๆ อาจมองว่าไม่ต่างกันกับสิทธิ์อื่นๆ แต่จะเห็นผลมากเวลาเป็นโรคร้ายแรงและต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันยารักษามะเร็งชุดเป็นแสนๆ ถึงจะเบิกด้วยขั้นตอนที่ยากขึ้นแต่ก็ยังเบิกได้ ถ้าคุณเป็นโรคร้ายแรงและเป็นข้าราชการ คุณจะสำนึกถึงคุณประโยชน์ของสิทธิ์สวัสดิการตรงนี้ ซึ่งไม่สามารถเอาไปเปรียบกับประกันสังคมหรือ 30 บาทได้เลย
3. เงินเดือนพนักงานมหาวิทยาลัย ขึ้นปีละ 4% ในขณะที่ข้าราชการขึ้นปีละ 2 ครั้ง เฉลี่ยครั้งละ 3% ยิ่งได้ชำนาญการ ชำนาญการพิเศษ ก็จะมีเงินเดือนที่สูงขึ้น เชื่อว่าถ้าเป็นข้าราชการที่พัฒนาตนอยู่ตลอด เป็นไปได้ที่เงินเดือนแซงอาจารย์มหาวิทยาลัยในช่วงท้ายๆ
4. ข้าราชการมีบำนาญหลังเกษียณไปตลอดชีวิตพร้อมสิทธิ์รักษาพยาบาล คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ซึ่งในส่วนมหาวิทยาลัยจะอ้างว่ามีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หักเงินจากเงินเดือนมาเก็บ+มหาวิทยาลัยสมทบให้ แต่ลองคิดไปถึงตอนนั้นว่ามันพอหรือไม่กับที่ต้องใช้ชีวิตหลังเกษียณไปหลายปี แถมไม่มีสิทธิรักษาพยาบาลให้ ในขณะที่ข้าราชการ นอกจากได้บำนาญแล้ว ก็ยังมี กบข. เหมือนกันกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของมหาวิทยาลัยนั่นแหละ หักจากเงินเดือน 3% รัฐสมทบให้อีก 3% และเงินลงทุนจาก กบข. อีก ตอนเกษียณได้เงินก้อนเป็นล้าน บำนาญก็ยังได้ ลองคิดไปถึงตอนวันเกษียณก็ต่างกันมากกกกกกแล้วระหว่างข้าราชการกับพนักงานมหาวิทยาลัย คุณต้องคิดตรงนี้ให้ดี นอกจากคิดว่าจะมีอายุไม่ถึง 60 ปี
5. ข้าราชการยังไงก็คือข้าราชการ มีสิทธิ์แห่งความเป็นข้าราชการอย่างครบถ้วน ลองลูกหลานมาขอให้คุณเซ็นค้ำเพื่อสอบเข้าเรียนนายร้อยนั่นนี่ ถ้าเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ต่อให้เป็นตำแหน่งศาสตราจารย์ก็เซ็นไม่ได้เพราะไม่ใช่ข้าราชการ ที่ย้อนแย้งมากก็คือบางมหาวิทยาลัยของรัฐ(ที่ออกนอกระบบแล้ว) จะเข้าไปเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยตำแหน่งอาจารย์ ต้องให้ข้าราชการเป็นผู้เซ็นค้ำ!!! ถึงกับต้องไปให้ข้าราชการครูที่รู้จักกันเซ็นให้ คุณก็คิดดูแล้วกันว่าศักดิ์ศรีพน้กงานมหาวิทยาลัยเป็นอย่างไร อ่อ พนักงานมหาวิทยาลัยไม่มีตัวตนในทางกฎหมายด้วยนะครับ ไม่มี พ.ร.บ. พนักงานมหาวิทยาลัยรองรับนะ มีแต่ พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยของตัวเองซึ่งพูดถึงพนักงานไว้หน่อยๆ แปลว่าถ้าคุณถูกให้ออกหรือไม่ต่อสัญญาอย่างไม่เป็นธรรม คุณไปร้องเรียนที่ไหนหรือจะฟ้องศาลแรงงานไม่ได้เลยนะ เพราะคุณไม่ใช่อะไรเลย ฟ้องได้แต่ศาลปกครองซึ่งก็ลองคาดเดาผลลัพธ์เอา
