คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 39
ขอบคุณพี่โอ้ค่ะที่นำเกร็ดความรู้ดีๆ มาฝาก ไม่ค่อยรู้อะไรกับเขาหรอก เทศกาลทีก็มีหน้าที่กินแล้วก็กิน ที่บ้านจะเคร่งครัดมากเรื่องความซื่อสัตย์ ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น ทำดีไปโดยไม่ต้องสนใจว่าใครจะรู้หรือเห็นหรือไม่ ขอให้เราไม่ละอายต่อตัวเอง ไม่ทำความเดือดร้อนให้คนอื่น เอาตัวเองให้รอด ทำตัวเองให้ดี ไม่ต้องไปจัดระเบียบหวังดีกับชีวิตคนอื่นจนเกินหน้าที่
“แซ่คนจีนในไทย”
เป็นที่รู้กันว่าชาวจีนได้เข้ามาตั้งหลักแหล่งในประเทศไทยมาช้านาน ชาวไทยเชื้อสายจีน คือ ชาวจีนที่เกิดในประเทศไทยและเป็นเชื้อสายของผู้อพยพชาวจีน มีประมาณ 8 ล้านคนในประเทศไทย (คิดว่าคงเกินแหละนะ) หรือ 14% ของประชากรทั้งประเทศ และยังมีอีกจำนวนมากไม่สามารถนับได้ เพราะที่กลมกลืนกับคนไทยไปแล้วโดยการแต่งงานข้ามเชื้อชาติ
ใครที่นามสกุลยาวๆ สันนิษฐานเลย ตั้งขึ้นมาจากแซ่จีน บุคคลสำคัญทางธุรกิจและการเมืองมีที่สืบเชื้อสายจีนก็มาก

ชาวไทยเชื้อสายจีนในไทยส่วนมากบรรพบุรุษจะมาจากแต้จิ๋ว แคะ ฮกเกี้ยน และไหหลำ
แซ่ต่างๆ นั้นจากที่มีผู้รวบรวมคิดว่ามีหลายพันแซ่ แต่ที่มีมากหน่อยอาจเหลือไม่กี่ร้อยแซ่ ที่เรียกว่าเป็น ตระกูลใหญ่
ตัวอย่างแซ่ยอดนิยม

สิบอันดับแซ่ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก ได้แก่
1. จาง 2. หวาง 3. หลี่ 4. จ้าว 5. หลิว 6. เฉิน 7. หยาง 8. หลิน 9. สวี 10.โจว
สิบแซ่นี้รวมกันแล้วมีประมาณ 250 ล้านคน เฉพาะแซ่จางแซ่เดียวก็กว่า 100 ล้านคนเข้าไปแล้ว หรือมากเกือบเท่ากับคนอังกฤษและฝรั่งเศสสองประเทศรวมกัน (ว้าวๆๆๆ)
สิบอันดับแซ่ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในไทยได้แก่
1. ตั้ง (เฉิน)
2. ลิ้ม (หลิน)
3. ลี้ (หลี่)
4. อึ้ง (หวง)
5. โง้ว (หวู)
6. โค้ว (สวี่)
7. เตียว (จาง)
8. แต้ (เจิ้ง)
9. เล้า (หลิว)
10.เฮ้ง (หวาง)
ถ้าเราค่อยๆ นับไล่ย้อนหลังไปจากปัจจุบันที่มีแซ่ใช้ประจำ 5,007 แซ่ ในสมัยราชวงศ์หมิงมีเพียง 1,000 แซ่ สมัยราชวงศ์ซ่งมี 600 แซ่ สมัยราชวงศ์ถังมี 293 แซ่ สมัยราชวงศ์โจวมีเพียง 22 แซ่ กลับไปถึงสมัยหวงตี้มี 12 แซ่ แล้วถึงตัวหวงตี้เองมีเพียงเดียว อย่างนี้ย่อมนับได้ว่าคนจีนทุกคน ไม่ว่าปัจจุบันจะใช้แซ่อะไรก็ตาม ล้วนแต่เป็นสายเลือดเดียวกันทั้งนั้น ถ้าเรายอมรับตามความคิดนี้ ย่อมก่อให้เกิดความสงบสันติสุข ไม่อยากฆ่าฟันทำลายล้างกันอีกต่อไป
ปัจจุบันชาวโลกมีท่าทีเป็นมิตรต่อกันมากขึ้น เพราะต่างตระหนักดีว่า การทำตัวเป็นศัตรูกันอย่างงมงายด้วยการถือเขาถือเรา เป็นคนละเผ่ากันนั้นย่อมเป็นความคิดที่ล้าหลังน่าหัวเราะ โลกนี้แคบลงทุกวันตามจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มพูนขึ้น
การศึกษาความเป็นมาของคนจีนคือการศึกษาความเป็นมาของมวลมนุษย์ คำนี้คิดว่าคงไม่ใช่คำกล่าวที่เกิดเลยความจริง เพราะชาติจีนเป็นชาติหนึ่งซึ่งดำรงอยู่ตั้งแต่อดีตตราบกระทั่งปัจจุบัน มีวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาอย่างไม่ขาดตอน
เป็นชาติเดียวในโลกที่มีคนในสายลือดกระจายไปอยู่ทุกทวีป
เป็นชาติเดียวในโลกที่มีระบอบการปกครองที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาครบทุกรูปแบบ ครบเครื่องทั้งระบอบราชาธิปไตย
ประชาธิปไตยเผด็จการ สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ ระบอบกึ่งอาณานิคม เสรีนิยม และอำนาจนิยม
ที่มา:
http://www.dek-d.com/board/view/2744681/
http://www.vcharkarn.com/vblog/115780
คนจีนถือว่าคนแซ่เดียวกันเสมือนพี่น้องกัน จะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เคยอ่านจากที่หนึ่งเขาบอกว่า
"...ทั้งนี้ไม่จำกัดวงแคบเฉพาะในหมู่คนจีน หรือคนที่มีสายเลือดจีนเท่านั้น ถ้าเรามีน้ำใจเผื่อแผ่โดยถือว่าทุกคนที่เป็นมนุษย์ ล้วนแต่มีแซ่เดียวกัน คือ แซ่ตน โลกนี้ก็น่าจะอยู่กว่านี้อีกมากนัก..."
ร้อยแซ่แต้จิ๋ว (คิดว่าเกินร้อยเยอะอยู่นะ)
http://www.youtube.com/watch?v=TBk8y-atwN8
“แซ่คนจีนในไทย”
เป็นที่รู้กันว่าชาวจีนได้เข้ามาตั้งหลักแหล่งในประเทศไทยมาช้านาน ชาวไทยเชื้อสายจีน คือ ชาวจีนที่เกิดในประเทศไทยและเป็นเชื้อสายของผู้อพยพชาวจีน มีประมาณ 8 ล้านคนในประเทศไทย (คิดว่าคงเกินแหละนะ) หรือ 14% ของประชากรทั้งประเทศ และยังมีอีกจำนวนมากไม่สามารถนับได้ เพราะที่กลมกลืนกับคนไทยไปแล้วโดยการแต่งงานข้ามเชื้อชาติ
ใครที่นามสกุลยาวๆ สันนิษฐานเลย ตั้งขึ้นมาจากแซ่จีน บุคคลสำคัญทางธุรกิจและการเมืองมีที่สืบเชื้อสายจีนก็มาก

ชาวไทยเชื้อสายจีนในไทยส่วนมากบรรพบุรุษจะมาจากแต้จิ๋ว แคะ ฮกเกี้ยน และไหหลำ
แซ่ต่างๆ นั้นจากที่มีผู้รวบรวมคิดว่ามีหลายพันแซ่ แต่ที่มีมากหน่อยอาจเหลือไม่กี่ร้อยแซ่ ที่เรียกว่าเป็น ตระกูลใหญ่
ตัวอย่างแซ่ยอดนิยม

