สวัสดีครับ นี่เป็นรีวิวแรกของผม อาจจะเล่าติดขัด ภาพไม่ต่อเนื่องบ้างต้องขออภัยนะครับ ทริปนี้เริ่มในช่วงเดือนกันยายน 2560 ผมและภรรยาคุยกันว่าลูกสาวเราเริ่มโตพอที่จะพาไปเที่ยวต่างประเทศได้แล้ว (3 ขวบกว่าแร้ะ) แต่ยังไม่โตพอที่จะไปประเทศใหญ่ๆ ที่การเดินทางยังไม่ค่อยสะดวก เราเลยสรุปทริปต่างประเทศทริปแรกหลังจากที่มีลูกว่า จะไปสิงคโปร์กัน

จากนั้นเราก็จัดการจองตั๋วเครื่องบินใน traveloka และจ่ายเงินผ่านเค้าเตอร์เซอร์วิสของเซเว่น ได้ตั๋วไปกลับสิงคโปร์ สายการบิน scoot สำหรับเรา 3 คน พ่อแม่ลูก ในวันที่ 29 ธันวาคม 2560 และกลับวันที่ 1 มกราคม 2561

ราคารวมไปกลับ 3 คน 19,105 บาท ครับ

เมื่อใกล้วันเดินทางเราเริ่มจัดกระเป๋าเดินทาง โดยสิ่งที่ขาดไม่ได้คือขนม และยารักษาโรคสำหรับลูกสาวตัวน้อยของเรา

และทำสัญลักษณ์บนกระเป๋าเดินทางโดยการติดสติ๊กเกอร์สะท้อนแสงเพื่อป้องกันคนหิ้วไปผิดครับ

หลังจากนั้นไปแลกเงินดอลล่าสิงคโปร์ที่ร้านรับแลกเงินที่ร้านศรีราชามันนี่เอ็กซ์เช้นจ์ จำนวน 14,994 บาท ได้มา 612 ดอลล่าสิงคโปร์ (SGD) อัตราแลกเปลี่ยนตอนนั้น 24.5 บาท/SGD ครับ


และไม่ลืมจองที่พักล่วงหน้าจากเว็บ booking.com ที่ฮอร์นบิลโฮเต็ล ในราคา 180 SGD (180X24.5) = 4,410 บาท โดยไปจ่ายเงินสดในวันเข้าพักที่โรงแรมเลยครับ

และแล้วก็มาถึงวันเดินทาง วันที่ 29 ธันวาคม 2560 กำหนดการคือเครื่องขึ้นบินที่ดอนเมืองเวลา 23.35 น. เราต้องไปเช็คอินล่วงหน้าอย่างน้อย 2 ชั่วโมง แต่บ้านเราอยู่บางละมุง ชลบุรี ห่างจากดอนเมืองเกือบ 200 กิโล เราจึงเริ่มออกจากบ้านตั้งแต่บ่ายสอง

เราตั้งใจออกจากบ้านเร็ว เพื่อขับไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ เส้นทางมอเตอร์เวย์สาย 7 ตัดเข้าเส้นกาญจนาภิเษกสาย 9 และจะเอารถไปฝากบ้านน้องเขยแถวคลอง 4 รังสิต ก่อนจะนั่งรถแท็กซี่ต่อไปดอนเมือง

เมื่อมาถึงดอนเมืองอาคารขาออกต่างประเทศ เราก็หารถเข็นมาใส่สัมภาระที่แสนจะเยอะของเราทันที

และโทรนัดรับเช่าพ็อคเก็ตไวไฟในราคา 1,000 บาท

หลังจากนั้นก็มานั่งรอเรียกเช็คอิน สายการบิน scoot โดยลูกสาว น้องเจจ๋าเริ่มถามหาขนมรองท้องกันแร้ะ

เมื่อได้เวลาเช็คอิน เราก็รีบดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงในการถูกเท และผ่าน ตม. เข้าด้านในทันที พอเข้ามาด้านใน สิ่งที่ถูกใจเจจ๋าที่สุดคือมีสนามเด็กเล่นให้บริการฟรีด้านในให้คลายเหงาระหว่างรอเรียกขึ้นเครื่องครับ


