
By มาร์ตี้ แม็คฟราย
ยังคงต้องชื่นชมการวางรากฐานของหนังแบบ ‘มาร์เวล’ เช่นเดิมจากวิสัยทัศน์และการบริหารจัดการอันเด็ดขาดของ เควิน ไฟกี พ่อใหญ่แห่งมาร์เวล สตูดิโอส์ ที่ไม่ว่าทำหนังมากี่เรื่อง ก็ยังลายเซ็น โทนหนัง ที่เป็นแบบมาร์เวลเสียเหลือเกิน โดยในหนังเรื่องล่าสุดของพี่เสือดำที่ถือเป็นโค้งสุดท้ายก่อนไปซัดกับพี่บึกตัวม่วงแห่งจักรวาลอย่าง ธานอส ใน Infinity War ที่จะมาไม่อีกไม่นานนี้ ก็ยังคงเป็นหนังอีกเรื่องที่มีความมาร์เวลอยู่เต็มร้อย
ว่ากันโดยรวมแล้ว หนังเสือดำเรื่องนี้สามารถทำได้ดีตามมาตรฐานหนังมาร์เวลที่วางเอาไว้ ไม่ได้ย่ำแย่ถึงขนาดที่ต้องส่ายหัวเหมือนกับ Thor: The Dark World หรือ Doctor Strange (ขอโทษแฟนมาร์เวลมา ณ ที่นี้ด้วย) หากแต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ผ่าน ไม่ใช่เกณฑ์ดี อย่างที่สื่อหลายสำนักประโคมกันเหลือเกินว่าหนังดีเหลือเกิน ตัวร้าย (อันเป็นจุดอ่อนของมาร์เวลมาโดยตลอด) นั้นยอดเยี่ยมที่สุด เพราะโดยส่วนตัวแล้วไม่ได้รู้สึกแบบนั้น
ว่ากันได้เรื่องของระดับโปรดักชั่นนั้นสอบผ่านในทุกกรณี ทั้งการสร้างโลกวาคานด้าที่หลายคนรอคอยที่จะได้เห็น แล้วก็ไม่ผิดหวังเพราะผู้สร้างได้ประสานเรื่องเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย (ระดับที่ โทนี่ สตาร์ก อาจต้องกลับไปนอนร้องไห้หากได้มาเห็น) กับวัฒนธรรมแอฟริกันผิวสี ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม และรูปแบบของเมือง โดยเฉพาะกับดนตรีประกอบที่โดดเด่นเหลือเกินกับการใช้ดนตรีแอฟริกันดั้งเดิมประสานกับดนตรีฮิปฮอฟสมัยใหม่เข้าด้วยกัน ยิ่งขับเน้นความเป็นวาคานด้าได้อย่างดี
แต่ส่วนรู้สึกว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้คือ จังหวะหนัง หากลองสังเกตดู จังหวะหนังพี่เสือดำมีความเรียบเป็นเส้นตรง ไม่มีจังหวะในการผ่อนหรือเร่งเครื่องที่ส่งอารมณ์คนดูไปถึงสิ่งที่เรียกว่าไคลแมกซ์ คล้ายกับกรณีของ Ant-Man ที่จังหวะหนังค่อนข้างเรียบเหมือนกัน แต่ต่างตรงที่ว่าหนังมนุษย์มดมีความเอนเตอร์เทนมากกว่า ดูสนุกกว่ากว่าไคลแมกซ์เสือดำอยู่พอสมควร
ฉากต่อสู้ครั้งสุดท้ายของพี่เสือดำเห็นชัดเจนว่ามีความพึ่งซีจีเยอะมากจนล้น เกือบจะนึกถึงไคลแมกซ์ของ Justice League ด้วยซ้ำ (ต้องขอโทษแฟนมาร์เวลอีกครั้ง) จนรู้สึกเสียดายฝีมือลายมือการต่อสู้สุดเท่ของพี่เสือดำที่เราได้เห็นใน Captain America: Civil War ที่ดูทั้งแข็งแรงด้วยลีล่าการต่อสู้เฉพาะตัว บวกกับเกราะที่แข็งแกร่งจากชุดไวเบรเนียม แต่สิ่งที่ได้เห็นหนังของตัวเองกลับไม่โดดเด่นถึงจุดที่ได้เคยเห็นเขาครั้งแรกเลยแม้แต่นิด