สิบอันดับแซ่ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก ได้แก่
1. จาง 2. หวาง 3. หลี่ 4. จ้าว 5. หลิว 6. เฉิน 7. หยาง 8. หลิน 9. สวี 10.โจว
สิบแซ่นี้รวมกันแล้วมีประมาณ 250 ล้านคน เฉพาะแซ่จางแซ่เดียวก็กว่า 100 ล้านคนเข้าไปแล้ว หรือมากเกือบเท่ากับคนอังกฤษและฝรั่งเศสสองประเทศรวมกัน (ว้าวๆๆๆ)
สิบอันดับแซ่ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในไทยได้แก่
1. ตั้ง (เฉิน)
2. ลิ้ม (หลิน)
3. ลี้ (หลี่)
4. อึ้ง (หวง)
5. โง้ว (หวู)
6. โค้ว (สวี่)
7. เตียว (จาง)
8. แต้ (เจิ้ง)
9. เล้า (หลิว)
10.เฮ้ง (หวาง)
ถ้าเราค่อยๆ นับไล่ย้อนหลังไปจากปัจจุบันที่มีแซ่ใช้ประจำ 5,007 แซ่ ในสมัยราชวงศ์หมิงมีเพียง 1,000 แซ่ สมัยราชวงศ์ซ่งมี 600 แซ่ สมัยราชวงศ์ถังมี 293 แซ่ สมัยราชวงศ์โจวมีเพียง 22 แซ่ กลับไปถึงสมัยหวงตี้มี 12 แซ่ แล้วถึงตัวหวงตี้เองมีเพียงเดียว อย่างนี้ย่อมนับได้ว่าคนจีนทุกคน ไม่ว่าปัจจุบันจะใช้แซ่อะไรก็ตาม ล้วนแต่เป็นสายเลือดเดียวกันทั้งนั้น ถ้าเรายอมรับตามความคิดนี้ ย่อมก่อให้เกิดความสงบสันติสุข ไม่อยากฆ่าฟันทำลายล้างกันอีกต่อไป
ปัจจุบันชาวโลกมีท่าทีเป็นมิตรต่อกันมากขึ้น เพราะต่างตระหนักดีว่า การทำตัวเป็นศัตรูกันอย่างงมงายด้วยการถือเขาถือเรา เป็นคนละเผ่ากันนั้นย่อมเป็นความคิดที่ล้าหลังน่าหัวเราะ โลกนี้แคบลงทุกวันตามจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มพูนขึ้น
การศึกษาความเป็นมาของคนจีนคือการศึกษาความเป็นมาของมวลมนุษย์ คำนี้คิดว่าคงไม่ใช่คำกล่าวที่เกิดเลยความจริง เพราะชาติจีนเป็นชาติหนึ่งซึ่งดำรงอยู่ตั้งแต่อดีตตราบกระทั่งปัจจุบัน มีวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาอย่างไม่ขาดตอน
เป็นชาติเดียวในโลกที่มีคนในสายลือดกระจายไปอยู่ทุกทวีป
เป็นชาติเดียวในโลกที่มีระบอบการปกครองที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาครบทุกรูปแบบ ครบเครื่องทั้งระบอบราชาธิปไตย
ประชาธิปไตยเผด็จการ สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ ระบอบกึ่งอาณานิคม เสรีนิยม และอำนาจนิยม
ที่มา:
http://www.dek-d.com/board/view/2744681/
http://www.vcharkarn.com/vblog/115780
คนจีนถือว่าคนแซ่เดียวกันเสมือนพี่น้องกัน จะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เคยอ่านจากที่หนึ่งเขาบอกว่า
"...ทั้งนี้ไม่จำกัดวงแคบเฉพาะในหมู่คนจีน หรือคนที่มีสายเลือดจีนเท่านั้น ถ้าเรามีน้ำใจเผื่อแผ่โดยถือว่าทุกคนที่เป็นมนุษย์ ล้วนแต่มีแซ่เดียวกัน คือ แซ่ตน โลกนี้ก็น่าจะอยู่กว่านี้อีกมากนัก..."
ร้อยแซ่แต้จิ๋ว (คิดว่าเกินร้อยเยอะอยู่นะ)
http://www.youtube.com/watch?v=TBk8y-atwN8

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12

ชาวไทยเชื้อสายจีน คือ ชาวจีนที่เกิดในประเทศไทยและเป็นเชื้อสายของผู้อพยพชาวจีน หรือชาวจีนโพ้นทะเล คนไทยเชื้อสายจีน มีประมาณ 9.4 ล้านคนในประเทศไทย หรือร้อยละ 14 ของประชากรทั้งประเทศ และยังมีอีกจำนวนมากไม่สามารถนับได้ เพราะที่กลมกลืนกับคนไทยไปแล้วโดยการแต่งงานข้ามเชื้อชาติประมาณ 9,400,000
ชาวไทยที่สืบเชื้อสายจีนโดยตรง (คิดเป็นร้อยละ 14 ของประชากรไทย)มากถึง 26,000,000
ชาวไทยที่มีเชื้อสายจีนบางส่วน (ประมาณร้อยละ 40 ของประชากรไทย) (2012)

การใช้ภาษา ดั้งเดิม: ภาษาหมิ่น (แต้จิ๋ว, ไหหลำ, ฮกเกี้ยน, ฮกจิว), ภาษาแคะ, ภาษากวางตุ้ง และ ภาษาจีน (ฮ่อ)
ศาสนา ส่วนมากนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท;ส่วนน้อยนับถือ ศาสนาพุทธนิกายมหายาน , ลัทธิเต๋า และลัทธิขงจื๊อศาสนาอิสลาม (ชาวหุย) และศาสนาคริสต์.’ชาวไทยเชื้อสายจีนส่วนมากบรรพบุรษจะมาจากจังหวัดแต้จิ๋ว ในมณฑลกวางตุ้ง ทางตอนใต้ของจีน พูดภาษาแต้จิ๋ว ซึ่งเป็นภาษากลุ่มหมินหนาน รองลงมาคือมาจาก แคะ ฮกเกี้ยน และไหหลำ

แต้จิ๋ว
แต้จิ๋ว (潮州 ; Teochew ; ภาษาจีนกลาง: Cháozhōu) เป็นกลุ่มชาวจีนที่มากที่สุด กล่าวกันว่า” ที่ไหนมีศาลเจ้า(老爺宮)เหล่า
เก็ง) ที่นั่นจะพบคนจีน เพื่อพบปะกันและเป็นที่พึ่งทางใจเมื่อยามห่างไกลแผ่นดินเกิด ชาวจีนจะตั้งถิ่นฐานอยู่ตามพื้นที่รอบ ๆ แม่น้ำเจ้าพระยา ท่าจีน แม่กลองและตามภาคกลาง ได้มาที่แผ่นดินสยาม (เซี่ยมล้อ 暹羅) ตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยาแล้ว โดยมาจาก มณฑลฝูเจี้ยน (福建省) และ มณฑลกวางตุ้ง (廣東省) ส่วนมากจะทำการค้าทางด้าน การเงิน ร้านขายข้าว และ ยา มีบางส่วนที่ทำงานให้กับภาครัฐ ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (鄭皇, แต้อ้วงพระองค์แซ่แต้) พ่อค้าจีนแต้จิ๋วจำนวนมากได้รับสิทธิพิเศษ ชาวจีนกลุ่มนี้จึงเรียกว่า จีนหลวง (Royal Chinese) สาเหตุเนื่องจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีเชื้อสายแต้จิ๋วเช่นกัน ในช่วงกรุงรัตนโกสินทร์การอพยพของชาวแต้จิ๋วจึงมีมากขึ้น และในประเทศ ไทยเองก็มีคนแต้จิ๋วเป็นจำนวนมาก และปัจจุบันจะมีมากในทุกภาคของประเทศไทยแต่ที่มีชาวแต้จิ๋วมากที่สุดคือกรุงเทพฯภาคกลางตอนล่างเช่นนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ตอนบน เช่น ชัยนาท สิงห์บุรี นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุโขทัยภาคตะวันออกเช่นฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทรบุรี(เมืองเก่าของพระเจ้าตากสินมหา ราช) ตราด สระแก้ว ปราจีนบุรี(ชาวแต้ จิ๋วมาเริ่มตั้งต้นถิ่นฐานที่นี่มากที่สุดเพราะเป็นพื้นที่ไม่มีคนอยู่อาศันเป็นป่าแต่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรน้ำเพื่อเพาะปลูกและที่ปลูกมากที่สุดคือ”ต้นไผ่”เพาะไผ่ขายเพื่อทำเรือแพออกไปค้าขายได้ แล้วกระจายไปในจังหวัดใกล้เคียงในเวลาต่อมา ในรัชสมัยกรุงศรี อยุธยาถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เชาวแต้จิ๋วข้ามาอาศัยแผ่นดินสยามมากที่สุด)

