เราเคยตั้งกระทู้ขอความเห็นเรื่อง "การจ้างพี่เลี้ยงลูกแต่ได้อยู่กับพ่อแม่ กับ การฝากตายายเลี้ยงที่ต่างจังหวัด" ไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
ตอนนั้นเราท้องลูกคนที่สองอยู่ จนตอนนี้ลูกที่สองกำลังจะครบ 1 ขวบ ส่วนคนโต 2 ขวบครึ่ง ห่างกันปีครึ่งพอดิบพอดี
เลยอยากจะมาแชร์ว่าสำหรับเราความแตกต่างระหว่างการเลี้ยงลูกสองคนเป็นยังไงบ้าง ข้อดี-ข้อเสียของการมีลูกที่อายุห่างกันไม่มาก
เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้กับคนที่กำลังจะมีลูกคนที่สอง หรือมีลูกอายุห่างกันไม่มากเหมือนเรา
ลูกคนแรก...เราเลือกที่จะเอาลูกไปให้แม่เราเลี้ยงที่ต่างจังหวัด เหตุผลเพราะว่าแม่เราไม่อยากอยู่กรุงเทพคนเดียว (ตอนนั้นพ่อเรายังไม่ปลดเกษียณ)
เราทำงานจันทร์ถึงศุกร์ เย็นวันศุกร์ก็จะรีบขับรถกลับไปหาลูกทุกเสาร์อาทิตย์ ทำแบบนี้จนเกือบๆปี ก็ท้องลูกคนที่สอง
เล่าถึงการเลี้ยงดูของแม่เรา...ก็ค่อนข้างเป็นไปตามแบบของแม่ เราทำอะไรมากไม่ได้ บางครั้งแค่อ้างหลักการจากใน internet ก็โดนค้านแล้ว
พูดง่ายๆคือแม่เราหัวโบราณนั่นแหละ (ไม่ได้ว่าแม่น๊า) แต่เพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เราก็จะยอมและเงียบไป
ตัวอย่างที่เห็นชัดเลยคือ แม่เราเอาหลานเข้านอนหน้าทีวี โดยที่ยังเปิดทีวีอยู่(ติดละคร) เราไม่เห็นด้วยก็บอกว่า...เสียงดังขนาดนี้จะหลับยังไง
ค่ะ...แม่เราไม่ฟัง จนสุดท้ายหลานไม่ยอม ร้องไห้ ก็อุ้มให้หลับแทน จนสุดท้ายต้องยอมเอาเข้าไปนอนในห้อง แต่กว่าจะยอมก็ผ่านไปหลายเดือนเหมือนกัน
เหตุการณ์เป็นแบบนี้หลายเรื่อง เราเสนอ...แม่เราก็จะเถียง ไม่ฟังในครั้งแรก พอเวลาผ่านไปสักหน่อยค่อยทำตาม
จนลูกคนโตเรามีนิสัยเข้านอนไม่เป็น ช่วงปีแรกต้องร้องไห้ก่อนนอนแทบทุกคืน ต้องอุ้มจนหลับไป
ทุกวันนี้นางติดการ์ตูนต้องดูก่อนนอนทุกคืน เคยติดถึงขนาดดูทั้งกลางวันกลางคืน นอนเที่ยงคืนตีหนึ่งมาแล้ว
ตอนนี้เหลือดูก่อนนอนนิดหน่อย เราก็เลยยอมๆไป เพราะไม่อยากกดดันพ่อกับแม่เรามากเกินไป
ลืมบอกว่า...พอคนโตได้ขวบนึง พ่อเราก็ปลดเกษียณมาช่วยแม่เราเลี้ยงหลานเต็มตัวค่ะ
ระหว่างที่เราไปหาลูกทุกเสาร์อาทิตย์ เราพยายามหากิจกรรมทำกับลูก พยายามเลี้ยงในแบบเรา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากเพราะเค้าอยู่กับตายายมากกว่า
