ไทยเผชิญหนี้ครัวเรือน-สังคมผู้สูงอายุฉุดกำลังซื้อบ้าน ขณะที่แบงก์คุมเข้มคุณภาพหนี้ คาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยปีนี้โตเพียง 7% ระบุคนรุ่นใหม่นิยมมีหนี้ที่ไม่มีหลักประกันมากกว่ามีหลักประกัน
รายงานข่าวจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยแจ้งว่า แนวโน้มสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยขยายตัว 6-7 % จากปีก่อน ซึ่งใกล้เคียงกับปี 60 ที่ 6 % แม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีโอกาสปรับตัวดีขึ้น จากบรรยากาศความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และการเดินหน้าทำตลาดอย่างต่อเนื่องของผู้ประกอบการเพื่อกระตุ้นยอดขาย แต่ด้านกำลังซื้อของผู้บริโภคยังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้าง ประกอบกับฝั่งสถาบันการเงิน มีความท้าทายจากกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งทำให้การรุกตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย น่าจะเป็นไปด้วยความระมัดระวัง และประคองพอร์ตเอ็นพีแอลของพอร์ตสินเชื่อที่อยู่อาศัย สวนทางกับการแข่งขันที่ยังคงรุนแรง โดยความนิยมของผู้บริโภคหันเหไปที่ที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีความคุ้มค่าเชิงเศรษฐกิจมากกว่า สินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัยแนวดิ่ง (คอนโดมิเนียม ห้องชุด หรือแฟลต) มีการเติบโตที่ชะลอลง เช่นเดียวกับสินเชื่อเพื่อซื้ออาคารพาณิชย์กับตึกแถวที่ค่อนข้างทรงตัว
ทั้งนี้ แม้จะเห็นยอดคงค้างเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงจากปี 60 แต่ด้วยอัตราการขยายตัวของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเติบโตในกรอบจำกัด ดังนั้น จึงอาจเห็นสัดส่วนเอ็นพีแอลต่อสินเชื่อรวมที่อาจใกล้เคียงถึงปรับขึ้นเล็กน้อยจาก 3.23% ณ สิ้นปี 60 มาที่ 3.20-3.30% สิ้นปีนี้
"ปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งหนี้ครัวเรือนและสังคมสูงอายุ ทำให้ตลาดลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพแคบลง โดยเทรนด์การก่อหนี้ของคนรุ่นใหม่ ที่เริ่มจากสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน หรือรถยนต์ ทำให้ความสามารถในการก่อหนี้ก้อนใหญ่อย่างเช่นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยถูกเลื่อนออกไป ขณะที่ ราคาที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ตามเส้นทางขนส่งมวลชน ที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ซื้อ ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าปีละ 5%1 ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้มองว่า ต้นทุนการทำธุรกิจของผู้ประกอบการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของมาตรฐานทางบัญชี ตลอดจนความกังวลเกี่ยวกับปัญหาคุณภาพหนี้ คงทำให้ผู้ประกอบการยังคงต้องมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่ำ และ/หรือมีฐานรายได้ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะลูกค้าบุคคลกลุ่มที่มีรายได้ประจำ ในวงเงินสินเชื่อที่สูงกว่า 3 ล้านบาท ที่ยังถูกมองว่ามีความสามารถในการชำระหนี้อยู่ในเกณฑ์ดี
ส่วน การแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการ น่าจะยังคงความเข้มข้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อผู้บริโภคยุคใหม่มีพฤติกรรมการเปรียบเทียบราคาและเงื่อนไขผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด ท่ามกลางการเข้าถึงข้อมูลที่สะดวกรวดเร็วผ่านช่องทางออนไลน์และการนำเสนอบริการของฟินเทค พร้อมนำผลการวิเคราะห์เชิงพฤติกรรม Big Data ของลูกค้ามาใช้ในการทำรายการส่งเสริมการขาย รวมทั้งเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีเงื่อนไขดอกเบี้ย อัตราผ่อนชำระ และระยะเวลาการผ่อนชำระ ที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละกลุ่มมากขึ้น เพื่อช่วยรักษาฐานลูกค้าในระยะยาวและลดอัตราการรีไฟแนนซ์สินเชื่อต่อพอร์ตโดยรวมด้วย
