(เกร็ดประวัติศาสตร์) ภาพยนตร์ “ล่า” 2520 สะท้อนวงการบันเทิงไทยในสมัยนั้นได้อย่างชัดเจน

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ที่มาของล่า 2520

คอลัมป์นิสต์แห่งนิตยสารภาพยนตร์บันเทิง เมื่อปี 2520ได้เขียนถึงภาพยนตร์เรื่องล่าเอาไว้ว่า

ที่มาของหนังเรื่อง ล่า มีความจริงสอดแทรก

ทมยันตีหรืออาจารย์วิมล เจียมเจริญได้เคยบอกว่าเมื่อประมาณปี พ.ศ.2517 เธอได้ไปพบเด็กหญิงคนหนึ่งที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง(คุณทมยันตีบอกขอสงวนนาม เด็กคนนั้นไม่รู้ผิดรู้ชอบอะไรแล้ว อารมณ์ดี ยิ้ม แววตาของเด็กคนนั้นสะอาดบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา อายุประมาณ 13 - 14 ปี ซึ่งทมยันตีได้บอกว่าก่อนหน้านี้เด็กคนนี้มีอารมณ์ร้าย ตกใจและหวาดกลัวตลอดเวลา ไม่ยอมมองแสงสว่าง และหวีดร้องตลอดเวลาเมื่อเจอผู้ชาย แม้แต่หมอที่มารักษาที่เป็นผู้ชาย เจอทีไรจะวิ่งไปซุกซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด

ในที่สุดหมอต้องตัดประสาทความกลัวออกจากตัวเด็กคนนั้น นั่นคือตัดเส้นประสาทส่วนความจำออกไป แม้แต่แม่ตนเองก็จำไม่ ทมยันตีได้สอบถามญาติของเด็กก็ทราบว่าเด็กคนนี้ถูกวายร้ายในซอยบ้านของเธอข่มขืน เป็นการข่มขืนอย่างทารุณกรรมอย่างมาก แล้วหลังจากวันนั้นแม่หนูก็กลายเป็นคนบ้า พอได้ฟังจบทมยันตีรู้สึกสะเทือนใจ ทำให้สะท้อนความรู้สึกไปถึงผู้เป็นแม่จะรู้สึกอย่างไรถ้าลูกไปโดนกระทำเช่นนั้น จากเด็กสาวที่น่ารัก ต้องกลายสภาพเป็นเสมือนกับคนบ้านี่เอง

ทมยันตีเลยเขียนออกมาเป็นนวนิยายออกตีพิมพ์ลงในนิตยสารรายปักษ์”ลลนา”ที่เป็นของสุวรรณี สุคนธา เมื่อปี 2519 ก่อนที่จะถูกสร้างเป็นหนังในปี 2520 ทมยันตีได้ใส่ความรู้สึกของผู้เป็นแม่ที่ลูกโดนกระทำเช่นเด็กน้อยคนนั้นแล้ว จะแก้แค้นอย่างไรกับพวกมารสังคมเหล่านั้นถึงจะสาสม แหละนี่จึงเป็นที่มาของ หนังเรื่อง ล่า ครับ  

เครดิต: ชัยโรจน์  thaifilm



ล่า  2520

ฉายในโรงภาพยนตร์ 5 พฤศจิกายน ปี 2520

ผู้สร้าง....สหมงคลฟิล์ม
บทประพันธ์...ทมยันตี
บทภาพยนตร์...ม.จ. ขาตรีเฉลิม ยุคล
ที่ปรึกษา....เชิด ทรงศรี
ผู้กำกับการแสดง...ไพรัช กสิวัฒน์    