ปัญหาการเลี้ยงลูกไม่ตรงกันก็มีมาเรื่อยๆ แต่เราเป็นคนกลางก็จะพยายาม balance สองฝ่ายให้ได้มากที่สุด
ไม่ให้พ่อแม่เรากดดันมากเกินไป และก็คอยอธิบายให้พ่อของลูกเข้าใจ
ในส่วนนี้...เราว่าสำคัญมากนะ เวลามีปัญหาที่สองฝ่ายคิดไม่ตรงกัน คนกลางต้องวิเคราะห์ตามสถานการณ์ อย่าเลือกข้างแล้วตัดสินว่าไม่ดีไม่ถูก
ยิ่งทั้งสองฝ่ายเป็นคนที่เรารักทั้งคู่ ยิ่งต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีที่ประนีประนอมที่สุด
จนเมื่อเราท้องลูกคนที่สอง เราคุยกับสามีว่าอยากเอาลูกมาเลี้ยงที่กรุงเทพ...เพิ่งจะคิดได้ตอนลูกคนที่สอง
ที่เราเห็นด้วย เพราะสามีเราทำงานเป็นกะ ไม่ได้ไปหาลูกทุกอาทิตย์เหมือนเรา กลัวว่าพ่อลูกจะห่างกันไปใหญ่
(ย้อนหลังไปตอนท้องลูกคนแรก เราตั้งใจย้ายจาก townhouse มาบ้านเดี่ยว เพื่อที่จะให้ลูกได้อยู่สบายๆ แต่แม่เราดันไม่ยอมมาเลี้ยงให้ซะงั้น)
ปัญหาตามมาอีกเพียบค่ะ...ใครจะเลี้ยงให้ แล้วลูกคนโตล่ะจะทำไง เอามาเลี้ยงด้วยกันแล้วตายายจะยอมมาเลี้ยงให้มั้ย
ตลอดระยะเวลาที่เราท้อง เราเคลียกับแม่เราไม่ได้ แต่ไม่ได้ทะเลาะกันนะคะ เราใช้วิธีตะล่อมไปเรื่อยๆค่ะ
เรามีบ้านอยู่กรุงเทพ และได้ต่อห้องเพิ่มสำหรับเลี้ยงเด็ก และให้พ่อแม่นอนได้ด้วย จะได้ไม่ต้องเดินขึ้นลงบันได
ช่วงใกล้คลอดพ่อแม่เราพาลูกคนโตมาอยู่กรุงเทพด้วย เพราะเราไม่อยากขับรถไกล ระหว่างนี้ก็ทำการเจรจาไปด้วย
จนถึงเมื่อเราคลอดลูกคนที่สอง...มีปัญหาเกิดขึ้นนิดหน่อย จนพ่อแม่เราพาลูกคนโตกลับบ้านต่างจังหวัด
เมื่อลูกคนที่สองครบเดือน เราก็ตามกลับไปพักที่ต่างจังหวัดด้วย ระหว่างนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงหลังครบกำหนดลาคลอด
เรากับสามีคุยกันว่า...จะเอาลูกคนเล็กมาเลี้ยงที่กรุงเทพ ถ้าตายายไม่มาเลี้ยงให้ก็จะจ้างคนเลี้ยง
ส่วนคนโตเค้าติดตายายมาก ก็จะให้เลี้ยงที่ต่างจังหวัดไป รอให้เข้าโรงเรียนได้ค่อยเอามาเรียนที่กรุงเทพ
แต่ถ้าตายายงอนไม่เลี้ยงคนโตให้ ก็จะเอามาจ้างคนเลี้ยงที่กรุงเทพทั้งคู่เลย
สุดท้าย...แม่เราใจอ่อนยอมมาเลี้ยงหลานสองคนให้ที่กรุงเทพ...ขอบคุณพ่อกับแม่จริงๆค่ะ
การเลี้ยงลูกคนที่สอง...กลางวันเราไปทำงาน ลูกๆต้องอยู่กับตายาย ส่วนกลางคืนลูกคนโตนอนกับตายาย คนเล็กนอนกับเราค่ะ