พอได้เวลา เจ้าหน้าที่เรียกขึ้นเครื่อง เราก็เข้าประจำที่นั่งทันที น้องเจจ๋าตื่นเต้นมากที่จะได้นั่งเครื่องบินครั้งแรก

ในที่สุดผ่านไป 2 ชั่วโมง เครื่องก็มาถึง และลงโดยนิ่มนวลที่สนามบินชางกีเวลา 02.55 น. ของเช้าวันที่ 30 ธันวาคม 2560 (เวลาที่สิงคโปร์เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง) และสิ่งที่ได้รับรู้จากการใช้ไอโฟนคือ เมื่อเปิดไวไฟและไอโฟนรู้ว่าอยู่สิงคโปร์ ไอโฟนก็ปรับเวลาอัตโนมัติเป็นเวลาสิงคโปร์ทันที

และเมื่อถึงสนามบินชางกี เราก็ผ่าน ตม.ทันที เพื่อป้องกันปัญหาเจ้าหน้าที่ถามว่าทำไมถึงผ่าน ตม.ช้า เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ตม.สิงคโปร์ค่องข้างโหด ระหว่างรอคิวตรวจ เห็นมีผู้หญิงไทยบางคนถูกเชิญเข้าห้องเย็น และเมื่อถึงคิวของคุณภรรยา นางก็อุ้มน้องเจจ๋าผ่าน ตม.ไป ได้โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้ถามอะไรมากในระหว่างที่เรารอหลังเส้นจึงไม่ได้ยินรายละเอียดว่าคุยอะไรกันบ้าง และเมื่อถึงคิวเรา
จป.ต่าย "Good morning" / สวัสดีตอนเช้าครับ"
เจ้าหน้าที่ ตม.สิงคโปร์ เงยหน้ามอง ยิ้มมุมปากนิดนึง "Naruepol? / นฤพล ใช่ไหม"
จป.ต่าย "Yes / ใช่ครับ"
เจ้าหน้าที่ ตม.สิงคโปร์ แสตมป์วีซ่าออนบอร์ดบนพาสปอร์ตดังปัง! นึกในใจ อ้าว....ไม่ถามต่อ ผมท่องมาตั้งเยอะ 555

หลังจากนั้นก็พาน้องเจจ๋ามานอนพักบนโซฟาในสนามบินชางกี รอเวลาเช้าก่อนเข้าเมือง

พอได้เวลาเช้า 6.30 น. เราก็ซื้อบัตร ez link ที่สนามบินชางกี จำนวน 2 ใบ สำหรับผมและภรรยา ส่วนน้องเจจ๋าไม่ต้องใช้ครับ สามารถอุ้มขึ้นรถสาธารณะ (รถไฟฟ้า และรถเมถ์) ฟรีครับ ราคาบัตร ez link ใบละ 12 SGD (12X24.5 = 294 บาท) จะใช้ได้แค่ 7 SGD (7X24.5 = 171.5) นะครับ อีก 5 SGD (5X24.5=122.5) เป็นค่าบัตร เราจึงเติมเงินเพิ่มอีกใบละ 10 SGD (10X24.5 = 245 บาท) บัตรที่เราได้เป็นรูปโดเรมอนลายสวยงามดังรูปครับ บัตร ez link สามารถใช้จ่ายขึ้นรถเมถ์ รถไฟฟ้า และยังสามารถซื้อของใน 7-11 ได้อีกด้วยนะครับ
และแล้วเราก็เริ่มภารกิจผจญภัยต่างแดน เมืองสิงคโปร์ วันที่ 1 (30 ธันวาคม 2560)
เราขึ้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว east west line จากสถานีชางกีเวลาประมาณ 7.00 น. ใช้เวลา 15 นาทีไปลงสถานีที่ 2 (Tanah Merah) แล้วต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียว east west line ที่มุ่งหน้าปลายทาง Joo Koon โดยวิ่งผ่าน 6 สถานี และเราลงสถานี Kallang เวลาประมาณ 7.45 น.