ภาคเหนือตอนบน เช่นเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง แพร่ น่าน (ส่วนพะเยาจะมีจีนแคระหรือชาวฮากกาจำนวนมาก)
ส่วนในภาคอิสานส่วนใหญ่จะเป็นชาวแต้จิ๋วในทุกจังหวัดเช่น นครราชสีมา (โคราช) ชัยภูมิ ขอนแก่น เลย อุดรธานี กาฬสินธ์ มหาสารคาม อุบลราชธานี ยโสธร ศีรษะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ส่วนพื้นที่ริมโขงเช่นหนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร จะปะปนไปด้วยชาวแต้จิ๋ว แคะ และเวียดนาม (ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า)
ส่วนทางภาคใต้จะกระจายในฝั่งอ่าวไทยในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชซึ่งพระองค์ยกทัพทางเรือไปปราบกบฎที่ภาคใต้ เช่น เมืองนครศรีธรรมราช (ต้นกำเนิดราชสกุล ณ นคร) พัทลุง (ต้นกำเนิดราชสกุล ณ พัทลุง) ทุกจังหวัดเข่น สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ในฝั่งอันดามันนั้นส่วนใหญ่จะเป็นจีนฮกเกี้ยนหรือฝูเจี้ยน (福建) ซึ่งดั้งเดิมเดินทางมาจากมาเลเซียแล้วมาขึ้นที่ชายฝั่งทะเล เช่น ภูเก็ต พังงา สตูล ตรัง ระนอง และจีนแคะ (客人) เป็นต้น
แคะ
แคะ (客家; Hakka; ภาษาจีนกลาง: kèjiā) เป็นกลุ่มชาวจีนอพยพที่มาจากมณฑลกวางตุ้ง เป็นส่วนมาก จะอพยพมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 และตั้งถิ่นฐานทีแถบจังหวัดสงขลา จังหวัดภูเก็ต จังหวัดราชบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี ส่วนมากจะชำนาญทางด้านหนังสัตว์ เหมือง และเกษตรกรรม นอกจากนี้ ชาวจีนแคะยังเป็นเจ้าของธนาคารอีกหลายแห่ง อาทิ ธนาคารกสิกรไทย

ไหหลำ (海南 ; ภาษาจีนกลาง: Hǎinán) เป็นชาวจีนที่อพยพมาจากเกาะไหหลำของจีน ชาวไหหลำจะมีเป็นจำนวนมากที่เกาะสมุย เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ดังปรากฏได้เห็นจากศาลเจ้าจีนหลายแห่งบนเกาะสมุย และ เกาะพะงัน มีหลักฐานการอพยพตั้งแต่สมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ซึ่งชาวจีนสามารถกลมกลืนกับชาวไทยได้ดี โดยส่วนมากมาจากตำบลบุ่นเชียว ชาวจีนกลุ่มนี้จะชำนาญทางด้านร้านอาหาร และโรงงาน
ฮกเกี้ยน
ฮกเกี้ยนหรือฝูเจี้ยน (福建; Hokkien; ภาษาจีนกลาง: Fújiàn) คาดกันว่าชาวจีนฮกเกี้ยนอพยพมาประเทศไทยเป็นชนเผ่าจีนกลุ่มแรก ๆ จีนฮกเกี้ยนเข้ามาในสมัยกรุงศรีอยุธยาก่อนจีนกลุ่มอื่นและเป็นชนเผ่าจีนอาสาช่วย สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีกอบกู้เอกราชด้วย แม้แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี ท่านถือกำเนิดในชุมชนจีนฮกเกี้ยนบริเวณวัดสุวรรณดาราราม ฝั่งตะวันออกของคลองนายก่าย กรุงศรีอยุธยา มารดาของท่านชื่อดาวเรืองหรือหยก เป็นธิดาที่เกิดในสกุลคหบดีจีนที่ร่ำรวยที่สุดในชุมชนชาวจีนฮกเกี้ยน ฮกเกี้ยนจะเชี่ยวชาญทางด้านการค้าขายทางเรือหรือรับราชการ และชาวจีนกลุ่มนี้จะมีจำนวนมากในพื้นที่ภาคใต้ เป็นประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดภูเก็ต มีจำนวนมากในชุมพรและจังหวัดทั่ว ๆ ไป
กวางไส
กวางไสหรือกวางสี (จีน: 廣西 ; ภาษากวางตุ้ง: gwong2-sai1) เป็นกลุ่มชาวจีนที่อพยพมาจากมณฑลกวางสี ส่วนใหญ่มาจากอำเภอหยง (容縣) และแถบอำเภอใกล้เคียง ช่วงแรกอพยพมาอยู่แถบประเทศมาเลเซียก่อนแล้วค่อยๆเดินเท้าอพยพเข้ามาสู่ประเทศไทย อาศัยอยู่มากในอำเภอเบตง จังหวัดยะลา และตำบลปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา พูดภาษาจีนกวางตุ้ง (ภาษาจีน:粵語) สำเนียง Gōulòu (ภาษาจีน:勾漏方言) เป็นภาษาหลัก ชาวจีนกวางไสเป็นเกษตรกร ทำสวนยางพารากันเป็นส่วนมาก ไม่สันทัดเรื่องการค้าขาย จึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันมากนักแต่ยังมีของที่พอเป็นที่รู้จัก ก็คือ ไก่กวางไสหรือไก่เบตง เป็นไก่พันธุ์เนื้อพื้นเมืองที่นำพันธุ์มาจากประเทศจีน มีลักษณะพิเศษกว่าไก่ชนิดอื่น ๆ ,เคาหยก (扣肉) หมูสามชั้นต้มสุก ทอดส่วนที่เป็นหนังและนำไปหมักด้วยเต้าหู้ยี้ เหล้าจีน น้ำขิง กระเทียมเล็กน้อย
ฮ่อ
ฮ่อ เป็นคำที่คนไทยใช้เรียกชาวจีนที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยผ่านทางประเทศพม่าและประเทศลาว ชาวจีนฮ่อส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ทางภาคเหนือทั้งในเมืองและบนดอย หนึ่งในกลุ่มชนที่สำคัญคือชาวจีนหุย (回族 ; ภาษาจีนกลาง: Huízú) ซึ่งเป็นชาวจีนที่มีลักษณะเหมือนชาวจีนฮั่นทุกอย่างเพียงแต่นับถือศาสนาอิสลาม ชาวฮ่อในประเทศไทย 1 ใน 3 นับถือศาสนาอิสลาม นอกนั้นนับถือบรรพบุรุษ
เปอรานากัน
เปอรานากัน (มลายู: Peranakan) หรือ บาบ๋า-ย่าหยา (Baba-Nyonya; จีน: 峇峇娘惹; ฮกเกี้ยน: Bā-bā Niû-liá) เป็นกลุ่มชาวจีนที่มีเชื้อสายมลายูแต่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม เนื่องจากในอดีตชาวจีนโดยเฉพาะกลุ่มฮกเกี้ยนเดินทางเข้ามาค้าขายในบริเวณดินแดนคาบสมุทรมลายู และตัดสินใจตั้งถิ่นฐานในเมืองมะละกา ประเทศมาเลเซีย ซึ่งสมรสกับชาวมลายูท้องถิ่น[3] และภรรยาชาวมลายูจะเป็นผู้ดูแลกิจการการค้าที่นี่

สำหรับสายเลือดใหม่ของชายชาวจีนกับหญิงมลายู หากเป็นชายจะได้รับการเรียกขานว่า บาบ๋าหรือบ้าบ๋า (Baba) ส่วนผู้หญิงจะเรียกว่า ย่าหยาหรือโญญา (Nyonya) และเมื่อคนกลุ่มนี้มีจำนวนมากขึ้น ก็ได้สร้างวัฒนธรรมรูปแบบใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมของบรรพบุรุษมาผสมผสานกันเป็นวัฒนธรรมใหม่ เมื่อพวกเขาอพยพไปตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ก็ได้นำวัฒนธรรมของตนกระจายไปด้วย วัฒนธรรมใหม่นี้จึงถูกเรียกรวม ๆ ว่า จีนช่องแคบ (อังกฤษ: Straits Chinese; จีน: 土生華人) โดยในประเทศไทยคนกลุ่มนี้จะอยู่ในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีบรรพบุรุษอพยพมาจากปีนังและมะละกา คนกลุ่มนี้มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับกลุ่มเปอรานากันในประเทศมาเลเซีย ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศสิงคโปร์
ขอบพระคุณ wikipedia และ http://plodlock.com/2017/08/06/chaina/

