LN Review: Paladin on the Dish ราคาของพาราดิน

รูปจาก
http://www.phoenixnext.com
เลวาทีน ดินแดนเล็ก ๆ ที่อยู่ร่วม “จาน” กับอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ต่าง ๆ
ถูกรุกรานซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนอยู่ในภาวะวิกฤติ
ชายผู้หนึ่งทนดูอาณาจักรของตนเองล่มสลายไม่ได้จึงออกเดินทางเพื่อหาวิธีกอบกู้บ้านเกิดของตน
ทั้งที่ตนเองเป็นแค่ ชาวนาธรรมดาๆ คนหนึ่ง
ชาวนาได้เดินทางไปพบกับเหล่าสัตว์ในตำนานเพื่อขออำนาจวิเศษมากอบกู้อาณาจักรของตน
ฝ่าฟันบททดสอบยังยากยิ่งที่จะมีมนุษย์ผู้ใดทำได้
ด้วยความกล้าหาญและไม่ย่อท้อ สุดท้ายเค้าก็ทำได้สำเร็จ
เหล่าสัตว์ในตำนานจึงได้แบ่งอำนาจของตนให้แก่ชาวนาโดยผนึกไว้ในส่วนต่าง ๆ ของเกราะ
หมวกเหล็กที่มองได้ไกลพันลี้
เกราะอกที่ทนทานราวปราการเหล็ก
เกราะแขนที่ฝ่าแยกปฐพีได้
และอีกมากมาย รวมทั้งสิ้น 12 ชิ้น เท่าจำนวนของสัตว์ในตำนาน
ด้วยพลังของเกราะวิเศษนี้ทำให้ชาวนาถูกเรียกอย่างหวาดกลัวจากเหล่าศัตรูว่า “นักรบปีศาจ”
แต่ก็ทำให้ชาวนาเพียงคนเดียวสามารถกอบกู้อาณาจักรจนรุ่งเรืองยิ่งใหญ่ได้เยี่ยงปัจจุบัน
และต่อมาชาวนาผู้นั้นได้รับการยกย่องอย่างสูงสุดว่า “พาราดิน”
วันนี้เป็นวันที่น่าจนนำสำหรับไอแซ็ค
วันที่พี่สาวของเค้าแอชลีย์ บรรลุนิติภาวะ
วันที่พี่สาวของเค้าจะได้รับขนานนาม “พาราดิน” ที่ไม่มีใครได้รับเลยมาตลอด 100 ปี
วันที่พี่สาวของเค้าจะได้รับสิทธิ์ในการสวม เกราะในตำนาน ของ “พาราดิน”
วันที่พวกเค้าพี่น้อง ผู้สืบสายเลือดของ “พาราดิน” รู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง
แต่ไอแซ็คไม่สบายใจเลย ในพิธีบรรลุนิติภาวะถึงจะมีกษัตริย์แห่งเลวาทีนและเหล่าเจ้ากระทรวงและผู้บัญชาทัพสูงสุดเข้าร่วมกลับจำนวนคนทั้งหมดมีแค่ไม่กี่คน
ราวกับ ไม่อยากไม่ใครรู้
พี่สาวของเค้าที่สวมเกราะเตรียมเข้าพิธีก็รู้สึกเหมือนกันแต่กษัตริย์แห่งเลวาทีนกล่าวว่าจะตอบคำถามหลังจากที่แอชลีย์สวมหมวกเหล็กลงไปให้ครบชุด
แอชลีย์สวมหมวกเหล็กลงไป
แกร๊ง
แขนขวาของแอชลีย์ที่สวมเกราะอยู่ร่วงลงมา
ตามด้วยแขนซ้าย
ต้นแขนขวา
ต้นแขนซ้าย
ขาขวา
ขาซ้าย
ต้นขาขวา
ต้นขาซ้าย
สะโพก
หน้าอก
คอ
และศีรษะ
“ผะ...ผู้บัญชาการ”
“มันยังไม่จบ”
หันไปอีกที มีชิ้นส่วนหลายชิ้นหายไป
ชิ้นส่วนที่เหลือกำลังลอยออกไปบนฟ้า
ระหว่างที่กำลังตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น สายตาพลันไปเห็นหมวกเหล็กยังอยู่ที่พื้น
ต้องทันสิ!