แต่หนังมีประเด็นที่ดีมาก ในเรื่องประเด็นการเมืองที่ดูจริงจัง โดยเฉพาะกับเรื่องราชบัลลังก์ ที่ตัวหนังพลิกมาให้เห็นถึงความแค้น ที่เกิดขึ้นด้วยความไม่ชอบธรรม เพียงเพราะมีความเห็นต่างในแง่การนโยบายประจำชาติ (ไวเบรเนียม) ประเด็นนี้นับว่าแข็งแรง น่าสนใจและดีที่สุดของหนังก็ว่าได้ เพราะมันน่าชวนคิดและตั้งคำถามเหลือเกินว่าในขณะที่ราชาผู้ทรงธรรมในชุดไวเบรเนียมปกครองอาณาจักรอย่างสงบสุขแถมเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย (ที่ได้มาเพราะบังเอิญมีไวเบรเนียมตกลงมา และเอามาเป็นของตัวเองอย่างน่าไม่อาย) ในประเทศปิดอย่างวาคานด้า พระองค์เคยคิดบ้างหรือไม่ ว่ามีชนชาติแอฟริกันคนบ้านเดียวกันอีกกี่ล้านคนที่อยู่ภายนอกอาณาจักร ต้องลำบาก ถูกรังแก ข่มเหง ตลอดจนถูกลิดรอนสิทธิมนุษยชนขนาดไหน
ในเมื่อพระองค์มีเทคโนโลยีระดับสูงขนาดนั้น ทำไมไม่มาช่วยกันบ้างล่ะ ฝ่าบาททททท
แต่ท้ายสุด หนังก็เล่าเรื่องได้ดีพอที่เราจะสามารถชั่งใจและเข้าใจทั้งสองฝ่ายได้ เพราะสันดานอันชั่วร้ายของมนุษย์ที่มีบทเรียนจากการก่อสงครามจนสูญสิ้นชีวิตมาไม่รู้กี่ล้านชีวิตแล้ว ทำให้การเปิดเผยของไวเบรเนียม อาจกลายเป็นอาวุธทรงพลังที่อาจทำลายล้างได้อีกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชีวิต
ด้วยความคิดนี้ ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างที่ไม่ว่าใครก็จำจนตายกับ เอริค คิลมองเกอร์ ที่กลับต้องสูญเสียพ่อของตัวเองไปอย่างไม่เป็นธรรม จนไม่แปลกที่ตัวเขาจะเต็มไปด้วยความแค้นที่รอเวลาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะแลกมาด้วยชีวิตของใครก็ตาม ซึ่งตัวเขาเองสามารถทำได้ตามสิทธิ์อันชอบธรรมโดยสายเลือดที่สามารถขึ้นครองบัลลังก์ในตัว แถมเมื่อคนดูได้เห็นสิ่งที่เขาต้องเผชิญในวัยเด็กแล้ว ก็ยิ่งทำให้คนดูมองด้วยความเวทนาในทีแรก
มันน่าคิดว่าในเมื่อตัวคิลมองเกอร์มีพื้นฐานตัวละครที่ดีขนาดนั้นแล้ว ทำไมหลังจากที่ทำให้กษัตริย์ตัวจริงตกจากบัลลังก์ได้สำเร็จและตัวเองขึ้นครองราชย์แทน ความแค้นทั้งหมดที่ปูมาก่อนหน้าก็ได้อันตรธานหายไปหมดสิ้น เหลือเพียงแค่ไอ้วายร้ายบ้าอำนาจที่จะใช้ไวเบรเนียมครองโลกแบบไม่สนใจอุดมการณ์ และสิ่งที่พ่อที่ล่วงลับของตนเองตั้งใจทำให้เกิดขึ้น เสมือนว่าพอได้ขึ้นสู่อำนาจ อาการบ้าอำนาจบวกความจำเสื่อมก็เข้ามาแทนที่อุดมการณ์ทันที เพราะเมื่อเราได้เห็นเช่นนั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องจดจำเขาอีกต่อไป เพราะนั่นหมายถึงตัวเขาเองก็ไม่ต่างกับวายร้ายบ๊วย ๆ อย่าง อัลตรอน ที่ทำทุกอย่างเพื่ออำนาจเท่านั้นเอง
ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่
https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft
Black Panther: เสียดาย... ที่รักบ้านเกิด [Spoil!]