6. แน่นอน อาชีพอาจารย์มหาวิทยาลัยเป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีคนนับหน้าถือตา เป็นหลักสำคัญทางวิชาการให้กับสังคมและผลิตบัณฑิตออกมาขับเคลื่อนประเทศ สร้างนวัตกรรมและงานวิจัย ทำผลงานเช่นตำรา เปเปอร์ หนังสือต่างๆ ได้เป็นที่ยอมรับ แต่ว่า คุณต้องทำด้วยความกดดัน นอกจาก tenure track ในข้อ 1 แล้ว การต่อสัญญาจ้างคุณก็ต้องมีผลการประเมินการปฏิบัติงานที่ดี ต้องมีคาบสอนเด็กเพียงพอ (และต้องสอนให้ดี ให้เด็กพึงพอใจด้วยนะ ถ้าสอนไม่ดี เด็กประเมินท้ายเทอมไม่ดีก็มีสิทธิ์ไม่ต่อสัญญาได้ เด็กเดี๋ยวนี้เขียนประเมินแรงไม่มีความปราณีเลยล่ะ คุณต้องตั้งใจสอนมากจะมาเลคเชอร์อ่านพาวเวอร์พอยต์สอนแบบขอไปทีไม่ได้) ต้องไปบริการวิชาการ(ไปเป็นวิทยากร) คือต้องเอาตัวเองไปจัดงานอบรมต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ต้องมีวิจัยอย่างน้อยๆ ก็ควรปีละเรื่อง เรื่องบำรุงศิลปวัฒนธรรมอีก นอกจากนี้ก็ยังต้องมีงานภาควิชา และอาจไปเป็นฝ่ายบริหารในคณะด้วย เป็นอาจารย์ไม่ง่ายและไม่สบายอย่างที่คิด นอกจากว่าคุณเป็นคน active มี energy ล้นเหลือ
7.การเมืองในมหาวิทยาลัยรุนแรงมากในปัจจุบัน แน่นอนเพราะเป็นศูนย์รวมของเหล่า PhD ที่พก ego กันมาล้นหลาม พร้อมๆ กับผลประโยชน์มากมายมหาศาลเนื่องจากเข้าถึงงบต่างๆ ได้ง่ายขึ้นเพราะออกนอกระบบไปแล้ว เรียกว่าแต่ละคนพกมีดไว้ข้างหลังกันพร้อมจะแทงได้ตลอด คุณต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งมากๆ ไม่เช่นนั้นโรคเครียดไปจนถึงโรคซึมเศร้าจะถามถึงได้ บางคนทนไม่ไหวลาออกจากวงการไปทำอย่างอื่นเลยก็มี
8. ปัจจุบันเทรนด์การเกิดของเด็กไทยยุคใหม่ลดลง และจะลดลงไปอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เริ่มเห็นผลชัดเจนแล้ว มหาวิทยาลัยเอกชนเริ่มไม่มีคนเรียนจนต้องปิดหลายหลักสูตรแล้ว ต่อไปจะกระทบไปถึงมหาวิทยาลัยราชภัฎ และมหาวิทยาลัยรัฐเดิมก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนผลกระทบเช่นกัน ถ้ามหาวิทยาลัยใหญ่มากๆ และเป็นสาขาสำคัญ ก็น่าจะอยู่รอดปลอดภัย แต่ถ้าสาขาที่ไม่สำคัญและเป็นมหาวิทยาลัยรองๆ ลงมา พูดได้เลยว่าในอนาคตอยู่ยาก เพราะถ้าไม่มีคนเรียน มหาวิทยาลัยก็ต้องปิดสาขาเพื่อลดต้นทุน และแน่นอน...ไม่ต่อสัญญาจ้างอาจารย์ อีก 10-20 ปี คาดคะเนได้เลยว่ามี ดร. เตะฝุ่นกันเพียบ (หรือไม่จริงครับ? คนในวงการอุดมศึกษาทั้งหลาย) ทุกวันนี้มหาวิทยาลัยจะเปลี่ยนเทรนด์ไปให้อาจารย์ขยันทำวิจัยกันแทน ได้แต้มจัดอันดับ Ranking ด้วย แต่งานวิจัยไทยจะไปได้ไกลแค่ไหน มหาวิทยาลัยไทยจะเพิ่งแต่การวิจัยโดยลดบทบาทของการผลิตบัณฑิตได้จริงๆ หรือไม่ ต้องรอดู