นำแสดงโดย

มธุสร .....อรัญญา นามวงศ์
กุลชาติ สุทธิเมธา....สมบัติ เมทะนี
มธุกร อัศวบุญ (ผึ้ง)...ลลนา สุลาวัลย์
ผู้กองศรชัย (สารวัตรภาธร)....ลักษณ์ อภิชาต
ณัฐฐา วิจิตรากร (พิสุทธินี) (หมอณัฐฐา)...วิยะดา อุมารินทร์    
อดิศักดิ์ (เกรียงไกร)....อนันต์ สัมมาทรัพย์
วีรพล แข่งบุญ (แป๊ว)...สมภพ เบญจาธิกุล
สุธีร์ ดวงศรีแพง (ย้ง)...สมศักดิ์ ชัยสงคราม    
ผจญ ไทยกอง (จั๊ว)       ... ภิญโญ ปานนุ้ย
อรรถพล เก่งเมือง (แมน)...กิตติ ดัสกร
ธนิก แซ่กง (บิ๊ก)...นพดล มงคลพันธุ์
เยาวลักษณ์ มิตรวรกุล (เยาว์).....เมตตา รุ่งรัตน์
สร้อย ม่วงคำศรี (ป้าสร้อย)....มารศรี อิศรางกูร ณ อยุธยา


ต่อไปนี้เป็นข้อความที่เจ้าของกระทู้เขียนขึ้นเองจากประสบการณ์ที่ได้พบเจอมานะครับ

ผม (เจ้าของกระทู้)  เคยไปดูภาพยนตร์เรื่องล่าในโรงภาพยนตร์ที่ต่างจังหวัดกับคุณแม่
ตอนนั้นผมยังเด็กมากทำให้ดูรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง   จำได้แค่ฉากตอนมธุสรปลอมตัวไปกับลูกสาวแล้วเอาน้ำกรดราดคนร้ายแค่นั้นจริง ๆ  นอกนั้นจำอะไรไม่ได้เลย

ฉากนี้ล่ะที่ผมจำได้ ฉากเดียวจริง ๆ

จำได้อีกว่าวันต่อ ๆ มาคนรอบข้างก็ไม่เห็นว่าจะวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องล่าหรือพูดถึงชื่นชมอะไรมากมาย กระแสหนังก็ไม่ได้แรงนัก  

แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ผมมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์เรื่อง”ล่า” ทาง youtube อีกครั้ง ก็ทำให้ได้รู้อะไรมากขึ้น โดยเฉพาะผมได้เห็นว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ช่างสะท้อนวงการบันเทิงไทยในสมัยนั้นได้อย่างชัดเจนทีเดียว  ทำให้อดที่จะเขียนและเล่าให้คนรุ่นหลังอ่านไม่ได้  สะท้อนอย่างไรนั้นลองอ่านดูนะครับ


( 1 )  ภาพยนตร์ไทยฉายโรงได้รับความนิยมมาก

ปีพ.ศ. 2520  เป็นยุคหนังฮอลลีวู้ดไม่ถูกสั่งเข้ามาฉายเพราะกำแพงภาษีที่แพงมาก คนเลยนิยมดูหนังไทยกัน ตอนนั้นใครได้เป็นดาราหนังก็เหมือนเทวดาเดินดินดี ๆ นี่เอง และภาพยนตร์ไทยฉายตามโรงก็มีคนดูเยอะมากกว่าละครโทรทัศน์หลายเท่านัก  เพราะหนังฉายโรงเข้าถึงคนดูมากกว่า เรียกว่าทุกอำเภอต้องมีโรงหนังหรือไม่ก็หนังกลางแปลงไปฉาย ส่วนสถานีโทรทัศน์กลับมีเครือข่ายไม่ทั่วประเทศ คนรับชมได้ไม่ทั่วถึง  แล้วทีวีสีสมัยนั้นก็ราคาแพงมาก  ส่วนมากคนเลยดูทีวีขาวดำกัน  แล้วทีวีขาวดำมันได้อรรถรสที่ไหนกันล่ะ แต่บ้านไหนได้ดูทีวีสีก็ใช่ว่าจะมีความสุขนะ เพราะจอแก้วสมัยนั้นขอบอกว่าแสงแรงมาก ไม่มีระบบกรองแสงแบบทุกวันนี้ ดูแล้วตาเสีย แสบตามาก สมัยนั้นดูหนังเลยมีความสุขกว่าเห็น ๆ เพราะภาพสีสบายตา จอใหญ่ด้วย  ดังนั้นหนังจึงได้รับความนิยมมากกว่าละครทีวีอย่างเห็นได้ชัด  