ชาวไทยเชื้อสายจีน คือ ชาวจีนที่เกิดในประเทศไทยและเป็นเชื้อสายของผู้อพยพชาวจีน หรือชาวจีนโพ้นทะเล คนไทยเชื้อสายจีน มีประมาณ 9.4 ล้านคนในประเทศไทย หรือร้อยละ 14 ของประชากรทั้งประเทศ และยังมีอีกจำนวนมากไม่สามารถนับได้ เพราะที่กลมกลืนกับคนไทยไปแล้วโดยการแต่งงานข้ามเชื้อชาติประมาณ 9,400,000
ชาวไทยที่สืบเชื้อสายจีนโดยตรง (คิดเป็นร้อยละ 14 ของประชากรไทย)มากถึง 26,000,000
ชาวไทยที่มีเชื้อสายจีนบางส่วน (ประมาณร้อยละ 40 ของประชากรไทย) (2012)

การใช้ภาษา ดั้งเดิม: ภาษาหมิ่น (แต้จิ๋ว, ไหหลำ, ฮกเกี้ยน, ฮกจิว), ภาษาแคะ, ภาษากวางตุ้ง และ ภาษาจีน (ฮ่อ)
ศาสนา ส่วนมากนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท;ส่วนน้อยนับถือ ศาสนาพุทธนิกายมหายาน , ลัทธิเต๋า และลัทธิขงจื๊อศาสนาอิสลาม (ชาวหุย) และศาสนาคริสต์.’ชาวไทยเชื้อสายจีนส่วนมากบรรพบุรษจะมาจากจังหวัดแต้จิ๋ว ในมณฑลกวางตุ้ง ทางตอนใต้ของจีน พูดภาษาแต้จิ๋ว ซึ่งเป็นภาษากลุ่มหมินหนาน รองลงมาคือมาจาก แคะ ฮกเกี้ยน และไหหลำ

แต้จิ๋ว
แต้จิ๋ว (潮州 ; Teochew ; ภาษาจีนกลาง: Cháozhōu) เป็นกลุ่มชาวจีนที่มากที่สุด กล่าวกันว่า” ที่ไหนมีศาลเจ้า(老爺宮)เหล่า


ภาคเหนือตอนบน เช่นเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง แพร่ น่าน (ส่วนพะเยาจะมีจีนแคระหรือชาวฮากกาจำนวนมาก)
ส่วนในภาคอิสานส่วนใหญ่จะเป็นชาวแต้จิ๋วในทุกจังหวัดเช่น นครราชสีมา (โคราช) ชัยภูมิ ขอนแก่น เลย อุดรธานี กาฬสินธ์ มหาสารคาม อุบลราชธานี ยโสธร ศีรษะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ส่วนพื้นที่ริมโขงเช่นหนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร จะปะปนไปด้วยชาวแต้จิ๋ว แคะ และเวียดนาม (ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า)
ส่วนทางภาคใต้จะกระจายในฝั่งอ่าวไทยในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชซึ่งพระองค์ยกทัพทางเรือไปปราบกบฎที่ภาคใต้ เช่น เมืองนครศรีธรรมราช (ต้นกำเนิดราชสกุล ณ นคร) พัทลุง (ต้นกำเนิดราชสกุล ณ พัทลุง) ทุกจังหวัดเข่น สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ในฝั่งอันดามันนั้นส่วนใหญ่จะเป็นจีนฮกเกี้ยนหรือฝูเจี้ยน (福建) ซึ่งดั้งเดิมเดินทางมาจากมาเลเซียแล้วมาขึ้นที่ชายฝั่งทะเล เช่น ภูเก็ต พังงา สตูล ตรัง ระนอง และจีนแคะ (客人) เป็นต้น
แคะ
แคะ (客家; Hakka; ภาษาจีนกลาง: kèjiā) เป็นกลุ่มชาวจีนอพยพที่มาจากมณฑลกวางตุ้ง เป็นส่วนมาก จะอพยพมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 และตั้งถิ่นฐานทีแถบจังหวัดสงขลา จังหวัดภูเก็ต จังหวัดราชบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี ส่วนมากจะชำนาญทางด้านหนังสัตว์ เหมือง และเกษตรกรรม นอกจากนี้ ชาวจีนแคะยังเป็นเจ้าของธนาคารอีกหลายแห่ง อาทิ ธนาคารกสิกรไทย

ไหหลำ (海南 ; ภาษาจีนกลาง: Hǎinán) เป็นชาวจีนที่อพยพมาจากเกาะไหหลำของจีน ชาวไหหลำจะมีเป็นจำนวนมากที่เกาะสมุย เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ดังปรากฏได้เห็นจากศาลเจ้าจีนหลายแห่งบนเกาะสมุย และ เกาะพะงัน มีหลักฐานการอพยพตั้งแต่สมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ซึ่งชาวจีนสามารถกลมกลืนกับชาวไทยได้ดี โดยส่วนมากมาจากตำบลบุ่นเชียว ชาวจีนกลุ่มนี้จะชำนาญทางด้านร้านอาหาร และโรงงาน
ฮกเกี้ยน
ฮกเกี้ยนหรือฝูเจี้ยน (福建; Hokkien; ภาษาจีนกลาง: Fújiàn) คาดกันว่าชาวจีนฮกเกี้ยนอพยพมาประเทศไทยเป็นชนเผ่าจีนกลุ่มแรก ๆ จีนฮกเกี้ยนเข้ามาในสมัยกรุงศรีอยุธยาก่อนจีนกลุ่มอื่นและเป็นชนเผ่าจีนอาสาช่วย สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีกอบกู้เอกราชด้วย แม้แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี ท่านถือกำเนิดในชุมชนจีนฮกเกี้ยนบริเวณวัดสุวรรณดาราราม ฝั่งตะวันออกของคลองนายก่าย กรุงศรีอยุธยา มารดาของท่านชื่อดาวเรืองหรือหยก เป็นธิดาที่เกิดในสกุลคหบดีจีนที่ร่ำรวยที่สุดในชุมชนชาวจีนฮกเกี้ยน ฮกเกี้ยนจะเชี่ยวชาญทางด้านการค้าขายทางเรือหรือรับราชการ และชาวจีนกลุ่มนี้จะมีจำนวนมากในพื้นที่ภาคใต้ เป็นประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดภูเก็ต มีจำนวนมากในชุมพรและจังหวัดทั่ว ๆ ไป
กวางไส
กวางไสหรือกวางสี (จีน: 廣西 ; ภาษากวางตุ้ง: gwong2-sai1) เป็นกลุ่มชาวจีนที่อพยพมาจากมณฑลกวางสี ส่วนใหญ่มาจากอำเภอหยง (容縣) และแถบอำเภอใกล้เคียง ช่วงแรกอพยพมาอยู่แถบประเทศมาเลเซียก่อนแล้วค่อยๆเดินเท้าอพยพเข้ามาสู่ประเทศไทย อาศัยอยู่มากในอำเภอเบตง จังหวัดยะลา และตำบลปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา พูดภาษาจีนกวางตุ้ง (ภาษาจีน:粵語) สำเนียง Gōulòu (ภาษาจีน:勾漏方言) เป็นภาษาหลัก ชาวจีนกวางไสเป็นเกษตรกร ทำสวนยางพารากันเป็นส่วนมาก ไม่สันทัดเรื่องการค้าขาย จึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันมากนักแต่ยังมีของที่พอเป็นที่รู้จัก ก็คือ ไก่กวางไสหรือไก่เบตง เป็นไก่พันธุ์เนื้อพื้นเมืองที่นำพันธุ์มาจากประเทศจีน มีลักษณะพิเศษกว่าไก่ชนิดอื่น ๆ ,เคาหยก (扣肉) หมูสามชั้นต้มสุก ทอดส่วนที่เป็นหนังและนำไปหมักด้วยเต้าหู้ยี้ เหล้าจีน น้ำขิง กระเทียมเล็กน้อย
ฮ่อ
ฮ่อ เป็นคำที่คนไทยใช้เรียกชาวจีนที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยผ่านทางประเทศพม่าและประเทศลาว ชาวจีนฮ่อส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ทางภาคเหนือทั้งในเมืองและบนดอย หนึ่งในกลุ่มชนที่สำคัญคือชาวจีนหุย (回族 ; ภาษาจีนกลาง: Huízú) ซึ่งเป็นชาวจีนที่มีลักษณะเหมือนชาวจีนฮั่นทุกอย่างเพียงแต่นับถือศาสนาอิสลาม ชาวฮ่อในประเทศไทย 1 ใน 3 นับถือศาสนาอิสลาม นอกนั้นนับถือบรรพบุรุษ
เปอรานากัน
เปอรานากัน (มลายู: Peranakan) หรือ บาบ๋า-ย่าหยา (Baba-Nyonya; จีน: 峇峇娘惹; ฮกเกี้ยน: Bā-bā Niû-liá) เป็นกลุ่มชาวจีนที่มีเชื้อสายมลายูแต่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม เนื่องจากในอดีตชาวจีนโดยเฉพาะกลุ่มฮกเกี้ยนเดินทางเข้ามาค้าขายในบริเวณดินแดนคาบสมุทรมลายู และตัดสินใจตั้งถิ่นฐานในเมืองมะละกา ประเทศมาเลเซีย ซึ่งสมรสกับชาวมลายูท้องถิ่น[3] และภรรยาชาวมลายูจะเป็นผู้ดูแลกิจการการค้าที่นี่