เราฝึกให้เค้ารู้จักการนอนเป็นเวลา ไม่อุ้มหลับ ให้เค้ารู้ว่าเมื่อหรี่ไฟแล้วคือเวลาที่เค้าต้องนอน
ถ้ายังไม่อยากนอน ก็ให้เล่นทั้งๆที่ไฟสลัวนั่นแหละค่ะ จนตอนนี้เค้านอนง่ายมาก พอง่วงก็จะคลานมาเอาขวดนมยื่นให้เราเปิดฝาให้...แล้วก็หลับไปเอง
เราเลี้ยงในแบบที่เราอยากเลี้ยง เล่นกับเค้าให้มาก จับมือถือให้น้อยที่สุด พูดคุยกับเค้าเหมือนว่าเค้าฟังรู้เรื่อง
ให้เวลากับทั้งสองคนมากเท่าที่เราจะทำได้ เสาร์อาทิตย์พาออกไปเที่ยวสี่คนพ่อแม่ลูก
สรุป...ความแตกต่างของการเลี้ยงดูในช่วงแรกสำคัญมากในความเห็นของเรา เพราะมันเป็นพื้นฐานการเรียนรู้ของเด็กคนนึง
คนโตเหมือนมีความกลัวว่าจะถูกทิ้ง อาจจะเป็นเพราะตอนเล็กๆพ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยมาๆหายๆ เลยไม่ค่อยกล้าจะทำอะไร ต้องแน่ใจก่อนว่าไม่มีอะไรถึงจะทำ
ทุกวันนี้ต้องพูดให้กำลังใจ ชมเชย เพื่อผลักดันให้เค้ากล้าเรียนรู้ ไม่ตำหนิหากเค้ายังไม่กล้าหรือไม่พร้อมจะทำอะไร
ยังไม่สายที่เราจะสอนให้เค้ากล้าเรียนรู้ แค่อยากบอกเฉยๆว่า...มันมีผลค่ะ
คนเล็กจะเรียนรู้เร็ว ไม่กังวลว่าแม่จะหายไปไหน อารมณ์ดี มีร้องงอแงบ้างตามวัย แต่จะไม่ร้องเรื่อยเปื่อยอ่ะค่ะ
สำหรับข้อดีของการมีลูกติดกันคือ...เหนื่อยทีเดียวจบค่ะ มันรู้สึกอย่างงั้นจริงๆ อารมณ์เราตอนนี้คือไม่ต้องกังวลเรื่องตอนท้อง เรื่องเลี้ยงลูกแบเบาะ
แต่เราจะกังวลเรื่องเดียวกันสำหรับลูกทั้งสองคน เช่น การเข้าโรงเรียน การฝึกเรียนรู้เรื่องต่างๆ
ระยะเวลาที่เรากังวลเรื่องนี้มันจะสั้นมากประมาณปี-2ปี แล้วก็ผ่านไป
กลับกันคือถ้ามีลูกห่างกัน ในเวลาที่ลูกคนโตโตแล้ว แล้วต้องมาเริ่มเลี้ยงคนเล็กในวัยแบเบาะอีก ต้องเครียดเรื่องเดิมซ้ำ...วนไปค่ะ
แต่ๆๆๆๆๆ...มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดแค่ต้องร่วมมือกันระหว่างพ่อกับแม่แค่นั้นเอง
ข้อเสีย...คงไม่ต้องพูดถึงเนอะ ขอโลกสวยเงียบๆคนเดียว อิ อิ
วันนี้เราเหมือนได้ทำการทดลองแล้วว่า...การเลี้ยงลูกในขวบปีแรกมีผลต่อพัฒนาการของเด็กคนนึงมั้ย
เราเคยอยากได้คำอธิบายในเรื่องนี้ก่อนที่เราจะมีลูกคนที่สอง แต่ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่า...อาจจะมี แต่เดี๋ยวเค้าก็โต แล้วจะอยากอยู่กับพ่อแม่เอง
ซึ่งเราไม่ได้อยากรอนานขนาดนั้น กว่าเค้าจะรู้...เราอาจพลาดอะไรไปก็ได้