เมื่อลงสถานี Kallang แล้ว เราเดินลงจากสถานีที่อยู่ชั้นลอยลงมาชั้นล่าง เดินเข้าถนน Geylang และเดินเข้าซอย Lor10 รวมระยะทางเดิน 900 เมตร ด้วยการอุ้มลูกน้อย และสะพายสัมภาระพะรุงพะรังเข้าถึงที่พักประมาณ 8.30 น.

เมื่อถึงที่พักเราเปิดประตูกระจกเข้าไปพบล้อบบี้และพนักงานหญิงรูปร่างหุ่นสมบูรณ์ หน้าตาคมเข้มแบบแขก เราทักทายและขอฝากสัมภาระไว้ที่โรงแรมเพื่อออกไปเที่ยวก่อนจะกลับมาเช็คอินเวลา 14.00 น. โดยนางบอกให้เราจ่ายเงินค่าที่พักทันทีตามที่จองไว้ 2 คืน ราคา 180 SGD (180X24.5 = 4,410 บาท)

แต่นางใจดีหาห้องว่างแขกเช็คเอ๊าท์ออกไปแล้วแต่ยังไม่ได้ทำความสะอาด ให้เราพาลูกสาวไปอาบน้ำ เช็ดตัว พร้อมย้ำว่า "เร็วๆนะ เดี๋ยวบอสฉันกลับมา ฉันจะโดนบอสด่านะ"
หลังจากเสร็จภารกิจเวลาประมาณ 9.00 น. เราก็เดินออกมาหน้าซอย Lor10 เพื่อรอขึ้นรถเมถ์ไปเที่ยว ป้ายรถเมถ์ที่สิงคโปร์จะมีบอกหมดว่ามีรถเมถ์สายอะไรผ่านบ้าง รถเมถ์สายนั้นจะวิ่งผ่านที่ไหนบ้าง แต่ละสถานีห่างกันกี่กิโลเมตร และถ้าเราเสิร์ชดูในกูเกิ้ลแม้พ จะบอกเวลาที่รถสายนี้จะวิ่งผ่านสถานีนี้อีกด้วยครับ

ถือว่าเป็นการประชาสัมพันธ์ที่ให้รายละเอียดดีมากเลยครับ


เรารอรถเมถ์สาย 80 เพื่อมุ่งหน้าสถานี Maxwell เพื่อเที่ยวจุกแรก Buddha tooth relic temple หรือวัดพระเขี้ยวแก้วนั่นเองครับ เมื่อเดินขึ้นรถเมถ์เราก็ใช้บัตร ez link แตะที่แป้นรับตรงประตูตามที่หาข้อมูลและนั่งชั้นล่าง ไม่กล้าขึ้นชั้นสองเพราะกลัวจะลงรถไม่ทัน และระหว่างเรานั่งบนรถก็จะชะโงกหน้าอ่านป้ายข้างทางตลอด จนคุณพี่ผู้หญิงชาวสิงคโปร์ที่นั่งข้างๆถามว่าจะไปเที่ยวไหน พอเราบอกว่าจะไปวัดพระเขี้ยวแก้ว แกก็บอกว่าไม่ต้องกังวลแกจะไปลงสถานีเดียวกันเดี๋ยวแกจะบอกเราเองเมื่อถึง และเมื่อถึงแกก็บอกเราและเดินจามกันลงรถ เรารีบขอบคุณแกก่อนจะแยกย้ายเดินเข้าวัดอย่างสบายใจ เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่ก่อนเพื่อเป็นศิริมงคลต่อการเที่ยวช่วงที่เหลือ

วัดพระเขี้ยวแก้ว เป็นวัดจีนแบบพุทธ เป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า วัดจะมีหลายชั้น แต่ชั้นที่บรรจุพระธาตุจะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป


เราใช้เวลาเดินในวัดกันสักพัก จนเวลาประมาณ 10.00 น. ก็เริ่มหิว เพราะยังไม่ได้กินข้าวเช้าด้วย จึงเดินออกจากวัด เตรียมเดินหาศูนย์อาหาร Maxell เพื่อจะไปหาร้านข้าวมันไก่เถียนเถียนในตำนาน แต่เข้าศูนย์อาหารผิด (เข้าใจว่าศูนย์ Maxwell กำลังปิดปรับปรุงชั่วคราว) แต่ไม่เป็นไร ไหนๆก็ศูนย์อาหารเหมือนกัน เราเดินเข้าไปหาที่นั่งแล้วหาอาหารมื้อแรกกินกัน แต่ร้านที่สะดุดตาร้านแรกที่ร้านนี้ครับ (แต่เสียดายร้านปิด 555) ร้านชื่อ Bangkok Thai food ครับ อุตส่าห์มาไกลจากเมืองไทย เกือบจะเปิดมื้อแรกด้วยอาการไทยแร้ะ

และสรุปสุดท้ายนี่คืออาหารมื้อแรกของเราครับ ข้าวหน้าเป็ด 4 SGD (4X24.5 = 98 บาท) และโจ๊กเป็ด 3 SGD (3X24.5 = 73.5 บาท)

หลังจากอิ่มหมีพีมัน รสชาติจืดนิดหน่อย แต่ก็อร่อยพอได้ครับ เราเตรียมออกเดินต่อเพื่อสำรวจพื้นที่รอบๆวัด แต่น่าเสียดาย ฝนตก ตามพยากรณ์อากาศ


(เรามารู้หลังจากซื้อตั๋วเครื่องบินไปแล้วว่าช่วงปีใหม่เป็นหน้าฝนของสิงคโปร์) ทำให้เราต้องนั่งรอในศูนย์อาหารอีกประมาณครึ่งชั่วโมงจนฝนหยุด เราจึงเดินเข้าสำรวจตลาด China town ของฝากที่ china town ราคาขั้นต่ำ 3 SGD (3X24.5 = 73.5 บาท) ความหลากหลายของฝากสู้เยาวราชบ้านเราไม่ได้ครับ และหลายร้านมีสินค้า Made in Thailand


เดินเล่นสักพักจนเวลาประมาณ 12.00 น. เราตัดสินใจเดินออกจากโซนร้านค้า เข้าถนนหลัก เพื่อเดินตามป้ายบอกทางจะขึ้นรถไฟฟ้า เพื่อมุ่งหน้าไปดูสิงห์โตพ่นน้ำ (Merlion) ที่มาริน่า เบย์ แซนด์


แต่พระเจ้า! ตามป้ายข้างทางเมื่อกี้บอกว่าสถานีรถไฟฟ้าประมาณ 400 เมตร แต่เราเดินมานานแร้ะยังไม่เจอเลย แสดงว่าเราหลงทางแน่นอน

พอดีเจอม้านั่งเลยตัดสินใจนั่งพักกินน้ำ กินขนมเพื่อสร้างพลังแปร๊บบ...