( 2 )   ดารายอดนิยมคือเทวดาและสายหนังมีอิทธิพลต่อวงการมาก ๆ

การได้ดารายอดนิยมเอามาไว้เรียกคนดูและขายสายหนัง เรียกว่า การันตีได้เลยว่าเจ้าของหนังต้อง “รวย” ยิ่งกว่าถูกล๊อตเตอรีซะอีก    บางครั้งสายหนังถึงกลับมากำหนดด้วยซ้ำว่าอยากจะได้ดาราดังคนไหนแสดง  ผู้สร้างก็จัดให้ตามใจสายหนัง  เพราะเป็นคนที่ให้ตังค์  ดาราดังที่คิวแน่นเอี๊ยดอยู่แล้ว เลยแน่นยิ่งกว่าเดิม ดังมากเท่าไร คิวมากเท่าไร ผู้สร้างก็ง้อเท่านั้น ดาราดังเลยเหมือนเทวดาเลยทีเดียว

ดารายอดนิยมหนังใหญ่ในปี 2520 ก็เช่น สมบัติ เมทะนี, อรัญญา นามวงศ์,  พิศมัย วิไลศักดิ์ มยุรา ธนะบุตร (เศวตศิลา), กรุง ศรีวิไล,   สรพงศ์ ชาตรี และมีดาราเกิดใหม่ที่กำลังเริ่มดังก็เช่น เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์, ไพโรจน์ สังวริบุตร, ลลนา สุลาวัลย์  

พอนำเรื่อง “ล่า” มาสร้าง เลยติดต่อทาบทามดาราดังมาเล่นซึ่งก็คือ สมบัติ เมทะนี อรัญญา นามวงศ์  ลลนา สุลาวัลย์ ลักษณ์ อภิชาติ  แค่ชื่อดาราแค่นี้คนก็อยากซื้อตัวดูและสายหนังก็แย่งซื้อกันระนาวแล้ว


ขอแค่มีชื่อดาราดังก็ขายสายได้  ถึงบทจะน้อยนิด

ผมเคยดูหนังไทยเรื่อง “รักบ้า ๆ บอ ๆ” เมื่อประมาณปี 2522  มีรถประกาศหนังในอำเภอมาประกาศว่าคืนนี้จะฉายหนังเรื่องนี้ นำแสดงโดยสมบัติ เมทะนีและนันทนา เงากระจ่าง แค่มีชื่อสมบัติ เมทะนีแสดงก็ทำเอาคนทั้งตลาดต้องแห่ไปดูแล้ว   รวมทั้งน้าสาว พี่สาว น้องสาว และผมก็ต้องไปเสียตังค์ซื้อตั๋วดูเช่นกัน เพราะต่างก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลของดาราดัง  แต่ผลประกฎว่าผิดหวังมาก เพราะหนังยาว 2 ชั่วโมง แต่กลับมีสมบัติ เมทะนีออกแสดงแค่ต้นเรื่อง 15 นาทีแรก แล้วหลังจากนั้นในบทก็บอกว่าพระเอกจะเข้ากรุงเทพ ฯ  แล้วพระเอกก็หายไปทั้งเรื่องเลยเกือบ 1 ชั่วโมงครึ่ง  (90 นาที)   ทั้ง 90 นาทีมีแต่กลุ่มนักแสดงตลกมาเล่นฆ่าเวลากับนางเอกนันทนา  เงากระจ่าง  พี่สาวเลยบอกผมว่า “พี่จะขอหลับก่อนนะ เมือไรที่สมบัติออกมาก็ปลุกด้วยนะ”  ส่วนน้องสาวซึ่งเด็กมากนั่งหลับไปตั้งนานแล้ว มีผมกับน้าสาวล่ะที่ทนนั่งดูต่อไป จนกระทั่ง 10 นาทีสุดท้ายถึงเห็นคุณสมบัติมาปรากฏในเรื่องอีกครั้ง  ผมก็เลยปลุกพี่สาวให้ขึ้นมาดู  พออกจากโรงพี่สาวก็ด่าหนังเรื่องนี้ไปเป็นเดือน  ซึ่งตอนหลังก็เลยมาทราบว่าดาราสมัยนั้นคิวทองมาก รับงานแสดงเดือนละ 20-30  เรื่อง บางทีมีถ่ายหนังวันล่ะ 8 เรื่องเลยทีเดียว   บางกองขอคิวไม่ได้ถึงกลับต้องแอบถ่ายตอนพระเอกเดินขึ้นรถกลับบ้านก็มี   (ขนาดนั้นเชียว)