*** ยิ่งในเร็วๆ นี้ รัฐกำลังจะเปลี่ยนนโยบาย จากให้เงินอุดหนุนนักศึกษาเป็นรายหัวทุกสาขาวิชา เปลี่ยนมาให้เงินอุดหนุนเฉพาะสาขาหลักและสาขาที่สร้างนวัตกรรมให้กับประเทศเท่านั้น สาขาอื่นๆ ที่ไม่ใช่สาขาหลักในการขับเคลื่อนประเทศ(เดาว่าเป็นสายสังคมซะเยอะ) รัฐจะไม่อุดหนุนค่าหัวอีกต่อไป มันก็เป็นการกดดันมหาวิทยาลัยกลายๆ ให้เปิดแต่สาขาที่ได้ค่าหัว ส่วนสาขาที่ไม่ได้ค่าหัวก็ต้องพึ่งค่าเทอม ถ้าอยู่ไม่ได้ก็ต้องปิดไป ..ชะตากรรมอาจารย์ในสาขาที่รัฐไม่ส่งเสริมจะเป็นอย่างไรก็พิจารณาดู
9. ข้อจำกัดอีกอย่างของพนักงานมหาวิทยาลัย คือคุณไม่สามารถโอนย้ายได้แบบข้าราชการ คุณเป็นพนักงานที่นั่น ถ้าจะเปลี่ยนที่ ก็ต้องไปสมัครสอบที่ใหม่ให้ติด แล้วไปลาออกจากที่เก่า ประเด็นคือ การเป็นข้าราชการ คือการทำงานไปเรื่อยๆ เก็บอายุราชการ เงินเดือนขึ้นตามขั้นที่มาจากอายุราชการ+ความดีความชอบ ยิ่งทำนานเงินเดือนยิ่งสูง เมื่อได้บรรจุเป็นข้าราชการแล้วมักจะทำตลอดไปกันจนเกษียณอายุราชการเลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าทำที่เดิมตลอดไป สามารถโอนย้ายไปหน่วยงานหรือสังกัดอื่นๆ ได้ โดยเงินเดือนและอายุราชการรวมทั้งประวัติทางราชการ กพ.7 ก็ยังจะติดตัวไปยังที่ใหม่อย่างครบถ้วน เงินเดือนนับต่อเนื่องจากของเดิมไปเลย แต่ในขณะที่พนักงานมหาวิทยาลัย อยู่นานเงินเดือนขึ้นเหมือนกัน แต่การเปลี่ยนมหาวิทยาลัยใหม่ มันต้องลาออกแล้วเข้าใหม่ เท่ากับต้องมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ แม้จะมีบาง ม. ให้เทียบเงินเดือนจากที่เก่า มาปรับขึ้นยังที่ใหม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกที่ที่ทำได้ มันไม่ได้โอนย้ายกันไปมาได้ง่ายๆ แบบข้าราชการ ดังนั้นคุณจะตัดสินใจเป็นอาจารย์อยู่ที่ไหนแล้วก็ต้องมองในระยะยาวด้วย เช่นถ้าคุณมีภูมิลำเนาต่างจังหวัด แต่คุณจะสมัครเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยใน กทม. แปลว่าคุณจะต้องทำอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ไปจนเกษียณ หรือต้องลาออกไปสมัครใหม่ที่มหาวิทยาลัยแถวบ้าน
10. ถ้าเทียบเรื่องรายได้ ยังไง อ.มหาวิทยาลัยดีกว่าแน่นอน เพราะเงินเดือนถือว่าไม่สูงมาก (สตาร์ท 31000 - 35000 สำหรับ PhD) แต่เขาให้เขี้ยวคุณไปหากินข้างนอก ไปรับทุนทำวิจัย (จับเงินหลักแสนหลักล้านเป็นเรื่องปกติมาก) ไปเป็นอาจารย์พิเศษ ไปเป็นวิทยากรอบรม เป็นที่ปรึกษาโครงการต่างๆ ซึ่งเงินมันได้หลายทางกว่าการเป็นข้าราชการมากๆ แต่คุณก็ต้องขยัน ทุ่มเท และต้องสร้างทีมนักศึกษาโดยเฉพาะพวกบัณฑิตศึกษาไว้คอยช่วยงาน ถ้าคุณขยัน ความก้าวหน้าและรายได้ย่อมดีกว่า
(เผลอๆ มีเงินกินสบายๆ ไม่ต้องเพิ่งบำนาญ) แต่เมื่อไหร่ที่คุณไม่ขยัน คุณก็จะหลุดออกจากวงโคจรไปเลย ในขณะที่ข้าราชการเป็น Comfort zone ล้มบนฟูก ถ้าไม่ทำผิดร้ายแรงก็อยู่บนฟูกได้อย่างมีความสุขไปจนเกษียณและตลอดไปจนเสียชีวิต บั้นปลายชีวิตมีเงินเดือนหลายหมื่นได้เที่ยวต่างประเทศอย่างมีความสุข เจ็บป่วยก็รักษาได้ฟรีตลอดไป นี่แหละคือความมั่นคงในชีวิตของข้าราชการ