JJNY : เสดตะกิดดี๊ดี...ซี้จุกสูญ แบงก์คุมเข้มสินเชื่อบ้านหวั่นเอ็นพีแอลพุ่ง
รายงานข่าวจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยแจ้งว่า แนวโน้มสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยขยายตัว 6-7 % จากปีก่อน ซึ่งใกล้เคียงกับปี 60 ที่ 6 % แม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีโอกาสปรับตัวดีขึ้น จากบรรยากาศความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และการเดินหน้าทำตลาดอย่างต่อเนื่องของผู้ประกอบการเพื่อกระตุ้นยอดขาย แต่ด้านกำลังซื้อของผู้บริโภคยังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้าง ประกอบกับฝั่งสถาบันการเงิน มีความท้าทายจากกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งทำให้การรุกตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย น่าจะเป็นไปด้วยความระมัดระวัง และประคองพอร์ตเอ็นพีแอลของพอร์ตสินเชื่อที่อยู่อาศัย สวนทางกับการแข่งขันที่ยังคงรุนแรง โดยความนิยมของผู้บริโภคหันเหไปที่ที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีความคุ้มค่าเชิงเศรษฐกิจมากกว่า สินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัยแนวดิ่ง (คอนโดมิเนียม ห้องชุด หรือแฟลต) มีการเติบโตที่ชะลอลง เช่นเดียวกับสินเชื่อเพื่อซื้ออาคารพาณิชย์กับตึกแถวที่ค่อนข้างทรงตัว
ทั้งนี้ แม้จะเห็นยอดคงค้างเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงจากปี 60 แต่ด้วยอัตราการขยายตัวของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเติบโตในกรอบจำกัด ดังนั้น จึงอาจเห็นสัดส่วนเอ็นพีแอลต่อสินเชื่อรวมที่อาจใกล้เคียงถึงปรับขึ้นเล็กน้อยจาก 3.23% ณ สิ้นปี 60 มาที่ 3.20-3.30% สิ้นปีนี้
"ปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งหนี้ครัวเรือนและสังคมสูงอายุ ทำให้ตลาดลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพแคบลง โดยเทรนด์การก่อหนี้ของคนรุ่นใหม่ ที่เริ่มจากสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน หรือรถยนต์ ทำให้ความสามารถในการก่อหนี้ก้อนใหญ่อย่างเช่นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยถูกเลื่อนออกไป ขณะที่ ราคาที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ตามเส้นทางขนส่งมวลชน ที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ซื้อ ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าปีละ 5%1 ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้มองว่า ต้นทุนการทำธุรกิจของผู้ประกอบการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของมาตรฐานทางบัญชี ตลอดจนความกังวลเกี่ยวกับปัญหาคุณภาพหนี้ คงทำให้ผู้ประกอบการยังคงต้องมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่ำ และ/หรือมีฐานรายได้ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะลูกค้าบุคคลกลุ่มที่มีรายได้ประจำ ในวงเงินสินเชื่อที่สูงกว่า 3 ล้านบาท ที่ยังถูกมองว่ามีความสามารถในการชำระหนี้อยู่ในเกณฑ์ดี
ส่วน การแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการ น่าจะยังคงความเข้มข้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อผู้บริโภคยุคใหม่มีพฤติกรรมการเปรียบเทียบราคาและเงื่อนไขผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด ท่ามกลางการเข้าถึงข้อมูลที่สะดวกรวดเร็วผ่านช่องทางออนไลน์และการนำเสนอบริการของฟินเทค พร้อมนำผลการวิเคราะห์เชิงพฤติกรรม Big Data ของลูกค้ามาใช้ในการทำรายการส่งเสริมการขาย รวมทั้งเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีเงื่อนไขดอกเบี้ย อัตราผ่อนชำระ และระยะเวลาการผ่อนชำระ ที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละกลุ่มมากขึ้น เพื่อช่วยรักษาฐานลูกค้าในระยะยาวและลดอัตราการรีไฟแนนซ์สินเชื่อต่อพอร์ตโดยรวมด้วย