สำหรับสายเลือดใหม่ของชายชาวจีนกับหญิงมลายู หากเป็นชายจะได้รับการเรียกขานว่า บาบ๋าหรือบ้าบ๋า (Baba) ส่วนผู้หญิงจะเรียกว่า ย่าหยาหรือโญญา (Nyonya) และเมื่อคนกลุ่มนี้มีจำนวนมากขึ้น ก็ได้สร้างวัฒนธรรมรูปแบบใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมของบรรพบุรุษมาผสมผสานกันเป็นวัฒนธรรมใหม่ เมื่อพวกเขาอพยพไปตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ก็ได้นำวัฒนธรรมของตนกระจายไปด้วย วัฒนธรรมใหม่นี้จึงถูกเรียกรวม ๆ ว่า จีนช่องแคบ (อังกฤษ: Straits Chinese; จีน: 土生華人) โดยในประเทศไทยคนกลุ่มนี้จะอยู่ในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีบรรพบุรุษอพยพมาจากปีนังและมะละกา คนกลุ่มนี้มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับกลุ่มเปอรานากันในประเทศมาเลเซีย ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศสิงคโปร์
ขอบพระคุณ wikipedia และ http://plodlock.com/2017/08/06/chaina/
ความคิดเห็นที่ 10
คนจีนอพยพมาประเทศไทยครั้งแรกเมื่อใด
ประวัติศาสตร์ของการที่ชาวจีนอพยพมาประเทศไทย ต้องย้อนกลับไปหลายร้อยปี

สมัยสุโขทัย
ชาวจีนเริ่มเดินเรือสำเภามาค้าขายในดินแดนสุวรรณภูมิตั้งแต่ก่อนสมัยอาณาจักรสุโขทัย แต่หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือ เมื่อชาวจีนมาสอนการทำเครื่องถ้วยชาม โดยเฉพาะเครื่องสังคโลก
สมัยกรุงศรีอยุธยา
ชาวจีนได้มาตั้งบ้านเรือนอยู่มาก โดยส่วนมากจะมาจากตอนใต้ของประเทศจีน เพื่อมาตั้งรกรากและทำการค้า
สมัยกรุงธนบุรี
เมื่อครั้นเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ. 2310 – พ.ศ. 2312 จักรวรรดิจีนได้ถูกรุกรานพม่าที่กำลังขยายแสนยานุภาพ จักรพรรดิจีนในสมัยนั้นได้ส่งกองกำลังไปปราบปรามพม่าถึง 4 ครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ แต่ฝ่ายจีนก็ได้เบนความสนใจมาที่กองทัพพม่าในอาณาจักรอยุธยา ซึ่งกำลังถูกพม่ายึดครอง ขุนพลไทยนาม “สิน” ซึ่งมีบิดาเป็นคนจีน และมารดานาม นกเอี้ยง ซึ่งเป็นชาวสยาม ได้ใช้สถานการณ์ที่ได้เปรียบนี้ทำให้สามารถกอบกู้เอกราชให้สยามได้สำเร็จ ขุนพลท่านนั้นต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี แห่งกรุงธนบุรี หรือที่ชาวจีนขนามนามว่า แต้อ๊วง ด้วยความที่ว่าบิดาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นคนจีน
เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว ชาวจีนแต้จิ๋วได้เข้ามาทำการค้า และอพยพมายังกรุงธนบุรีเป็นจำนวนมาก ทำให้ประชากรชาวจีนโพ้นทะเลในไทย เพิ่มขึ้นจาก 230,000 คนใน พ.ศ. 2368 เป็น 792,000 คนใน พ.ศ. 2453 และใน พ.ศ. 2475 ประชากรไทยถึง 12.2% เป็นชาวจีนโพ้นทะเล

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
การอพยพของชาวจีนยุคแรก ส่วนมากเป็นผู้ชาย เมื่อเข้ามาตั้งรกรากแล้วก็จะแต่งงานกับผู้หญิงไทย และกลายเป็นค่านิยมในสมัยนั้น ลูกหลานจากการแต่งงานข้ามเชื้อชาตินี้เรียกว่า “ลูกจีน” แต่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ กระแสการอพยพเริ่มเปลี่ยนไป ผู้หญิงจีนอพยพเข้ามาในสยามมากขึ้น จึงทำให้การแต่งงานข้ามเชื้อชาติลดลง
การคอรัปชั่น ในรัฐบาลราชวงศ์ชิง และการเพิ่มขึ้นของประชากรในประเทศจีน ประกอบกับการเก็บภาษีที่เอาเปรียบ ทำให้ชายชาวจีนจำนวนมากมุ่งสู่สยามเพื่อหางานและส่งเงินกลับไปให้ครอบครัวในประเทศจีน ขณะนั้นชาวจีนจำนวนมากต้องจำยอมขายที่ดินเพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีเพาะปลูกของทางการ
ในรัชสมัยปลายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ประเทศไทยต้องระวังผลกระทบจากการที่ฝรั่งเศสได้ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และอังกฤษได้มลายูเป็นอาณานิคม ในขณะเดียวกัน ชาวจีนจากมณฑลยูนนานก็เริ่มไหลเข้าสู่ประเทศไทย กลุ่มชาวไทยชาตินิยมจากทุกระดับจึงได้เกิดความคิดต่อต้านชาวจีนขึ้น หลายร้อยปีก่อนหน้านี้ ชาวจีนกุมเศรษฐกิจการค้าส่วนใหญ่ไว้ และยังได้รับอำนาจผูกขาดการค้าและรวมถึงการเป็นนายอากรเก็บภาษีซึ่งเริ่มในสมัยรัชกาลที่ 3 ด้วย ในขณะนั้นอิทธิพลทางการค้าของชาติตะวันตกก็สูงขึ้น ทำให้พ่อค้าขาวจีนหันไปขายฝิ่นและเป็นนายอากรมากขึ้น นอกจากนี้ เจ้าของโรงสีและพ่อค้าข้าวคนกลางชาวจีนยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในสยามในปีซึ่งกินเวลาเกือบ 10 ปี หลังปี พ.ศ. 2448 ด้วย

การให้สินบนขุนนาง กลุ่มอันธพาลอั้งยี่ และการเก็บภาษีอย่างกดขี่ ทั้งหมดนี้จุดประกายให้คนไทยเกลียดชังคนจีนมากขึ้น ในขณะเดียวกันอัตราการอพยพเข้าประเทศไทยก็มากขึ้น ในพ.ศ. 2453 เกือบร้อยละ 10 ของประชากรไทยเป็นชาวจีน ซึ่งผู้อพยพใหม่เหล่านี้มากันทั้งครอบครัวและปฏิเสธที่จะอยู่ในชุมชนและสังคมเดียวกับคนไทย ซึ่งต่างกับผู้อพยพยุคแรกที่มักแต่งงานกับคนไทย ดร.ซุน ยัตเซ็น ผู้นำการปฏิวัติประเทศจีน ได้เผยแพร่ความคิดให้ชาวจีนในประเทศไทยมีความคิดชาตินิยมจีนให้มากขึ้นเพื่อต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ ชุมชนชาวจีนจะสนับสนุนการตั้งโรงเรียนเพื่อลูกหลานจีนโดยเฉพาะโดยไม่เรียนรวมกับเด็กไทย ในปี พ.ศ. 2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 5) ทรงให้ชาวต่างชาติในประเทศไทยจดทะเบียนเป็นคนต่างด้าว เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวจีนจำนวนมากต้องเลือกว่าจะเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์หรือจะยอมเป็นคนต่างด้าว