By มาร์ตี้ แม็คฟราย
ยังคงต้องชื่นชมการวางรากฐานของหนังแบบ ‘มาร์เวล’ เช่นเดิมจากวิสัยทัศน์และการบริหารจัดการอันเด็ดขาดของ เควิน ไฟกี พ่อใหญ่แห่งมาร์เวล สตูดิโอส์ ที่ไม่ว่าทำหนังมากี่เรื่อง ก็ยังลายเซ็น โทนหนัง ที่เป็นแบบมาร์เวลเสียเหลือเกิน โดยในหนังเรื่องล่าสุดของพี่เสือดำที่ถือเป็นโค้งสุดท้ายก่อนไปซัดกับพี่บึกตัวม่วงแห่งจักรวาลอย่าง ธานอส ใน Infinity War ที่จะมาไม่อีกไม่นานนี้ ก็ยังคงเป็นหนังอีกเรื่องที่มีความมาร์เวลอยู่เต็มร้อย
ว่ากันโดยรวมแล้ว หนังเสือดำเรื่องนี้สามารถทำได้ดีตามมาตรฐานหนังมาร์เวลที่วางเอาไว้ ไม่ได้ย่ำแย่ถึงขนาดที่ต้องส่ายหัวเหมือนกับ Thor: The Dark World หรือ Doctor Strange (ขอโทษแฟนมาร์เวลมา ณ ที่นี้ด้วย) หากแต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ผ่าน ไม่ใช่เกณฑ์ดี อย่างที่สื่อหลายสำนักประโคมกันเหลือเกินว่าหนังดีเหลือเกิน ตัวร้าย (อันเป็นจุดอ่อนของมาร์เวลมาโดยตลอด) นั้นยอดเยี่ยมที่สุด เพราะโดยส่วนตัวแล้วไม่ได้รู้สึกแบบนั้น
ว่ากันได้เรื่องของระดับโปรดักชั่นนั้นสอบผ่านในทุกกรณี ทั้งการสร้างโลกวาคานด้าที่หลายคนรอคอยที่จะได้เห็น แล้วก็ไม่ผิดหวังเพราะผู้สร้างได้ประสานเรื่องเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย (ระดับที่ โทนี่ สตาร์ก อาจต้องกลับไปนอนร้องไห้หากได้มาเห็น) กับวัฒนธรรมแอฟริกันผิวสี ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม และรูปแบบของเมือง โดยเฉพาะกับดนตรีประกอบที่โดดเด่นเหลือเกินกับการใช้ดนตรีแอฟริกันดั้งเดิมประสานกับดนตรีฮิปฮอฟสมัยใหม่เข้าด้วยกัน ยิ่งขับเน้นความเป็นวาคานด้าได้อย่างดี
แต่ส่วนรู้สึกว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้คือ จังหวะหนัง หากลองสังเกตดู จังหวะหนังพี่เสือดำมีความเรียบเป็นเส้นตรง ไม่มีจังหวะในการผ่อนหรือเร่งเครื่องที่ส่งอารมณ์คนดูไปถึงสิ่งที่เรียกว่าไคลแมกซ์ คล้ายกับกรณีของ Ant-Man ที่จังหวะหนังค่อนข้างเรียบเหมือนกัน แต่ต่างตรงที่ว่าหนังมนุษย์มดมีความเอนเตอร์เทนมากกว่า ดูสนุกกว่ากว่าไคลแมกซ์เสือดำอยู่พอสมควร
ฉากต่อสู้ครั้งสุดท้ายของพี่เสือดำเห็นชัดเจนว่ามีความพึ่งซีจีเยอะมากจนล้น เกือบจะนึกถึงไคลแมกซ์ของ Justice League ด้วยซ้ำ (ต้องขอโทษแฟนมาร์เวลอีกครั้ง) จนรู้สึกเสียดายฝีมือลายมือการต่อสู้สุดเท่ของพี่เสือดำที่เราได้เห็นใน Captain America: Civil War ที่ดูทั้งแข็งแรงด้วยลีล่าการต่อสู้เฉพาะตัว บวกกับเกราะที่แข็งแกร่งจากชุดไวเบรเนียม แต่สิ่งที่ได้เห็นหนังของตัวเองกลับไม่โดดเด่นถึงจุดที่ได้เคยเห็นเขาครั้งแรกเลยแม้แต่นิด