หลังจากนั้นตัดสินใจเดินต่ออีกแป้บพอดีเจอหุ่นรูปปั้นคนจีน จึงนั่งลงข้างๆ ด้วยความหมดแรงแล้วหยิบแผนที่จากโบรชัวร์ที่หยิบมาจากสนามบินชางกีออกมากางทำท่าเหมือนฝรั่งที่มา backpack แถวถนนข้าวสาร
ดึกแร้ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาเขียนต่อนะครับ วันนี้นอนก่อนครับ ฝากติดตามกันด้วยนะครับ
[CR] จป.ต่ายพาเที่ยว ตอนสิงคโปร์เมืองสิงโตพ่นน้ำ
เมื่อใกล้วันเดินทางเราเริ่มจัดกระเป๋าเดินทาง โดยสิ่งที่ขาดไม่ได้คือขนม และยารักษาโรคสำหรับลูกสาวตัวน้อยของเรา
และทำสัญลักษณ์บนกระเป๋าเดินทางโดยการติดสติ๊กเกอร์สะท้อนแสงเพื่อป้องกันคนหิ้วไปผิดครับ
หลังจากนั้นไปแลกเงินดอลล่าสิงคโปร์ที่ร้านรับแลกเงินที่ร้านศรีราชามันนี่เอ็กซ์เช้นจ์ จำนวน 14,994 บาท ได้มา 612 ดอลล่าสิงคโปร์ (SGD) อัตราแลกเปลี่ยนตอนนั้น 24.5 บาท/SGD ครับ
และไม่ลืมจองที่พักล่วงหน้าจากเว็บ booking.com ที่ฮอร์นบิลโฮเต็ล ในราคา 180 SGD (180X24.5) = 4,410 บาท โดยไปจ่ายเงินสดในวันเข้าพักที่โรงแรมเลยครับ
และแล้วก็มาถึงวันเดินทาง วันที่ 29 ธันวาคม 2560 กำหนดการคือเครื่องขึ้นบินที่ดอนเมืองเวลา 23.35 น. เราต้องไปเช็คอินล่วงหน้าอย่างน้อย 2 ชั่วโมง แต่บ้านเราอยู่บางละมุง ชลบุรี ห่างจากดอนเมืองเกือบ 200 กิโล เราจึงเริ่มออกจากบ้านตั้งแต่บ่ายสอง
เราตั้งใจออกจากบ้านเร็ว เพื่อขับไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ เส้นทางมอเตอร์เวย์สาย 7 ตัดเข้าเส้นกาญจนาภิเษกสาย 9 และจะเอารถไปฝากบ้านน้องเขยแถวคลอง 4 รังสิต ก่อนจะนั่งรถแท็กซี่ต่อไปดอนเมือง
เมื่อมาถึงดอนเมืองอาคารขาออกต่างประเทศ เราก็หารถเข็นมาใส่สัมภาระที่แสนจะเยอะของเราทันที
หลังจากนั้นก็มานั่งรอเรียกเช็คอิน สายการบิน scoot โดยลูกสาว น้องเจจ๋าเริ่มถามหาขนมรองท้องกันแร้ะ
เมื่อได้เวลาเช็คอิน เราก็รีบดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงในการถูกเท และผ่าน ตม. เข้าด้านในทันที พอเข้ามาด้านใน สิ่งที่ถูกใจเจจ๋าที่สุดคือมีสนามเด็กเล่นให้บริการฟรีด้านในให้คลายเหงาระหว่างรอเรียกขึ้นเครื่องครับ
พอได้เวลา เจ้าหน้าที่เรียกขึ้นเครื่อง เราก็เข้าประจำที่นั่งทันที น้องเจจ๋าตื่นเต้นมากที่จะได้นั่งเครื่องบินครั้งแรก
ในที่สุดผ่านไป 2 ชั่วโมง เครื่องก็มาถึง และลงโดยนิ่มนวลที่สนามบินชางกีเวลา 02.55 น. ของเช้าวันที่ 30 ธันวาคม 2560 (เวลาที่สิงคโปร์เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง) และสิ่งที่ได้รับรู้จากการใช้ไอโฟนคือ เมื่อเปิดไวไฟและไอโฟนรู้ว่าอยู่สิงคโปร์ ไอโฟนก็ปรับเวลาอัตโนมัติเป็นเวลาสิงคโปร์ทันที
จป.ต่าย "Good morning" / สวัสดีตอนเช้าครับ"
เจ้าหน้าที่ ตม.สิงคโปร์ เงยหน้ามอง ยิ้มมุมปากนิดนึง "Naruepol? / นฤพล ใช่ไหม"
จป.ต่าย "Yes / ใช่ครับ"
เจ้าหน้าที่ ตม.สิงคโปร์ แสตมป์วีซ่าออนบอร์ดบนพาสปอร์ตดังปัง! นึกในใจ อ้าว....ไม่ถามต่อ ผมท่องมาตั้งเยอะ 555