ชาวไทยเชื้อสายจีนจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจเลือกเข้ารับราชการทหารซึ่งเริ่มในประมาณพ.ศ. 2475 ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีการประกาศอาชีพสงวนของคนไทยเท่านั้น เช่น การปลูกข้าว ยาสูบ อีกทั้งประกาศอัตราภาษีและกฎการควบคุมธุรกิจของชาวจีนใหม่ด้วย ซึ่งในช่วงนี้รัฐบาลได้มีนโยบายรัฐนิยม ทำให้ชาวไทยเชื้อสายจีนได้รับผลกระทบอย่างมากในเรื่องของการดูถูกและเหยียดเชื้อชาติ เช่น การไม่ส่งเสริมให้พูดภาษาจีน อันเป็นภาษาต่างด้าว ในที่สาธารณะ ทำให้ก่อนและหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่นาน มีการทะเลาะวิวาทแบบยกพวกเข้าตีกันหลายต่อหลายครั้งระหว่างคนไทยกับคนไทยเชื้อสายจีน หรือคนจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในย่านเยาวราช ซึ่งเรียกกันว่า “เลี๊ยะพ่ะ” ซึ่งความขัดแย้งอันนี้ได้ลุกลามบานปลายจนจะกลายเป็นปัญหาเชื้อชาติ แต่ได้ยุติลงเมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) ได้เสด็จประพาสเยี่ยมเยียนราษฎรที่เยาวราช ในวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ก่อนเสด็จสวรรคตไม่นาน
และหลังจากที่จอมพล ป. หวนสู่อำนาจอีกครั้งในปี พ.ศ. 2490-พ.ศ. 2491 ทางรัฐบาลจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนได้จับตาดูทีท่าของจอมพล ป. แต่ในรัฐบาลชุดหลังนี้ ได้มีการสานสัมพันธ์กับทางการจีนอย่างไม่เป็นทางการ โดยมีการส่งผู้แทนของรัฐบาลดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลจีนอย่างลับ ๆ

ในขณะที่มีการปลุกระดมชาตินิยมจีนและไทยขึ้นพร้อมกัน ในปี พ.ศ. 2513 ลูกหลานจีนที่เกิดในไทยมากกว่าร้อยละ 90 ถือสัญชาติไทยโดยสมบูรณ์ และเมื่อมีการเจริญความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการแล้วในปี พ.ศ. 2518 ชาวจีนที่ไม่ได้เกิดในประเทศไทย ก็มีสิทธิที่จะเลือกที่จะถือสัญชาติไทยได้ แต่หลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ไม่นาน รัฐบาลที่ตั้งขึ้นใหม่ก็มีนโยบายในแบบอนุรักษนิยมและขวาตกขอบ ซึ่งเป็นผลมาจากความหวาดกลัวในการแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ชาวไทยเชื้อสายจีนได้รับการเหยียดหยามอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี พ.ศ. 2522 นายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ออกกฎหมายให้ชาวไทยเชื้อสายจีนที่เกิดในประเทศไทย จะมีสิทธิเลือกตั้งได้ก็ต่อเมื่อได้ไปลงทะเบียนก่อนและต้องมีการศึกษาขั้นต่ำมัธยมศึกษาปีที่ 3 (ม.ศ.3) ซึ่งต่อมากฎหมายฉบับนี้ก็ได้รับการยกเลิกในที่สุด
http://plodlock.com/2017/08/06/chaina/
ประวัติศาสตร์ของการที่ชาวจีนอพยพมาประเทศไทย ต้องย้อนกลับไปหลายร้อยปี

สมัยสุโขทัย
ชาวจีนเริ่มเดินเรือสำเภามาค้าขายในดินแดนสุวรรณภูมิตั้งแต่ก่อนสมัยอาณาจักรสุโขทัย แต่หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือ เมื่อชาวจีนมาสอนการทำเครื่องถ้วยชาม โดยเฉพาะเครื่องสังคโลก
สมัยกรุงศรีอยุธยา
ชาวจีนได้มาตั้งบ้านเรือนอยู่มาก โดยส่วนมากจะมาจากตอนใต้ของประเทศจีน เพื่อมาตั้งรกรากและทำการค้า
สมัยกรุงธนบุรี
เมื่อครั้นเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ. 2310 – พ.ศ. 2312 จักรวรรดิจีนได้ถูกรุกรานพม่าที่กำลังขยายแสนยานุภาพ จักรพรรดิจีนในสมัยนั้นได้ส่งกองกำลังไปปราบปรามพม่าถึง 4 ครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ แต่ฝ่ายจีนก็ได้เบนความสนใจมาที่กองทัพพม่าในอาณาจักรอยุธยา ซึ่งกำลังถูกพม่ายึดครอง ขุนพลไทยนาม “สิน” ซึ่งมีบิดาเป็นคนจีน และมารดานาม นกเอี้ยง ซึ่งเป็นชาวสยาม ได้ใช้สถานการณ์ที่ได้เปรียบนี้ทำให้สามารถกอบกู้เอกราชให้สยามได้สำเร็จ ขุนพลท่านนั้นต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี แห่งกรุงธนบุรี หรือที่ชาวจีนขนามนามว่า แต้อ๊วง ด้วยความที่ว่าบิดาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นคนจีน
เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว ชาวจีนแต้จิ๋วได้เข้ามาทำการค้า และอพยพมายังกรุงธนบุรีเป็นจำนวนมาก ทำให้ประชากรชาวจีนโพ้นทะเลในไทย เพิ่มขึ้นจาก 230,000 คนใน พ.ศ. 2368 เป็น 792,000 คนใน พ.ศ. 2453 และใน พ.ศ. 2475 ประชากรไทยถึง 12.2% เป็นชาวจีนโพ้นทะเล

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
การอพยพของชาวจีนยุคแรก ส่วนมากเป็นผู้ชาย เมื่อเข้ามาตั้งรกรากแล้วก็จะแต่งงานกับผู้หญิงไทย และกลายเป็นค่านิยมในสมัยนั้น ลูกหลานจากการแต่งงานข้ามเชื้อชาตินี้เรียกว่า “ลูกจีน” แต่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ กระแสการอพยพเริ่มเปลี่ยนไป ผู้หญิงจีนอพยพเข้ามาในสยามมากขึ้น จึงทำให้การแต่งงานข้ามเชื้อชาติลดลง
การคอรัปชั่น ในรัฐบาลราชวงศ์ชิง และการเพิ่มขึ้นของประชากรในประเทศจีน ประกอบกับการเก็บภาษีที่เอาเปรียบ ทำให้ชายชาวจีนจำนวนมากมุ่งสู่สยามเพื่อหางานและส่งเงินกลับไปให้ครอบครัวในประเทศจีน ขณะนั้นชาวจีนจำนวนมากต้องจำยอมขายที่ดินเพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีเพาะปลูกของทางการ
ในรัชสมัยปลายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ประเทศไทยต้องระวังผลกระทบจากการที่ฝรั่งเศสได้ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และอังกฤษได้มลายูเป็นอาณานิคม ในขณะเดียวกัน ชาวจีนจากมณฑลยูนนานก็เริ่มไหลเข้าสู่ประเทศไทย กลุ่มชาวไทยชาตินิยมจากทุกระดับจึงได้เกิดความคิดต่อต้านชาวจีนขึ้น หลายร้อยปีก่อนหน้านี้ ชาวจีนกุมเศรษฐกิจการค้าส่วนใหญ่ไว้ และยังได้รับอำนาจผูกขาดการค้าและรวมถึงการเป็นนายอากรเก็บภาษีซึ่งเริ่มในสมัยรัชกาลที่ 3 ด้วย ในขณะนั้นอิทธิพลทางการค้าของชาติตะวันตกก็สูงขึ้น ทำให้พ่อค้าขาวจีนหันไปขายฝิ่นและเป็นนายอากรมากขึ้น นอกจากนี้ เจ้าของโรงสีและพ่อค้าข้าวคนกลางชาวจีนยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในสยามในปีซึ่งกินเวลาเกือบ 10 ปี หลังปี พ.ศ. 2448 ด้วย