ส่วนตัวไม่เชียร์ให้ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในมหาวิทยาลัยระดับรองๆ แต่ยังมองว่ามหาวิทยาลัยใหญ่ๆ (Top 10 ของประเทศเท่านั้น) ยังพอมีความมั่นคงและก้าวหน้าดีอยู่ (ปัจจัยเรื่องประชากรเกิดใหม่ลดนี่สำคัญมาก ระวังให้ดีครับ) แต่ถ้าเลือกได้ยังอยากให้ไปเป็นข้าราชการอยู่ดี แต่ก็ต้องเลือกเหมือนกันครับ เอาหน่วยงานที่มันก้าวหน้าได้แบบไปถึงชำนาญการพิเศษ แค่นี้ผมว่าเพียงพอแล้วสำหรับการเป็นข้าราชการแล้วล่ะ
เป็นข้าราชการ จบ ป.เอกปรับเงินเดือน แล้วค่อยไปเป็นอาจารย์พิเศษได้ ได้เงินดี ได้สอนเด็กๆ แถมไม่ต้องมาจุกจิกทำงาน มคอ.แบบพวกอาจารย์ประจำด้วย แถมราชการอนุญาตให้ไปสอนในเวลาราชการได้อย่างถูกต้องด้วย เพราะถ้ามีหนังสือเชิญตัวจากมหาวิทยาลัยไปยังต้นสังก้ด ก็สามารถไปราชการได้ ดูดีจะตายครับเป็นข้าราชการ ดร. แถมเป็นอาจารย์พิเศษ เกิดไม่มีงานสอนก็ไม่เดือดร้อนอะไร ไม่เครียดด้วยสอนก็สอนสบาย เพราะไม่มีผลกับความมั่นคง
อีกอย่าง กว่าจะจบ ป.เอกก็ 5 ปี ถ้าเรียนเฉยๆ โดยไม่ทำงาน กว่าจะจบแล้วถึงเป็นอาจารย์ ก็เสียดายเวลาครับ (อย่างที่ว่า ยิ่งทำงานเร็วยิ่งได้เปรียบเพราะราชการเงินขึ้นตามอายุราชการ) รีบสอบบรรจุให้ติดเลยครับ แล้วค่อยเรียน ป.เอก สนับสนุนให้มาทางนี้ครับ
จริงๆ ผมสนับสนุนให้ช่วยกันคิดเยอะๆ คิดให้ดีๆ กันก่อนจะเข้าสู่วงการมหาวิทยาลัยนะ ไม่ใช่อะไร จริงๆ วงการอุดมศึกษาต้องการคนเก่ง ต้องสนับสนุนให้คนเก่งมาเป็นอาจารย์ สมัยอาจารย์ยังเป็นข้าราชการก็ดีอยู่แล้ว ถึงเงินเดือนไม่สูงมากแต่ก็มีสวัสดิการที่ดีและความภูมิใจ บางคนที่เขาต้องการเงินเดือนเยอะๆ ก็ปล่อยไปเอกชนเถอะ แต่นี่อะไร ออกนอกระบบแล้วทำให้สถานะพนักงานมหาวิทยาลัยดูแย่ลงไปทั้งๆ ที่มติคณะรัฐมนตรีบอกว่าสิทธิ์ต่างๆ ต้องไม่น้อยกว่าการเป็นข้าราชการ เพิ่มเงินเดือนเพื่อจูงในคนเก่ง แต่สิทธิ์ข้าราชการหายเกลี้ยง กลายเป็นว่า นอกจากจะเป็นแค่พนักงาน ไม่ได้เป็นข้าราชการแล้ว เงินเดือนก็ยังสู้เอกชนไม่ได้ แถมเผลอๆ จะมั่นคงต่ำกว่าเอกชนอีก ทั้งๆ ที่มันควรเป็นงานที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีสมควรแก่การเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ตอนนี้หลายๆ คนก็เริ่มหนีจากวงการ บ้างก็ว่าอาชีพนี้เข้าสู่ช่วง Sunset แล้ว ผมก็อยากให้รัฐตระหนักบ้างว่าการเอามหาวิทยาลัยออกนอกระบบมันก็คือการทำลายวงการอุดมศึกษาดีๆ นี่เอง ถ้าคนอยากมาเป็นอาจารย์ลดลง ต่อไปรัฐอาจเห็นความสำคัญของพนักงานมหาวิทยาลัยมากขึ้น อาจไม่กล้บไปสู่ระบบราชการ แต่ก็ควรต้องให้อาจารย์มีเกียรติ ศักดิศรี และความมั่นคงมากกว่านี้
ปล.ประสบการณ์จากผู้หนึ่งที่เคยหลงทาง ปัจจุบันเป็นข้าราชการด้วยความภาคภูมิ
แสดงความคิดเห็น
อาชีพอาจารย์มหาวิทยาลัย กับ ข้าราชการ
ถ้าอาชีพอาจารย์จะต้องเรียนต่อปริญญาเอกอีก 5 ปีเป็นอย่างน้อย
พร้อมกับทำงานไปด้วย
หรือเป็นข้าราชการ พร้อม (ถ้ามีโอกาสเรียนต่อปริญญาเอกไปด้วย)
(อาจเป็นอาจารย์พิเศษแทนเมื่อเรียนจบ)
ในทั้ง 2 ทางเลือกข้างต้นพวกท่านคิดว่าความก้าวหน้าอันไหนมีมากกว่ากันครับ
ขอบคุณครับ^^