เราต้องการคำตอบที่เป็นรายละเอียดมากกว่านั้น อยากรู้ว่าอารมณ์ของเด็กจะเป็นยังไง เหงามั้ย จะรู้สึกอบอุ่นพอมั้ย
วันนี้เราได้คำตอบในเรื่องนี้แล้ว การที่เด็กได้อยู่กับพ่อแม่คือดีที่สุด ถึงแม้ได้เจอแค่ตอนกลางคืน แต่เวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนนอนก็สามารถสร้างความผูกพันธ์กับลูกได้มากมายค่ะ
ถึงแม้ตอนกลางวันเค้าจะต้องอยู่กับคนอื่น จริงอยู่ที่มันอันตราย แต่มันมีวิธีป้องกันมากมายค่ะ
ถ้าวันนั้นเราสามารถเลือกได้ใหม่อีกครั้ง...เราจะเลือกให้ลูกอยู่กับเราก่อน เพราะคิดว่าหากมีปัญหาเกิดขึ้น...เราน่าจะแก้ได้ทันเวลากว่า
แต่...ถ้ามีเหตุผลอื่นทำให้ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ไม่ว่าจะด้วยข้อจำกัดอะไรก็ตาม การอยู่กับปู่ย่าตายายก็ไม่ได้แย่มากมาย
คนเป็นพ่อแม่แค่มีหน้าที่เพิ่มคือต้องสร้างความไว้วางใจให้ลูก ให้เค้ารับรู้ให้ได้ว่าพ่อแม่รักเค้าจริงๆ ไม่ใช่จากคำพูดที่เราบอกเค้า แต่จากการกระทำที่เราทำให้เค้าต่างหาก...
ขอบคุณทุกคนที่อ่านค่ะ
ปล. เราสนใจเรื่องจิตวิทยาเด็กมากๆๆๆ อยากให้มาคุยเรื่องการเลี้ยงลูก เผื่อจะได้เอามาปรับใช้บ้างค่ะ
แชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูกสองคนที่อายุห่างกันไม่มาก
ตอนนั้นเราท้องลูกคนที่สองอยู่ จนตอนนี้ลูกที่สองกำลังจะครบ 1 ขวบ ส่วนคนโต 2 ขวบครึ่ง ห่างกันปีครึ่งพอดิบพอดี
เลยอยากจะมาแชร์ว่าสำหรับเราความแตกต่างระหว่างการเลี้ยงลูกสองคนเป็นยังไงบ้าง ข้อดี-ข้อเสียของการมีลูกที่อายุห่างกันไม่มาก
เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้กับคนที่กำลังจะมีลูกคนที่สอง หรือมีลูกอายุห่างกันไม่มากเหมือนเรา
ลูกคนแรก...เราเลือกที่จะเอาลูกไปให้แม่เราเลี้ยงที่ต่างจังหวัด เหตุผลเพราะว่าแม่เราไม่อยากอยู่กรุงเทพคนเดียว (ตอนนั้นพ่อเรายังไม่ปลดเกษียณ)
เราทำงานจันทร์ถึงศุกร์ เย็นวันศุกร์ก็จะรีบขับรถกลับไปหาลูกทุกเสาร์อาทิตย์ ทำแบบนี้จนเกือบๆปี ก็ท้องลูกคนที่สอง
เล่าถึงการเลี้ยงดูของแม่เรา...ก็ค่อนข้างเป็นไปตามแบบของแม่ เราทำอะไรมากไม่ได้ บางครั้งแค่อ้างหลักการจากใน internet ก็โดนค้านแล้ว
พูดง่ายๆคือแม่เราหัวโบราณนั่นแหละ (ไม่ได้ว่าแม่น๊า) แต่เพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เราก็จะยอมและเงียบไป