หนังเรื่อง “รักบ้า ๆ บอ ๆ”  ก็น่าจะเจอเหตุการณ์นี้ หรือไม่ก็เบี้ยวค่าตัวจนสมบัติ จนสมบัติไม่ยอมมาถ่ายต่อ แต่ถึงสมบัติจะเล่นทั้งเรื่องไม่ถึง 30 นาที แต่เจ้าของหนังก็เอาชื่อไปโปรโมทในโปสเตอร์โฆษณาเรียกคนไปดู และอ้างชื่อขายสายหนังได้สบาย   เจ้าของหนังได้ตังค์มาเยอะพอควรไม่ขาดทุนก็แล้วกัน   นี่ละคือความจริงของวงการหนังไทยในสมัย 40 ปีก่อน

คราวนี้ก็มาถึงเรื่อง “ล่า” บ้างก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดสมบัติถึงได้ออกจอน้อยมาก  เพราะให้สมบัติ เมทะนี ได้บทเป็น"กุลชาติ"  ส่วนนายตำรวจภาธร (แต่ล่า 2520 ใช้ชื่อว่าศรชัย) กลับให้ลักษณ์ อภิชาติรับบทนี้ไป หลายท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมไม่ให้สมบติรับบทเป็นนายตำรวจ เพราะจะได้มีบททั้งเรื่อง  ซึ่งในละครจะเห็นได้ว่าบทตำรวจมีเยอะกว่ากุลชาติมาก  บทกุลชาติขนาดในละครทีวีก็ยังมีบทน้อย  ยิ่งถ้าเป็นหนังล่ะก็มีบทแต่ช่วงต้นเรื่องกับท้ายเรื่องเท่านั้น   จะว่าสมบัติไม่มีคิวให้หรือว่าผู้สร้างไม่มีเงินจ่ายค่าตัวก็ไม่น่าจะใช่ เพราะผู้สร้างก็คือเสียเจียงแห่งบริษัทสหมงคลฟิล์ม บริษัทหนังใหญ่ขนาดนี้ดาราล้วนให้ความเกรงใจ     บริษัทนี้มีอิทธิพลในการต่อรองคิวดารา  ร่วมทั้งจ่ายค่าตัวได้ไม่อั้นอยู่แล้ว  ทีมงานก็ใช่ย่อยทั้งม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคลทรงเขียนบทให้  และครูเชิด ทรงศรีผู้กำกับชื่อดังในสมัยนั้นร่วมให้คำปรึกษาก็ไม่น่าจะเข้าข่ายแบบหนังเรื่องรักบ้า ๆ บอ ๆ  แน่นอน  แต่มองดูเหตุผลทั้งหมดก็น่าจะเกี่ยวกับเรื่องคิวมากกว่า  ขอให้ได้คิวดารามาแค่นี้ก็ยังดี   ถึงบทกุลชาติจะมีไม่มาก แต่ก็ยังเรียกคนดูและขายสายได้ เพราะแค่มีชื่อสมบัติ เมทะนี !!!


การโปรโมทหนังจึงต้องโปรโมทดาราด้วยให้มากที่สุด

ดังที่สื่อมวลชนในสมัยนั้นได้เขียนข่าวบันเทิงไว้ว่า

สหมงคลฟิล์มได้นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์โดยบรรจุตัว อรัญญา นามวงศ์ เป็นแม่ของเด็กผู้หญิงคนนั้นชื่อ มธุสร สำหรับตัวแม่หนูผู้เคราะห์ร้าย เธอชื่อ มธุกร หรือ ผึ้งน้อย ผู้สรวมบทบาท เรียกน้ำตาจากผู้ชมเธอคือ ลลนา สุลาวัลย์
หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ทรงกล่าวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “ในรอบหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา ไม่มีบทบาทไหน ที่น่าแสดงยิ่งไปกว่าบท “มธุสร” ผมเขียนบทภาพยนตร์มาหลายปีผมรู้ดี”