การให้สินบนขุนนาง กลุ่มอันธพาลอั้งยี่ และการเก็บภาษีอย่างกดขี่ ทั้งหมดนี้จุดประกายให้คนไทยเกลียดชังคนจีนมากขึ้น ในขณะเดียวกันอัตราการอพยพเข้าประเทศไทยก็มากขึ้น ในพ.ศ. 2453 เกือบร้อยละ 10 ของประชากรไทยเป็นชาวจีน ซึ่งผู้อพยพใหม่เหล่านี้มากันทั้งครอบครัวและปฏิเสธที่จะอยู่ในชุมชนและสังคมเดียวกับคนไทย ซึ่งต่างกับผู้อพยพยุคแรกที่มักแต่งงานกับคนไทย ดร.ซุน ยัตเซ็น ผู้นำการปฏิวัติประเทศจีน ได้เผยแพร่ความคิดให้ชาวจีนในประเทศไทยมีความคิดชาตินิยมจีนให้มากขึ้นเพื่อต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ ชุมชนชาวจีนจะสนับสนุนการตั้งโรงเรียนเพื่อลูกหลานจีนโดยเฉพาะโดยไม่เรียนรวมกับเด็กไทย ในปี พ.ศ. 2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 5) ทรงให้ชาวต่างชาติในประเทศไทยจดทะเบียนเป็นคนต่างด้าว เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวจีนจำนวนมากต้องเลือกว่าจะเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์หรือจะยอมเป็นคนต่างด้าว

ชาวไทยเชื้อสายจีนจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจเลือกเข้ารับราชการทหารซึ่งเริ่มในประมาณพ.ศ. 2475 ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีการประกาศอาชีพสงวนของคนไทยเท่านั้น เช่น การปลูกข้าว ยาสูบ อีกทั้งประกาศอัตราภาษีและกฎการควบคุมธุรกิจของชาวจีนใหม่ด้วย ซึ่งในช่วงนี้รัฐบาลได้มีนโยบายรัฐนิยม ทำให้ชาวไทยเชื้อสายจีนได้รับผลกระทบอย่างมากในเรื่องของการดูถูกและเหยียดเชื้อชาติ เช่น การไม่ส่งเสริมให้พูดภาษาจีน อันเป็นภาษาต่างด้าว ในที่สาธารณะ ทำให้ก่อนและหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่นาน มีการทะเลาะวิวาทแบบยกพวกเข้าตีกันหลายต่อหลายครั้งระหว่างคนไทยกับคนไทยเชื้อสายจีน หรือคนจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในย่านเยาวราช ซึ่งเรียกกันว่า “เลี๊ยะพ่ะ” ซึ่งความขัดแย้งอันนี้ได้ลุกลามบานปลายจนจะกลายเป็นปัญหาเชื้อชาติ แต่ได้ยุติลงเมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) ได้เสด็จประพาสเยี่ยมเยียนราษฎรที่เยาวราช ในวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ก่อนเสด็จสวรรคตไม่นาน
และหลังจากที่จอมพล ป. หวนสู่อำนาจอีกครั้งในปี พ.ศ. 2490-พ.ศ. 2491 ทางรัฐบาลจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนได้จับตาดูทีท่าของจอมพล ป. แต่ในรัฐบาลชุดหลังนี้ ได้มีการสานสัมพันธ์กับทางการจีนอย่างไม่เป็นทางการ โดยมีการส่งผู้แทนของรัฐบาลดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลจีนอย่างลับ ๆ