ตัวอย่างที่เห็นชัดเลยคือ แม่เราเอาหลานเข้านอนหน้าทีวี โดยที่ยังเปิดทีวีอยู่(ติดละคร) เราไม่เห็นด้วยก็บอกว่า...เสียงดังขนาดนี้จะหลับยังไง
ค่ะ...แม่เราไม่ฟัง จนสุดท้ายหลานไม่ยอม ร้องไห้ ก็อุ้มให้หลับแทน จนสุดท้ายต้องยอมเอาเข้าไปนอนในห้อง แต่กว่าจะยอมก็ผ่านไปหลายเดือนเหมือนกัน
เหตุการณ์เป็นแบบนี้หลายเรื่อง เราเสนอ...แม่เราก็จะเถียง ไม่ฟังในครั้งแรก พอเวลาผ่านไปสักหน่อยค่อยทำตาม
จนลูกคนโตเรามีนิสัยเข้านอนไม่เป็น ช่วงปีแรกต้องร้องไห้ก่อนนอนแทบทุกคืน ต้องอุ้มจนหลับไป
ทุกวันนี้นางติดการ์ตูนต้องดูก่อนนอนทุกคืน เคยติดถึงขนาดดูทั้งกลางวันกลางคืน นอนเที่ยงคืนตีหนึ่งมาแล้ว
ตอนนี้เหลือดูก่อนนอนนิดหน่อย เราก็เลยยอมๆไป เพราะไม่อยากกดดันพ่อกับแม่เรามากเกินไป
ลืมบอกว่า...พอคนโตได้ขวบนึง พ่อเราก็ปลดเกษียณมาช่วยแม่เราเลี้ยงหลานเต็มตัวค่ะ
ระหว่างที่เราไปหาลูกทุกเสาร์อาทิตย์ เราพยายามหากิจกรรมทำกับลูก พยายามเลี้ยงในแบบเรา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากเพราะเค้าอยู่กับตายายมากกว่า
ปัญหาการเลี้ยงลูกไม่ตรงกันก็มีมาเรื่อยๆ แต่เราเป็นคนกลางก็จะพยายาม balance สองฝ่ายให้ได้มากที่สุด
ไม่ให้พ่อแม่เรากดดันมากเกินไป และก็คอยอธิบายให้พ่อของลูกเข้าใจ
ในส่วนนี้...เราว่าสำคัญมากนะ เวลามีปัญหาที่สองฝ่ายคิดไม่ตรงกัน คนกลางต้องวิเคราะห์ตามสถานการณ์ อย่าเลือกข้างแล้วตัดสินว่าไม่ดีไม่ถูก
ยิ่งทั้งสองฝ่ายเป็นคนที่เรารักทั้งคู่ ยิ่งต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีที่ประนีประนอมที่สุด
จนเมื่อเราท้องลูกคนที่สอง เราคุยกับสามีว่าอยากเอาลูกมาเลี้ยงที่กรุงเทพ...เพิ่งจะคิดได้ตอนลูกคนที่สอง
ที่เราเห็นด้วย เพราะสามีเราทำงานเป็นกะ ไม่ได้ไปหาลูกทุกอาทิตย์เหมือนเรา กลัวว่าพ่อลูกจะห่างกันไปใหญ่
(ย้อนหลังไปตอนท้องลูกคนแรก เราตั้งใจย้ายจาก townhouse มาบ้านเดี่ยว เพื่อที่จะให้ลูกได้อยู่สบายๆ แต่แม่เราดันไม่ยอมมาเลี้ยงให้ซะงั้น)
ปัญหาตามมาอีกเพียบค่ะ...ใครจะเลี้ยงให้ แล้วลูกคนโตล่ะจะทำไง เอามาเลี้ยงด้วยกันแล้วตายายจะยอมมาเลี้ยงให้มั้ย
ตลอดระยะเวลาที่เราท้อง เราเคลียกับแม่เราไม่ได้ แต่ไม่ได้ทะเลาะกันนะคะ เราใช้วิธีตะล่อมไปเรื่อยๆค่ะ
เรามีบ้านอยู่กรุงเทพ และได้ต่อห้องเพิ่มสำหรับเลี้ยงเด็ก และให้พ่อแม่นอนได้ด้วย จะได้ไม่ต้องเดินขึ้นลงบันได
ช่วงใกล้คลอดพ่อแม่เราพาลูกคนโตมาอยู่กรุงเทพด้วย เพราะเราไม่อยากขับรถไกล ระหว่างนี้ก็ทำการเจรจาไปด้วย
จนถึงเมื่อเราคลอดลูกคนที่สอง...มีปัญหาเกิดขึ้นนิดหน่อย จนพ่อแม่เราพาลูกคนโตกลับบ้านต่างจังหวัด
เมื่อลูกคนที่สองครบเดือน เราก็ตามกลับไปพักที่ต่างจังหวัดด้วย ระหว่างนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงหลังครบกำหนดลาคลอด
เรากับสามีคุยกันว่า...จะเอาลูกคนเล็กมาเลี้ยงที่กรุงเทพ ถ้าตายายไม่มาเลี้ยงให้ก็จะจ้างคนเลี้ยง
ส่วนคนโตเค้าติดตายายมาก ก็จะให้เลี้ยงที่ต่างจังหวัดไป รอให้เข้าโรงเรียนได้ค่อยเอามาเรียนที่กรุงเทพ
แต่ถ้าตายายงอนไม่เลี้ยงคนโตให้ ก็จะเอามาจ้างคนเลี้ยงที่กรุงเทพทั้งคู่เลย
สุดท้าย...แม่เราใจอ่อนยอมมาเลี้ยงหลานสองคนให้ที่กรุงเทพ...ขอบคุณพ่อกับแม่จริงๆค่ะ
การเลี้ยงลูกคนที่สอง...กลางวันเราไปทำงาน ลูกๆต้องอยู่กับตายาย ส่วนกลางคืนลูกคนโตนอนกับตายาย คนเล็กนอนกับเราค่ะ
เราฝึกให้เค้ารู้จักการนอนเป็นเวลา ไม่อุ้มหลับ ให้เค้ารู้ว่าเมื่อหรี่ไฟแล้วคือเวลาที่เค้าต้องนอน
ถ้ายังไม่อยากนอน ก็ให้เล่นทั้งๆที่ไฟสลัวนั่นแหละค่ะ จนตอนนี้เค้านอนง่ายมาก พอง่วงก็จะคลานมาเอาขวดนมยื่นให้เราเปิดฝาให้...แล้วก็หลับไปเอง
เราเลี้ยงในแบบที่เราอยากเลี้ยง เล่นกับเค้าให้มาก จับมือถือให้น้อยที่สุด พูดคุยกับเค้าเหมือนว่าเค้าฟังรู้เรื่อง
ให้เวลากับทั้งสองคนมากเท่าที่เราจะทำได้ เสาร์อาทิตย์พาออกไปเที่ยวสี่คนพ่อแม่ลูก
สรุป...ความแตกต่างของการเลี้ยงดูในช่วงแรกสำคัญมากในความเห็นของเรา เพราะมันเป็นพื้นฐานการเรียนรู้ของเด็กคนนึง
คนโตเหมือนมีความกลัวว่าจะถูกทิ้ง อาจจะเป็นเพราะตอนเล็กๆพ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยมาๆหายๆ เลยไม่ค่อยกล้าจะทำอะไร ต้องแน่ใจก่อนว่าไม่มีอะไรถึงจะทำ
ทุกวันนี้ต้องพูดให้กำลังใจ ชมเชย เพื่อผลักดันให้เค้ากล้าเรียนรู้ ไม่ตำหนิหากเค้ายังไม่กล้าหรือไม่พร้อมจะทำอะไร
ยังไม่สายที่เราจะสอนให้เค้ากล้าเรียนรู้ แค่อยากบอกเฉยๆว่า...มันมีผลค่ะ
คนเล็กจะเรียนรู้เร็ว ไม่กังวลว่าแม่จะหายไปไหน อารมณ์ดี มีร้องงอแงบ้างตามวัย แต่จะไม่ร้องเรื่อยเปื่อยอ่ะค่ะ