เชิด ทรงศรี ผู้เขียนบทอีกคนบอกว่า “คุณไพรัช(ไพรัช กสิวัฒน์)บอกคุณเปี๊ยก (อรัญญา นามวงศ์) ได้เลย ผมอ่านเรื่อง ล่า แล้วบท มธุสร เยี่ยมที่สุด ถ้าคุณเปี๊ยกแสดงบทนี้จะเป็นบทบาทที่คุณเปี๊ยกแสดงที่เด่นที่สุดตั้งแต่ คุณเปี๊ยกแสดงหนัง”

เปี๊ยก โปสเตอร์ ผู้มอบลลนา สุลาวัลย์ ให้มาแสดงเรื่องนี้กล่าวว่า “ผมส่งลลนา สุลาวัลย์ ให้มาแสดงเป็น ผึ้งน้อย คู่กับ อรัญญา นามวงศ์ เพราะรู้ว่า ลลนา แสดงบทนี้และเรื่อง จะเป็นอีกก้าวหนึ่งที่ ลลนา สุลาวัลย์ จะเดินทางไปสู่ความสำเร็จในหนทางการแสดงของเธอ”
ทมยันตี ผู้เขียนเรื่องนี้ได้กล่าวว่า “ดิฉันหวังที่สุดจะเห็นเรื่อง ล่า ประสบความสำเร็จเพราะ ล่า คือหัวใจของฉัน ค่ะ”

เครดิต: ชัยโรจน์  thaifilm
  

ตามความเห็นของผมผมคิดว่าคุณอรัญญานั้นได้บทที่ดีมากเลยล่ะ  แต่ถ้าถามว่าเธอได้พลิกบทบาทไหม ของบอกว่าไมได้พลิกมาก  เพราะก่อนหน้าคุณอรัญญาก็นับบทนักฆ่าถือปืนมาแล้วหลายเรื่องเอ็ม 16 ก็ถือมาแล้ว  พออรัญญามารับบทนักฆ่าตามล้างแค้นในล่า 2520 จึงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก  ซึงผิดกับสินจัยและลลิตาที่พลิกบทบาทมากกว่า


( 3 )  ยุคที่ชอบนำนวนิยายมาสร้างเป็นภาพยนตร์

หนังสมัยปัจจุบันจะชอบพล๊อตขึ้นเอง เขียนบทใหม่ เพื่อให้เหมาะกับความยาวแค่ไม่เกิน 2 ชั่วโมง มีน้อยที่นำมาจากนวนิยาย เช่น แม่เบี้ย แผลเก่า จันดารา  คู่กรรม

แต่สมัยเมื่อปี 2520 นั้นส่วนมากจะนิยมนำเรื่องจากนวนิยายมาสร้างเป็นหนัง หนังที่พล๊อตขึ้นใหม่ก็มี  แต่ส่วนมากจะนิยมขายบทประพันธ์ ขายนักเขียนมากกว่า  เพราะถ้านำมาจากบทประพันธ์ดัง ๆ ล่ะก็ มั่นใจว่าหนังจะทำเงินได้แน่นอน  

สมัยนั้นทั้งหนังและละครจึงมักสร้างมาจากนวนิยายหรือเรื่องสั้นดัง ๆ  ซึ่งหนังจะเขียนบทดัดเแปลงจากนวนิยายยาว ๆ ให้จบภายใน 2 ชั่วโมง

ภาพยนตร์เรื่องล่า 2520 ก็เช่นกันถูกเขียนบทดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ของทมยันตีซึ่งเคยเป็นนวนิยายโด่งดังในนิตยสารลลนาเมื่อปี 2519  พอถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์คนก็ตั้งตารอชมกันมากที่เดียว

(อ่านต่อคห. 1 ครับ)

ชอบกระทู้เล่าเรื่องเก่าแบบนี้ช่วยกด + หรือถูกใจด้วยนะครับ  จะได้ทราบว่ามีคนชอบ วันหน้าจะได้นำเรื่องอื่นมาเล่าต่อครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่