คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กนศ.) หรือคณะกรรมการอีอีซี เห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก รวมทั้งสิ้น 168 โครงการ วงเงินลงทุน 988,948.1 ล้านบาท โดยมีหลักการมุ่งพัฒนาโลจิสติกส์แบบไร้รอยต่อ (One Seamless Transport) เชื่อมโยงทั้งทางบก น้ำ อากาศ ในพื้นที่ EEC และพื้นที่ใกล้เคียง
แบ่งแผนปฏิบัติการแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่
ระยะเร่งด่วนตั้งแต่ปี 2560-2561 จำนวน 99 โครงการ วงเงิน 292,882.63 ล้านบาท ได้แก่ โครงการอู่ตะเภาระยะที่ 1 โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการอาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 โครงการท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 โครงการมอเตอร์เวย์ พัทยา-มาบตาพุด โครงการอาคารผู้โดยสาร ท่าเรือจุกเสม็ด โครงการปรับปรุงโครงข่ายถนนสายรอง
ระยะกลางตั้งแต่ปี 2562-2564 จำนวน 62 โครงการ วงเงิน 414,360.59 ล้านบาท ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่ (แหลงฉบัง-มาบตาพุด-ระยอง-จันทบุรี-ตราด) โครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 2 ท่าอากาศยานอู่ตะเภา โครงการ Air Cargo อู่ตะเภา ระยะที่ 1 โครงการ Free Trade Zone ท่าอากาศยานอู่ตะเภา โครงการมอเตอร์เวย์ แหลมฉบัง-ปราจีนบุรี โครงการปรับปรุงโครงข่ายถนนสายรอง โครงการเพิ่มโครงข่ายทางเลี่ยงเมือง
ระยะต่อไปตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป จำนวน 7 โครงการ วงเงิน 252,879.5 ล้านบาท ได้แก่ โครงการรถไฟเชื่อมอีอีซี-ทวาย-กัมพูชา โครงการ ICD ฉะเชิงเทรา โครงการ Air Cargo อู่ตะเภา ระยะที่ 2 โครงการมอเตอร์เวย์ ชลบุรี-อำเภอแกลง และโครงการเพิ่มโครงข่ายถนนรองรับเมืองใหม่
แบ่งแผนงานตามประเภทของการเดินทาง พบว่ามีโครงการขนส่งทางถนน 90 โครงการ วงเงินคิดเป็น 21.7% ของวงเงินรวม, โครงการขนส่งทางราง 9 โครงการ วงเงินคิดเป็น 40.32%, โครงการขนส่งทางน้ำ 19 โครงการ วงเงินคิดเป็น 16.24%, โครงการขนส่งทางอากาศ 20 โครงการ วงเงินคิดเป็น 17.56%, โครงการระบบไฟฟ้า 12 โครงการ วงเงินคิดเป็น 4.9% และโครงการระบบประปา 18 โครงการ วงเงินคิดเป็น 0.08% ขณะที่แหล่งเงินส่วนใหญ่จะมาจากการร่วมลงทุนกับเอกชน 59%, งบประมาณภาครัฐ 30% เงินของรัฐวิสาหกิจ 10% และกองทุนหมุนเวียน 1%
ส่วนผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ ได้แก่ ลดต้นทุนโลจิสติกส์ 2% ของจีดีพี หรือปีละ 200,000 ล้านบาท, สามารถลดต้นทุนระยะเวลา อุบัติเหตุ ฯลฯ คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 2.1-3 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ลดความอัดแอของกรุงเทพฯ ในอนาคต โดยประชาชนสามารถเดินทางระหว่างกรุงเทพฯ และ EEC เข้าสู่กรุงเทพฯ ใน 1 ชั่วโมงด้วยรถไฟความเร็วสูง และมีสนามบินอู่ตะเภาเป็นเสมือนสนามบินหลักแห่งที่ 3 ของกรุงเทพฯ ช่วยผ่อนคลายความคับคั่งของสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ
แผนการคมนาคมครอบคลุมการสัญจรทุกระบบ ส่งผลให้การเดินทางของคน และการขนส่งสินค้า สะดวกรวดเร็วและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น การวางโครงสร้างพื้นฐานที่ดี จึงเป็นจุดดึงดูดการลงทุนได้มาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ที่มา: https://thaipublica.org/2018/02/eec-2-2-2561/
แผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานรองรับอีอีซี มุ่งพัฒนาโลจิสติกส์แบบไร้รอยต่อ
คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กนศ.) หรือคณะกรรมการอีอีซี เห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก รวมทั้งสิ้น 168 โครงการ วงเงินลงทุน 988,948.1 ล้านบาท โดยมีหลักการมุ่งพัฒนาโลจิสติกส์แบบไร้รอยต่อ (One Seamless Transport) เชื่อมโยงทั้งทางบก น้ำ อากาศ ในพื้นที่ EEC และพื้นที่ใกล้เคียง
แบ่งแผนปฏิบัติการแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่
ระยะเร่งด่วนตั้งแต่ปี 2560-2561 จำนวน 99 โครงการ วงเงิน 292,882.63 ล้านบาท ได้แก่ โครงการอู่ตะเภาระยะที่ 1 โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการอาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 โครงการท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 โครงการมอเตอร์เวย์ พัทยา-มาบตาพุด โครงการอาคารผู้โดยสาร ท่าเรือจุกเสม็ด โครงการปรับปรุงโครงข่ายถนนสายรอง
ระยะกลางตั้งแต่ปี 2562-2564 จำนวน 62 โครงการ วงเงิน 414,360.59 ล้านบาท ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่ (แหลงฉบัง-มาบตาพุด-ระยอง-จันทบุรี-ตราด) โครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 2 ท่าอากาศยานอู่ตะเภา โครงการ Air Cargo อู่ตะเภา ระยะที่ 1 โครงการ Free Trade Zone ท่าอากาศยานอู่ตะเภา โครงการมอเตอร์เวย์ แหลมฉบัง-ปราจีนบุรี โครงการปรับปรุงโครงข่ายถนนสายรอง โครงการเพิ่มโครงข่ายทางเลี่ยงเมือง
ระยะต่อไปตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป จำนวน 7 โครงการ วงเงิน 252,879.5 ล้านบาท ได้แก่ โครงการรถไฟเชื่อมอีอีซี-ทวาย-กัมพูชา โครงการ ICD ฉะเชิงเทรา โครงการ Air Cargo อู่ตะเภา ระยะที่ 2 โครงการมอเตอร์เวย์ ชลบุรี-อำเภอแกลง และโครงการเพิ่มโครงข่ายถนนรองรับเมืองใหม่
แบ่งแผนงานตามประเภทของการเดินทาง พบว่ามีโครงการขนส่งทางถนน 90 โครงการ วงเงินคิดเป็น 21.7% ของวงเงินรวม, โครงการขนส่งทางราง 9 โครงการ วงเงินคิดเป็น 40.32%, โครงการขนส่งทางน้ำ 19 โครงการ วงเงินคิดเป็น 16.24%, โครงการขนส่งทางอากาศ 20 โครงการ วงเงินคิดเป็น 17.56%, โครงการระบบไฟฟ้า 12 โครงการ วงเงินคิดเป็น 4.9% และโครงการระบบประปา 18 โครงการ วงเงินคิดเป็น 0.08% ขณะที่แหล่งเงินส่วนใหญ่จะมาจากการร่วมลงทุนกับเอกชน 59%, งบประมาณภาครัฐ 30% เงินของรัฐวิสาหกิจ 10% และกองทุนหมุนเวียน 1%
ส่วนผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ ได้แก่ ลดต้นทุนโลจิสติกส์ 2% ของจีดีพี หรือปีละ 200,000 ล้านบาท, สามารถลดต้นทุนระยะเวลา อุบัติเหตุ ฯลฯ คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 2.1-3 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ลดความอัดแอของกรุงเทพฯ ในอนาคต โดยประชาชนสามารถเดินทางระหว่างกรุงเทพฯ และ EEC เข้าสู่กรุงเทพฯ ใน 1 ชั่วโมงด้วยรถไฟความเร็วสูง และมีสนามบินอู่ตะเภาเป็นเสมือนสนามบินหลักแห่งที่ 3 ของกรุงเทพฯ ช่วยผ่อนคลายความคับคั่งของสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ
แผนการคมนาคมครอบคลุมการสัญจรทุกระบบ ส่งผลให้การเดินทางของคน และการขนส่งสินค้า สะดวกรวดเร็วและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น การวางโครงสร้างพื้นฐานที่ดี จึงเป็นจุดดึงดูดการลงทุนได้มาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้