ไอแซ็ครีบคว้าจับหมวกเหล็ก ชิ้นส่วนหนึ่งของพี่สาวไว้ได้สำเร็จ
“วางมันลงซะ” กษัตริย์แห่งเลวาทีนกล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์
พวกแก...
“รู้อยู่แล้วใช่ไหม ว่าจะเป็นแบบนี้”
เรื่องนี้ดำเนินเรื่องได้น่าสนใจครับ
เริ่มด้วยนิทานที่งดงามราวเทพนิยาย
ก่อนที่ผู้เขียนจะไปพาแนะนำกับยาขมที่ชื่อว่าความจริงของเทพนิยาย ค่อย ๆ รินยาขมให้ผู้อ่านทานไปเรื่อย ๆ เป็นระยะ ๆ สลับกับขนม
ผู้อ่านก็ไม่มีทางเลือกต้องกินยาขมลงไปเพราะความจริงมันหอมเย้ายวนและถึงขมแต่ดันอร่อยซะอีก
มีจุดหนึ่งในส่วนของรูปเล่มที่ผมชอบคือการใช้ปกอาบมันร่วมกับปกในเพื่อทำเหมือนเป็นปกเดียวกัน
ผมพึ่งรู้ตอนอ่านจบผู้แต่งคือคนที่แต่งเรื่อง sacred blacksmith เทียบกับเรื่องนี้แล้วผมชอบเรื่องนี้มากกว่า
ส่วนอื่น ๆ ที่สังเกตได้ก็ เรื่องนี้ไม่มีรูปประกอบแทรกในเล่ม
สรุปเลยคือเรื่องนี้ดำเนินเรื่องได้ดีมากและมีโมเมนต่าง ๆ ค่อนข้างครบรสทีเดียว
ในเวลาที่เราคิดว่าหมดแล้วแล้วใช่ไหม ยาขม ยังมีมาได้อีก
5 ดาวครับ
อันที่จริงมีจุดหนึ่งที่ถือว่าทำลายความเซอร์ไพรส์ไปจนน่าเสียดาย แต่เอาเถอะ
ปล. ตอนซื้อก็กัดฟันแน่นนิดนึงจะช่วยได้ครับ
[CR] LN Review: Paladin on the Dish ราคาของพาราดิน
รูปจาก http://www.phoenixnext.com
เลวาทีน ดินแดนเล็ก ๆ ที่อยู่ร่วม “จาน” กับอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ต่าง ๆ
ถูกรุกรานซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนอยู่ในภาวะวิกฤติ
ชายผู้หนึ่งทนดูอาณาจักรของตนเองล่มสลายไม่ได้จึงออกเดินทางเพื่อหาวิธีกอบกู้บ้านเกิดของตน
ทั้งที่ตนเองเป็นแค่ ชาวนาธรรมดาๆ คนหนึ่ง
ชาวนาได้เดินทางไปพบกับเหล่าสัตว์ในตำนานเพื่อขออำนาจวิเศษมากอบกู้อาณาจักรของตน
ฝ่าฟันบททดสอบยังยากยิ่งที่จะมีมนุษย์ผู้ใดทำได้
ด้วยความกล้าหาญและไม่ย่อท้อ สุดท้ายเค้าก็ทำได้สำเร็จ
เหล่าสัตว์ในตำนานจึงได้แบ่งอำนาจของตนให้แก่ชาวนาโดยผนึกไว้ในส่วนต่าง ๆ ของเกราะ
หมวกเหล็กที่มองได้ไกลพันลี้
เกราะอกที่ทนทานราวปราการเหล็ก
เกราะแขนที่ฝ่าแยกปฐพีได้
และอีกมากมาย รวมทั้งสิ้น 12 ชิ้น เท่าจำนวนของสัตว์ในตำนาน
ด้วยพลังของเกราะวิเศษนี้ทำให้ชาวนาถูกเรียกอย่างหวาดกลัวจากเหล่าศัตรูว่า “นักรบปีศาจ”
แต่ก็ทำให้ชาวนาเพียงคนเดียวสามารถกอบกู้อาณาจักรจนรุ่งเรืองยิ่งใหญ่ได้เยี่ยงปัจจุบัน
และต่อมาชาวนาผู้นั้นได้รับการยกย่องอย่างสูงสุดว่า “พาราดิน”
วันนี้เป็นวันที่น่าจนนำสำหรับไอแซ็ค
วันที่พี่สาวของเค้าแอชลีย์ บรรลุนิติภาวะ
วันที่พี่สาวของเค้าจะได้รับขนานนาม “พาราดิน” ที่ไม่มีใครได้รับเลยมาตลอด 100 ปี
วันที่พี่สาวของเค้าจะได้รับสิทธิ์ในการสวม เกราะในตำนาน ของ “พาราดิน”
วันที่พวกเค้าพี่น้อง ผู้สืบสายเลือดของ “พาราดิน” รู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง
แต่ไอแซ็คไม่สบายใจเลย ในพิธีบรรลุนิติภาวะถึงจะมีกษัตริย์แห่งเลวาทีนและเหล่าเจ้ากระทรวงและผู้บัญชาทัพสูงสุดเข้าร่วมกลับจำนวนคนทั้งหมดมีแค่ไม่กี่คน
ราวกับ ไม่อยากไม่ใครรู้
พี่สาวของเค้าที่สวมเกราะเตรียมเข้าพิธีก็รู้สึกเหมือนกันแต่กษัตริย์แห่งเลวาทีนกล่าวว่าจะตอบคำถามหลังจากที่แอชลีย์สวมหมวกเหล็กลงไปให้ครบชุด
แอชลีย์สวมหมวกเหล็กลงไป
แกร๊ง
แขนขวาของแอชลีย์ที่สวมเกราะอยู่ร่วงลงมา
ตามด้วยแขนซ้าย
ต้นแขนขวา
ต้นแขนซ้าย
ขาขวา
ขาซ้าย
ต้นขาขวา
ต้นขาซ้าย
สะโพก
หน้าอก
คอ
และศีรษะ
“ผะ...ผู้บัญชาการ”
“มันยังไม่จบ”
หันไปอีกที มีชิ้นส่วนหลายชิ้นหายไป
ชิ้นส่วนที่เหลือกำลังลอยออกไปบนฟ้า
ระหว่างที่กำลังตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น สายตาพลันไปเห็นหมวกเหล็กยังอยู่ที่พื้น
ต้องทันสิ!
ไอแซ็ครีบคว้าจับหมวกเหล็ก ชิ้นส่วนหนึ่งของพี่สาวไว้ได้สำเร็จ
“วางมันลงซะ” กษัตริย์แห่งเลวาทีนกล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์
พวกแก...
“รู้อยู่แล้วใช่ไหม ว่าจะเป็นแบบนี้”
เรื่องนี้ดำเนินเรื่องได้น่าสนใจครับ
เริ่มด้วยนิทานที่งดงามราวเทพนิยาย
ก่อนที่ผู้เขียนจะไปพาแนะนำกับยาขมที่ชื่อว่าความจริงของเทพนิยาย ค่อย ๆ รินยาขมให้ผู้อ่านทานไปเรื่อย ๆ เป็นระยะ ๆ สลับกับขนม
ผู้อ่านก็ไม่มีทางเลือกต้องกินยาขมลงไปเพราะความจริงมันหอมเย้ายวนและถึงขมแต่ดันอร่อยซะอีก
มีจุดหนึ่งในส่วนของรูปเล่มที่ผมชอบคือการใช้ปกอาบมันร่วมกับปกในเพื่อทำเหมือนเป็นปกเดียวกัน
ผมพึ่งรู้ตอนอ่านจบผู้แต่งคือคนที่แต่งเรื่อง sacred blacksmith เทียบกับเรื่องนี้แล้วผมชอบเรื่องนี้มากกว่า
ส่วนอื่น ๆ ที่สังเกตได้ก็ เรื่องนี้ไม่มีรูปประกอบแทรกในเล่ม
สรุปเลยคือเรื่องนี้ดำเนินเรื่องได้ดีมากและมีโมเมนต่าง ๆ ค่อนข้างครบรสทีเดียว
ในเวลาที่เราคิดว่าหมดแล้วแล้วใช่ไหม ยาขม ยังมีมาได้อีก
5 ดาวครับ
อันที่จริงมีจุดหนึ่งที่ถือว่าทำลายความเซอร์ไพรส์ไปจนน่าเสียดาย แต่เอาเถอะ
ปล. ตอนซื้อก็กัดฟันแน่นนิดนึงจะช่วยได้ครับ