สำหรับข้อดีของการมีลูกติดกันคือ...เหนื่อยทีเดียวจบค่ะ มันรู้สึกอย่างงั้นจริงๆ อารมณ์เราตอนนี้คือไม่ต้องกังวลเรื่องตอนท้อง เรื่องเลี้ยงลูกแบเบาะ
แต่เราจะกังวลเรื่องเดียวกันสำหรับลูกทั้งสองคน เช่น การเข้าโรงเรียน การฝึกเรียนรู้เรื่องต่างๆ
ระยะเวลาที่เรากังวลเรื่องนี้มันจะสั้นมากประมาณปี-2ปี แล้วก็ผ่านไป
กลับกันคือถ้ามีลูกห่างกัน ในเวลาที่ลูกคนโตโตแล้ว แล้วต้องมาเริ่มเลี้ยงคนเล็กในวัยแบเบาะอีก ต้องเครียดเรื่องเดิมซ้ำ...วนไปค่ะ
แต่ๆๆๆๆๆ...มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดแค่ต้องร่วมมือกันระหว่างพ่อกับแม่แค่นั้นเอง
ข้อเสีย...คงไม่ต้องพูดถึงเนอะ ขอโลกสวยเงียบๆคนเดียว อิ อิ
วันนี้เราเหมือนได้ทำการทดลองแล้วว่า...การเลี้ยงลูกในขวบปีแรกมีผลต่อพัฒนาการของเด็กคนนึงมั้ย
เราเคยอยากได้คำอธิบายในเรื่องนี้ก่อนที่เราจะมีลูกคนที่สอง แต่ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่า...อาจจะมี แต่เดี๋ยวเค้าก็โต แล้วจะอยากอยู่กับพ่อแม่เอง
ซึ่งเราไม่ได้อยากรอนานขนาดนั้น กว่าเค้าจะรู้...เราอาจพลาดอะไรไปก็ได้
เราต้องการคำตอบที่เป็นรายละเอียดมากกว่านั้น อยากรู้ว่าอารมณ์ของเด็กจะเป็นยังไง เหงามั้ย จะรู้สึกอบอุ่นพอมั้ย
วันนี้เราได้คำตอบในเรื่องนี้แล้ว การที่เด็กได้อยู่กับพ่อแม่คือดีที่สุด ถึงแม้ได้เจอแค่ตอนกลางคืน แต่เวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนนอนก็สามารถสร้างความผูกพันธ์กับลูกได้มากมายค่ะ
ถึงแม้ตอนกลางวันเค้าจะต้องอยู่กับคนอื่น จริงอยู่ที่มันอันตราย แต่มันมีวิธีป้องกันมากมายค่ะ
ถ้าวันนั้นเราสามารถเลือกได้ใหม่อีกครั้ง...เราจะเลือกให้ลูกอยู่กับเราก่อน เพราะคิดว่าหากมีปัญหาเกิดขึ้น...เราน่าจะแก้ได้ทันเวลากว่า
แต่...ถ้ามีเหตุผลอื่นทำให้ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ไม่ว่าจะด้วยข้อจำกัดอะไรก็ตาม การอยู่กับปู่ย่าตายายก็ไม่ได้แย่มากมาย
คนเป็นพ่อแม่แค่มีหน้าที่เพิ่มคือต้องสร้างความไว้วางใจให้ลูก ให้เค้ารับรู้ให้ได้ว่าพ่อแม่รักเค้าจริงๆ ไม่ใช่จากคำพูดที่เราบอกเค้า แต่จากการกระทำที่เราทำให้เค้าต่างหาก...
ขอบคุณทุกคนที่อ่านค่ะ
ปล. เราสนใจเรื่องจิตวิทยาเด็กมากๆๆๆ อยากให้มาคุยเรื่องการเลี้ยงลูก เผื่อจะได้เอามาปรับใช้บ้างค่ะ