แต่หนังมีประเด็นที่ดีมาก ในเรื่องประเด็นการเมืองที่ดูจริงจัง โดยเฉพาะกับเรื่องราชบัลลังก์ ที่ตัวหนังพลิกมาให้เห็นถึงความแค้น ที่เกิดขึ้นด้วยความไม่ชอบธรรม เพียงเพราะมีความเห็นต่างในแง่การนโยบายประจำชาติ (ไวเบรเนียม) ประเด็นนี้นับว่าแข็งแรง น่าสนใจและดีที่สุดของหนังก็ว่าได้ เพราะมันน่าชวนคิดและตั้งคำถามเหลือเกินว่าในขณะที่ราชาผู้ทรงธรรมในชุดไวเบรเนียมปกครองอาณาจักรอย่างสงบสุขแถมเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย (ที่ได้มาเพราะบังเอิญมีไวเบรเนียมตกลงมา และเอามาเป็นของตัวเองอย่างน่าไม่อาย) ในประเทศปิดอย่างวาคานด้า พระองค์เคยคิดบ้างหรือไม่ ว่ามีชนชาติแอฟริกันคนบ้านเดียวกันอีกกี่ล้านคนที่อยู่ภายนอกอาณาจักร ต้องลำบาก ถูกรังแก ข่มเหง ตลอดจนถูกลิดรอนสิทธิมนุษยชนขนาดไหน
ในเมื่อพระองค์มีเทคโนโลยีระดับสูงขนาดนั้น ทำไมไม่มาช่วยกันบ้างล่ะ ฝ่าบาททททท
แต่ท้ายสุด หนังก็เล่าเรื่องได้ดีพอที่เราจะสามารถชั่งใจและเข้าใจทั้งสองฝ่ายได้ เพราะสันดานอันชั่วร้ายของมนุษย์ที่มีบทเรียนจากการก่อสงครามจนสูญสิ้นชีวิตมาไม่รู้กี่ล้านชีวิตแล้ว ทำให้การเปิดเผยของไวเบรเนียม อาจกลายเป็นอาวุธทรงพลังที่อาจทำลายล้างได้อีกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชีวิต
ด้วยความคิดนี้ ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างที่ไม่ว่าใครก็จำจนตายกับ เอริค คิลมองเกอร์ ที่กลับต้องสูญเสียพ่อของตัวเองไปอย่างไม่เป็นธรรม จนไม่แปลกที่ตัวเขาจะเต็มไปด้วยความแค้นที่รอเวลาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะแลกมาด้วยชีวิตของใครก็ตาม ซึ่งตัวเขาเองสามารถทำได้ตามสิทธิ์อันชอบธรรมโดยสายเลือดที่สามารถขึ้นครองบัลลังก์ในตัว แถมเมื่อคนดูได้เห็นสิ่งที่เขาต้องเผชิญในวัยเด็กแล้ว ก็ยิ่งทำให้คนดูมองด้วยความเวทนาในทีแรก
มันน่าคิดว่าในเมื่อตัวคิลมองเกอร์มีพื้นฐานตัวละครที่ดีขนาดนั้นแล้ว ทำไมหลังจากที่ทำให้กษัตริย์ตัวจริงตกจากบัลลังก์ได้สำเร็จและตัวเองขึ้นครองราชย์แทน ความแค้นทั้งหมดที่ปูมาก่อนหน้าก็ได้อันตรธานหายไปหมดสิ้น เหลือเพียงแค่ไอ้วายร้ายบ้าอำนาจที่จะใช้ไวเบรเนียมครองโลกแบบไม่สนใจอุดมการณ์ และสิ่งที่พ่อที่ล่วงลับของตนเองตั้งใจทำให้เกิดขึ้น เสมือนว่าพอได้ขึ้นสู่อำนาจ อาการบ้าอำนาจบวกความจำเสื่อมก็เข้ามาแทนที่อุดมการณ์ทันที เพราะเมื่อเราได้เห็นเช่นนั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องจดจำเขาอีกต่อไป เพราะนั่นหมายถึงตัวเขาเองก็ไม่ต่างกับวายร้ายบ๊วย ๆ อย่าง อัลตรอน ที่ทำทุกอย่างเพื่ออำนาจเท่านั้นเอง
ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft