(สำหรับผู้ที่ต้องการจะปรับความความเข้าใจ)..ที่ใดมีความขัดแย้ง ที่นั่นควรมีความเข้าใจระหว่างกันและกัน..
ศาสนาคืออะไร วิทยาศาสตร์คืออะไร หากเข้าใจว่าศาสนาคือการปฏิบัติเพื่อละทิ้งกิเลส คือละทิ้งความเคลื่อนไหวกระทำไม่สันติในตนเอง
เข้าถึงผลคือความสุข และวิทยาศาสตร์ก็คือการพิสูจน์ การปฏิบัติทดลอง ก็ไม่เห็นว่ามันจะขัดแย้งกันตรงไหน..
นักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงต้องทดลอง นักศาสนาต้องปฏิบัติ..
ทั้งสองย่อมได้ชิมผลของมันอย่างแน่นอน เมื่อนักศาสนาเสนอทฤษฏีว่าความปล่อยวาง ความดับลงของความอยากความยึด ที่เป็นความดับลงของความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้นทำให้เกิดความสุข นักวิทยาศาสตร์จะตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อได้อย่างไรหากไม่ปฏิบัติทดลองตาม..
หากยังมิได้ปฏิบัติทดลองแล้วเชื่อตามในทันทีหรือปฏิเสธว่าไม่จริงในทันทีทันใด ก็ถือว่าขาดคุณสมบัติของความเป็นนักวิทยาศาสตร์
จะเรียกตนเองว่าอยู่ฝ่ายวิทยาศาสตร์หรือเป็นนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้..
หากเชื่อว่าคำสอนใดเป็นความลวงนำไปสู่ความทุกข์ ทดลองให้ทฤษฏีทางศาสนามันพังทลายลงไป ทำให้นักศาสนาหยุดสอนคำสอนเช่นนั้น
หรือทำให้ต้องปรับปรุงคำสอนใหม่ทำให้มันถูกต้องตรงต่อไป..
หากทดลองแล้วได้ผลที่ดีมีประโยชน์ตรงตามนั้นก็ช่วยรับรองสักหน่อย เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ..
อย่างที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายมักกล่าวว่าทำเพื่อโลก..
....................................................................................
ปล.ข้าพเจ้ามิได้มีความกังวลใดๆต่อนักวิทยาศาสตร์ที่แทัจริงแต่ประการใด แต่เกรงว่าจะมีผู้ที่มิใช่นักวิทยาศาสตร์อาศัยเอาวิทยาศาสตร์
มาทำลายความน่าเชื่อถือของศาสนาเท่านั้นเอง..
ซึ่งต้องยอมรับว่าเมื่อนักวิทยาศาสตร์ท่านใดหรือบุคคลใดทำการทดลอง นักวิทยาศาสตร์ท่านนั้นหรือบุคคลท่านนั้นย่อมได้ผลสรุปเป็นปัจจัตตังของใครของมัน จะรับรองหรือไม่รับรองก็เป็นผลมาจากปัจจัตตังของใครของมันที่อาจเห็นเหมือนกันหรือไม่เหมือนกันนั่นเองเหมือนๆกัน..
เมื่อ(นัก)วิทยาศาสตร์ขัดแย้งกับ(นัก)ศาสนา ที่ใดมีความขัดแย้งที่นั่นควรมีความเข้าใจระหว่างกันและกัน..
ศาสนาคืออะไร วิทยาศาสตร์คืออะไร หากเข้าใจว่าศาสนาคือการปฏิบัติเพื่อละทิ้งกิเลส คือละทิ้งความเคลื่อนไหวกระทำไม่สันติในตนเอง
เข้าถึงผลคือความสุข และวิทยาศาสตร์ก็คือการพิสูจน์ การปฏิบัติทดลอง ก็ไม่เห็นว่ามันจะขัดแย้งกันตรงไหน..
นักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงต้องทดลอง นักศาสนาต้องปฏิบัติ..
ทั้งสองย่อมได้ชิมผลของมันอย่างแน่นอน เมื่อนักศาสนาเสนอทฤษฏีว่าความปล่อยวาง ความดับลงของความอยากความยึด ที่เป็นความดับลงของความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้นทำให้เกิดความสุข นักวิทยาศาสตร์จะตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อได้อย่างไรหากไม่ปฏิบัติทดลองตาม..
หากยังมิได้ปฏิบัติทดลองแล้วเชื่อตามในทันทีหรือปฏิเสธว่าไม่จริงในทันทีทันใด ก็ถือว่าขาดคุณสมบัติของความเป็นนักวิทยาศาสตร์
จะเรียกตนเองว่าอยู่ฝ่ายวิทยาศาสตร์หรือเป็นนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้..
หากเชื่อว่าคำสอนใดเป็นความลวงนำไปสู่ความทุกข์ ทดลองให้ทฤษฏีทางศาสนามันพังทลายลงไป ทำให้นักศาสนาหยุดสอนคำสอนเช่นนั้น
หรือทำให้ต้องปรับปรุงคำสอนใหม่ทำให้มันถูกต้องตรงต่อไป..
หากทดลองแล้วได้ผลที่ดีมีประโยชน์ตรงตามนั้นก็ช่วยรับรองสักหน่อย เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ..
อย่างที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายมักกล่าวว่าทำเพื่อโลก..
....................................................................................
ปล.ข้าพเจ้ามิได้มีความกังวลใดๆต่อนักวิทยาศาสตร์ที่แทัจริงแต่ประการใด แต่เกรงว่าจะมีผู้ที่มิใช่นักวิทยาศาสตร์อาศัยเอาวิทยาศาสตร์
มาทำลายความน่าเชื่อถือของศาสนาเท่านั้นเอง..
ซึ่งต้องยอมรับว่าเมื่อนักวิทยาศาสตร์ท่านใดหรือบุคคลใดทำการทดลอง นักวิทยาศาสตร์ท่านนั้นหรือบุคคลท่านนั้นย่อมได้ผลสรุปเป็นปัจจัตตังของใครของมัน จะรับรองหรือไม่รับรองก็เป็นผลมาจากปัจจัตตังของใครของมันที่อาจเห็นเหมือนกันหรือไม่เหมือนกันนั่นเองเหมือนๆกัน..