...เมื่อนานมาแล้วผมเคยนั่งทบทวนชีวิตตัวเอง ว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง ? ตอนนี้เราทำอะไรอยู่ ? และอนาคตเราจะทำอะไรต่อไป ? ตอนนี้เรามีความสุขหรือไม่ ? หากไม่ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ? ซึ่งทุกคำถามข้างต้นดูเหมือนว่าผมจะตอบตัวเองได้อย่างง่ายดาย ยกเว้นคำถามสุดท้าย "หากไม่ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?"...
...ผมนั่งคิดหาคำตอบของคำถามนี้ทั้งคืน ทำไมเราไม่มีความสุขวะ ? เรากินไม่อิ่มหรือ ? เรานอนไม่หลับหรือ ? เราป่วยไข้ ไม่สบายหรือ ? ฯลฯ หลายคำถามประเดประดังเข้ามา แต่ผมก็ตอบกับตัวเองได้อย่างซื่อตรงว่า "ไม่" ในทุกคำถาม แล้วมันเป็นเพราะอะไรกันแน่นะ ผมเก็บคำถามนี้ไว้ตลอด...
...ต่อมาไม่นาน ในวันที่ผมจะต้องจากสถานที่ๆหนึ่งไป ผมไปกราบลาบุคลากรทุกท่านในสถานที่นั้น แล้วก็มีบุคลากรท่านหนึ่งกล่าวอวยพรให้ผม ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนไม่ใช่คำอวยพรสักเท่าไร "อย่าเอาชีวิตตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร" อะไรกันที่ดลใจให้ครูท่านนั้นพูดประโยคนี้กับผม มันเหมือนผมได้รับคำตอบที่ค้างคาใจมาตลอดว่าเราทุกข์เพราะอะไรกันแน่ เราไม่ได้ทุกข์เพราะเรานั่งรถเมล์ แต่เราทุกข์เพราะว่าเราเห็นเขานั่งรถเบนซ์ เราไม่ได้ทุกข์เพราะเรากินข้าวแกง แต่เราทุกข์เพราะเขากิน MK เราไม่ได้ทุกข์เพราะเราใส่ช้างดาว แต่เราทุกข์เพราะเขาใส่ Nike air ซึ่งมันก็เกิดคำถามต่อไปอีกว่า เราจะหยุดความทุกข์นี้อย่างไร
...หลายปีต่อมา ผมผ่านอะไรๆมากขึ้น ผมเคยทุกข์ทนสุดๆ
เมื่อครั้งเป็นพลทหาร ถึงขนาดที่ว่าตอนนั้นปรารถนาเพียงชีวิตที่สงบเงียบและเรียบง่ายก็พอ ไม่อยากร่ำรวย หรือใช้ชีวิตหวือหวาอะไรอีกแล้ว เพราะเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีแต่คนลำบากเช่นเราและได้เห็นเพียงแค่กิจวัตรประจำวันของคนในรั้วค่ายเท่านั้น แต่พอผมได้ออกมาจากจุดนั้น มาอยู่ในสังคมโลกนอกรั้วค่าย มาอยู่ในสถานะใหม่ในสังคม ผมเริ่มคิดแบบเดิมคืออยากจะก้าวหน้า อยากไปไกลกว่านี้ อยากมีชีวิตที่ดียิ่งกว่านี้ ทั้งๆที่ในตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว ผมลืมความทุกข์ทนเมื่อครั้งเป็นทหารเสียหมดสิ้น ผมมองเห็นกิเลสตัณหาและความทะยานอยากในตัวเองที่มีอย่างแรงกล้า เพราะผมมองเห็น "คนอื่น" มากขึ้น คนที่ผมจะเอามาเปรียบเทียบกับตัวเอง ผมกลับมาจุดเดิมอีกแล้ว แต่คราวนี้มันไม่เหมือนเดิม เพราะครั้งนั้นผมทุกข์เพราะยังไม่รู้ แต่ตอนนี้ ผมทุกข์ ทั้งๆที่รู้...
อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร...(ทดสอบตั้งกระทู้)
...ผมนั่งคิดหาคำตอบของคำถามนี้ทั้งคืน ทำไมเราไม่มีความสุขวะ ? เรากินไม่อิ่มหรือ ? เรานอนไม่หลับหรือ ? เราป่วยไข้ ไม่สบายหรือ ? ฯลฯ หลายคำถามประเดประดังเข้ามา แต่ผมก็ตอบกับตัวเองได้อย่างซื่อตรงว่า "ไม่" ในทุกคำถาม แล้วมันเป็นเพราะอะไรกันแน่นะ ผมเก็บคำถามนี้ไว้ตลอด...
...ต่อมาไม่นาน ในวันที่ผมจะต้องจากสถานที่ๆหนึ่งไป ผมไปกราบลาบุคลากรทุกท่านในสถานที่นั้น แล้วก็มีบุคลากรท่านหนึ่งกล่าวอวยพรให้ผม ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนไม่ใช่คำอวยพรสักเท่าไร "อย่าเอาชีวิตตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร" อะไรกันที่ดลใจให้ครูท่านนั้นพูดประโยคนี้กับผม มันเหมือนผมได้รับคำตอบที่ค้างคาใจมาตลอดว่าเราทุกข์เพราะอะไรกันแน่ เราไม่ได้ทุกข์เพราะเรานั่งรถเมล์ แต่เราทุกข์เพราะว่าเราเห็นเขานั่งรถเบนซ์ เราไม่ได้ทุกข์เพราะเรากินข้าวแกง แต่เราทุกข์เพราะเขากิน MK เราไม่ได้ทุกข์เพราะเราใส่ช้างดาว แต่เราทุกข์เพราะเขาใส่ Nike air ซึ่งมันก็เกิดคำถามต่อไปอีกว่า เราจะหยุดความทุกข์นี้อย่างไร
...หลายปีต่อมา ผมผ่านอะไรๆมากขึ้น ผมเคยทุกข์ทนสุดๆ
เมื่อครั้งเป็นพลทหาร ถึงขนาดที่ว่าตอนนั้นปรารถนาเพียงชีวิตที่สงบเงียบและเรียบง่ายก็พอ ไม่อยากร่ำรวย หรือใช้ชีวิตหวือหวาอะไรอีกแล้ว เพราะเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีแต่คนลำบากเช่นเราและได้เห็นเพียงแค่กิจวัตรประจำวันของคนในรั้วค่ายเท่านั้น แต่พอผมได้ออกมาจากจุดนั้น มาอยู่ในสังคมโลกนอกรั้วค่าย มาอยู่ในสถานะใหม่ในสังคม ผมเริ่มคิดแบบเดิมคืออยากจะก้าวหน้า อยากไปไกลกว่านี้ อยากมีชีวิตที่ดียิ่งกว่านี้ ทั้งๆที่ในตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว ผมลืมความทุกข์ทนเมื่อครั้งเป็นทหารเสียหมดสิ้น ผมมองเห็นกิเลสตัณหาและความทะยานอยากในตัวเองที่มีอย่างแรงกล้า เพราะผมมองเห็น "คนอื่น" มากขึ้น คนที่ผมจะเอามาเปรียบเทียบกับตัวเอง ผมกลับมาจุดเดิมอีกแล้ว แต่คราวนี้มันไม่เหมือนเดิม เพราะครั้งนั้นผมทุกข์เพราะยังไม่รู้ แต่ตอนนี้ ผมทุกข์ ทั้งๆที่รู้...