ในขณะที่มีการปลุกระดมชาตินิยมจีนและไทยขึ้นพร้อมกัน ในปี พ.ศ. 2513 ลูกหลานจีนที่เกิดในไทยมากกว่าร้อยละ 90 ถือสัญชาติไทยโดยสมบูรณ์ และเมื่อมีการเจริญความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการแล้วในปี พ.ศ. 2518 ชาวจีนที่ไม่ได้เกิดในประเทศไทย ก็มีสิทธิที่จะเลือกที่จะถือสัญชาติไทยได้ แต่หลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ไม่นาน รัฐบาลที่ตั้งขึ้นใหม่ก็มีนโยบายในแบบอนุรักษนิยมและขวาตกขอบ ซึ่งเป็นผลมาจากความหวาดกลัวในการแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ชาวไทยเชื้อสายจีนได้รับการเหยียดหยามอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี พ.ศ. 2522 นายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ออกกฎหมายให้ชาวไทยเชื้อสายจีนที่เกิดในประเทศไทย จะมีสิทธิเลือกตั้งได้ก็ต่อเมื่อได้ไปลงทะเบียนก่อนและต้องมีการศึกษาขั้นต่ำมัธยมศึกษาปีที่ 3 (ม.ศ.3) ซึ่งต่อมากฎหมายฉบับนี้ก็ได้รับการยกเลิกในที่สุด
http://plodlock.com/2017/08/06/chaina/
แสดงความคิดเห็น
ห้องเพลงคนรากหญ้า พักยกการเมือง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม.มีแต่เสียง 16/02/2018 "วันตรุษจีนและ 5 คำสอนที่คนจีนสอนลูกหลาน"
ชาวไทยเชื้อสายจีน คือ ชาวจีนที่เกิดในประเทศไทยและเป็นเชื้อสายของผู้อพยพชาวจีน หรือชาวจีนโพ้นทะเล คนไทยเชื้อสายจีน มีประมาณ 9.4 ล้านคนในประเทศไทย หรือร้อยละ 14 ของประชากรทั้งประเทศ และยังมีอีกจำนวนมากไม่สามารถนับได้ เพราะที่กลมกลืนกับคนไทยไปแล้วโดยการแต่งงานข้ามเชื้อชาติ
ชาวไทยเชื้อสายจีนส่วนมากบรรพบุรษจะมาจากจังหวัดแต้จิ๋ว ในมณฑลกวางตุ้ง ทางตอนใต้ของจีน พูดภาษาแต้จิ๋ว ซึ่งเป็นภาษากลุ่มหมิ่นหนาน รองลงมาคือมาจาก แคะ ฮกเกี้ยน และไหหลำ
MC ขอท้าวความประเพณีตรุษจีนเล้กน้อย ชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยนิยมกระทำพิธีกรรมต่างๆ ตามความเชื่อในศาสนาขงจื้อกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งพิธีกรรมที่นิยมกระทำกันในแต่ละปีก็ต้องมีพิธีกรรมในวันตรุษจีนรวมอยู่ด้วย
วันตรุษจีน ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามประเพณีของชาวจีนในจีนแผ่นดินใหญ่และชาวจีนทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งวันตรุษจีนนี้นับเป็นวันพิเศษและมีความสำคัญยิ่งสำหรับคนจีน จะมีการเฉลิมฉลองกันไปทั่วโลก โดยเฉพาะชุมชนขนาดใหญ่ของคนจีนในประเทศต่างๆ ในวันตรุษจีนนี้ชาวจีนหรือชาวไทยเชื้อสายจีนถือว่าเป็นวันที่สมาชิกในครอบครัว ไม่ว่าจะไปประกอบธุรกิจการงานที่ไหน หากอยู่ในจังหวัดหรือในประเทศเดียวกัน บรรดาสมาชิกในครอบครัวชาวจีนเหล่านั้น จะกลับบ้านมาพบปะกันอย่างพร้อมเพรียงกัน คล้ายกับวันสงกรานต์ที่ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวไทย
ตรุษจีนในประเทศไทย
ในวันตรุษจีนนี้ ชาวไทยเชื้อสายจีนจะถือประเพณีปฏิบัติอยู่ 3 วัน ดังนี้
1.) วันจ่าย คือ วันก่อนวันสิ้นปี ซึ่งเป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องไปซื้ออาหาร ผลไม้ และเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ ในตอนค่ำจะมีการจุดธูปอัญเชิญเจ้าที่ (ตี่จู๋เอี๊ย) ให้ลงมาจากสวรรค์เพื่อรับการสักการะบูชาของเจ้าบ้าน
2.) วันไหว้ คือ วันสิ้นปี จะมีการไหว้ในวันนี้ ๓ ช่วงเวลา ได้แก่
2.1 ตอนเช้ามืด คือ การไหว้เทพเจ้าต่างๆ ด้วยเครื่องไหว้ ได้แก่ เนื้อสัตว์ ๓ ชนิด (ซาแซ คือ หมูสามชั้นต้ม ไก่ต้ม และเป็ดต้ม) หรือปรับเปลี่ยนเป็นเนื้อสัตว์ชนิดอื่นก็ได้ หรือมากกว่านี้ เป็นเนื้อสัตว์ ๕ ชนิดก็ได้ เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง
2.2 ตอนสาย คือ การไหว้บรรพบุรุษที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว ซึ่งถือเป็นการแสดงความกตัญญูตามคติจีน การไหว้บรรพบุรุษนี้จะไหว้กันไม่เกินเที่ยงวัน เครื่องเซ่นไหว้ประกอบด้วยซาแซ อาหารคาวหวาน รวมทั้งการเผากระดาษเงินกระดาษทองและเสื้อผ้ากระดาษเพื่ออุทิศแก่ผู้ล่วงลับ หลังจากนั้น ญาติพี่น้องจะมาร่วมรับประทานอาหารที่เซ่นไหว้บรรพบุรุษเสร็จเรียบร้อยแล้ว และช่วงเวลานี้ถือเป็นเวลาที่ครอบครัวหรือวงศ์ตระกูลจะรวมตัวกันได้มากที่สุด และเมื่อร่วมรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้วจะมีการแลกเปลี่ยนอั่งเปากัน
2.3 ตอนบ่าย คือ การไหว้ผีไม่มีญาติ เครื่องเซ่นไหว้จะประกอบด้วยข้าว กับข้าวต่างๆ ขนมเข่ง ขนมเทียน เผือกเชื่อมน้ำตาล กระดาษเงินกระดาษทอง พร้อมทั้งมีการจุดประทัดเพื่อไล่สิ่งชั่วร้ายและเป็นสิริมงคล
3.) วันขึ้นปีใหม่ คือ วันที่หนึ่งของเดือนที่หนึ่งของปี วันนี้ชาวจีนจะถือธรรมเนียมโบราณที่ยังปฏิบัติสืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน กล่าวคือ การไปไหว้ขอพรจากญาติผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพรัก โดยจะนำส้มสีทองจำนวน ๔ ผล ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าของผู้ชายไปมอบให้ สาเหตุที่มอบส้มให้กัน เนื่องจากคำว่า “ส้ม” ในภาษาแต้จิ๋วเรียกว่า “กา” ซึ่งไปพ้องกับคำว่าทอง เพราะฉะนั้นกาให้ส้มจึงเปรียบเสมือนเป็นการนำโชคไปให้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ในวันนี้ยังถือคติหลายๆ อย่าง เช่น ไม่พูดจาไม่ดีต่อกัน ไม่ทวงหนี้กัน และไม่กวาดบ้าน เป็นต้น
แหล่งข้อมูล :ประเพณีธรรมเนียมจีนในเมืองไทย. กรุงเทพมหานคร: เลี่ยงเซียงจงเจริญ. http://www.crs.mahidol.ac.th/thai/ceremony_thaichainese.htm
หากย้อนเวลากลับไปเมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้ว คนจีนในไทยก็ยังมีความยากจนอยู่ หลายครอบครัวถือเสื่อผืนหมอนใบอพยพมาเมืองไทย ทำงานลำบากทุกอย่างเช่นเป็นกุลีแบกข้าวสาร รับจ้างลากรถ ขายน้ำเต้าหู้ รับจ้างทุกอย่าง ยังมีคนไทยหลายคนที่ดูถูกคนจีนว่าไอ้เจ๊ก
แต่ด้วยความที่คนจีนเป็นคนขยันขันแข็งรู้จักหนักเอาเบาสู้ มีความอยากเป็นเจ้าของกิจการ อยากค้าขายเก็ยเงินเก็บทองโดยไม่สนใจคำดูถูกต่างๆ คนจีนในไทยทำทุกอย่างที่เป็นเงินยกเว้นไปนั่งงอมืองอเท้าขอทานหรือรอคอยโชคลาภวาสนา ในขณะเดียวกันคนไทยชอบสบาย อยากเป็นเจ้าคนนายคน อยากมียศถาบรรดาศักดิ์ รับราชการ มียศมีสีมีเกียรติ แต่มาถึงวันนี้คนจีนร่ำรวยเป็นเจ้าของกิจการมากมาย ส่วนคนไทยจำนวนมากกลับกลายมาเป็นลูกจ้างและเป็นลูกหนี้ของคนจีน
ตอน MC เด็กๆเคยได้ยินประปรายมาบ้างเหมือนกันเรื่องดูถูกคำว่าเจ๊ก เช่นตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก ไอ้เจ๊กโครก อะไรประมาณนี้ แต่คงถือว่ายังน้อยมากกับตอนที่คนจีนเริ่มสร้างฐานะในไทยใหม่ๆ ด้านความอดทนในการทำมาหากินเคยมีคนเปรียบเทียบร้านขายกับข้าว 2 ร้านของคนจีนและคนไทยแล้วมาเปรียบเทียบกันในกรณีที่ขายดีทั้งสองร้าน สมมุติว่ากับข้าวที่เราสั่งนั้นได้ช้าเราไปทวงถามว่าอาแปะกับข้าวที่สั่งอะได้หรือยัง พ่อค้าคนจีนจะรีบตอบอย่างกุลีกุจอว่าได้แล้วได้แล้วแป๊บเดียว อ่อ ว่าแต่ลื้อสั่งอะไรนะ ส่วนพ่อค้าไทยก็จะตอบว่าวันนี้ลูกค้าเยอะ รอๆไปก่อนเดี๋ยวก็ได้ อย่าว่าแต่จีนเลย แม้กระทั่งคนญวณ MC ก็เคยเห็นคนไทยไปดูถูกเขา เพื่อน MC เองเป็นคนญวณมีชื่อ-นามสกุลเป็นญวณแท้ๆเลยก็มีที่เคยโดนดูถูกตอนเด็กๆ แต่ตอนนี้มันมีกิจการใหญ่โตคนไทยเป็นลูกจ้างตามเคย
คราวนี้เรามาดู 5 คำสอนที่คนจีนสอนลูกหลาน จากเสื่อผืนหมอนใบกลายเป็นเศรษฐีกันบ้างครับ
แชร์เก็บไว้อ่าน! 5 คำสอนที่คนจีนสอนลูกหลาน จากเสื่อผืนหมอนใบกลายเป็นเศรษฐี แบบนี้สินะถึงได้รวย !
คำสอนคนจีน คนจีนสอนลูกหลานสืบต่อกันมาว่าให้
" ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด อดทน กตัญญู " จึงทำให้สร้างธุรกิจจากเสื่อผืนหมอนใบได้ และมีการสอนข้อห้ามที่ไม่ควรพูดคำ 5 คำนี้
1. "ยาก" พอพูดคำว่ายาก จะเป็น การบล็อคความสามารถทันที
2. "ทำไม่ได้" จะเป็นการขับไล่ตัว จากสิ่งที่ทำ หรือปิดกั้นการเรียนรู้
3. "ท้อ" เพราะเพียงคำนี้ผุดขึ้น พลังทั้งมวลทั้งร่างกายและจิตใจ จะถดถอยสูญสิ้น
4. "ขี้เกียจ" ไม่ควรแม้แต่ พูดเล่น เพราะจะทำให้สร้างความไม่รับผิดชอบ
5. "เหนื่อย" พอพูดคำนี้ออกมา ร่างกาย ก็จะตอบสนองด้วยการอ่อนแอลงทันที
นี่เป็นหลักจิตวิทยา ( Psychology ) ที่ถูกต้องมากที่สุด สำหรับคนเรา ทุกคน และตรงกับหลักพุทธศาสนาที่กล่าวไว้ว่า " จิตเป็นนาย..กายเป็นบ่าว "
ขอบพระคุณ https://www.winnews.tv/news/11788 , วิกิพิเดีย(ไทยเชื้อสายจีน)
ภาพบางส่วนจาก http://www.share-si.com/2017/07/5_25.html และ https://www.youtube.com/watch?v=lzW9gDSIiGA
ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ
1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน กระทู้ห้องเพลงคนรากหญ้าเหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น....
(Chinese New Year Song 2018) 100首传统新年歌曲 ❤ 歡樂新春 2018