หลังจากนั้นก็พาน้องเจจ๋ามานอนพักบนโซฟาในสนามบินชางกี รอเวลาเช้าก่อนเข้าเมือง
พอได้เวลาเช้า 6.30 น. เราก็ซื้อบัตร ez link ที่สนามบินชางกี จำนวน 2 ใบ สำหรับผมและภรรยา ส่วนน้องเจจ๋าไม่ต้องใช้ครับ สามารถอุ้มขึ้นรถสาธารณะ (รถไฟฟ้า และรถเมถ์) ฟรีครับ ราคาบัตร ez link ใบละ 12 SGD (12X24.5 = 294 บาท) จะใช้ได้แค่ 7 SGD (7X24.5 = 171.5) นะครับ อีก 5 SGD (5X24.5=122.5) เป็นค่าบัตร เราจึงเติมเงินเพิ่มอีกใบละ 10 SGD (10X24.5 = 245 บาท) บัตรที่เราได้เป็นรูปโดเรมอนลายสวยงามดังรูปครับ บัตร ez link สามารถใช้จ่ายขึ้นรถเมถ์ รถไฟฟ้า และยังสามารถซื้อของใน 7-11 ได้อีกด้วยนะครับ
และแล้วเราก็เริ่มภารกิจผจญภัยต่างแดน เมืองสิงคโปร์ วันที่ 1 (30 ธันวาคม 2560)
เราขึ้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว east west line จากสถานีชางกีเวลาประมาณ 7.00 น. ใช้เวลา 15 นาทีไปลงสถานีที่ 2 (Tanah Merah) แล้วต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียว east west line ที่มุ่งหน้าปลายทาง Joo Koon โดยวิ่งผ่าน 6 สถานี และเราลงสถานี Kallang เวลาประมาณ 7.45 น.
เมื่อลงสถานี Kallang แล้ว เราเดินลงจากสถานีที่อยู่ชั้นลอยลงมาชั้นล่าง เดินเข้าถนน Geylang และเดินเข้าซอย Lor10 รวมระยะทางเดิน 900 เมตร ด้วยการอุ้มลูกน้อย และสะพายสัมภาระพะรุงพะรังเข้าถึงที่พักประมาณ 8.30 น.
เมื่อถึงที่พักเราเปิดประตูกระจกเข้าไปพบล้อบบี้และพนักงานหญิงรูปร่างหุ่นสมบูรณ์ หน้าตาคมเข้มแบบแขก เราทักทายและขอฝากสัมภาระไว้ที่โรงแรมเพื่อออกไปเที่ยวก่อนจะกลับมาเช็คอินเวลา 14.00 น. โดยนางบอกให้เราจ่ายเงินค่าที่พักทันทีตามที่จองไว้ 2 คืน ราคา 180 SGD (180X24.5 = 4,410 บาท)
หลังจากเสร็จภารกิจเวลาประมาณ 9.00 น. เราก็เดินออกมาหน้าซอย Lor10 เพื่อรอขึ้นรถเมถ์ไปเที่ยว ป้ายรถเมถ์ที่สิงคโปร์จะมีบอกหมดว่ามีรถเมถ์สายอะไรผ่านบ้าง รถเมถ์สายนั้นจะวิ่งผ่านที่ไหนบ้าง แต่ละสถานีห่างกันกี่กิโลเมตร และถ้าเราเสิร์ชดูในกูเกิ้ลแม้พ จะบอกเวลาที่รถสายนี้จะวิ่งผ่านสถานีนี้อีกด้วยครับ
เรารอรถเมถ์สาย 80 เพื่อมุ่งหน้าสถานี Maxwell เพื่อเที่ยวจุกแรก Buddha tooth relic temple หรือวัดพระเขี้ยวแก้วนั่นเองครับ เมื่อเดินขึ้นรถเมถ์เราก็ใช้บัตร ez link แตะที่แป้นรับตรงประตูตามที่หาข้อมูลและนั่งชั้นล่าง ไม่กล้าขึ้นชั้นสองเพราะกลัวจะลงรถไม่ทัน และระหว่างเรานั่งบนรถก็จะชะโงกหน้าอ่านป้ายข้างทางตลอด จนคุณพี่ผู้หญิงชาวสิงคโปร์ที่นั่งข้างๆถามว่าจะไปเที่ยวไหน พอเราบอกว่าจะไปวัดพระเขี้ยวแก้ว แกก็บอกว่าไม่ต้องกังวลแกจะไปลงสถานีเดียวกันเดี๋ยวแกจะบอกเราเองเมื่อถึง และเมื่อถึงแกก็บอกเราและเดินจามกันลงรถ เรารีบขอบคุณแกก่อนจะแยกย้ายเดินเข้าวัดอย่างสบายใจ เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่ก่อนเพื่อเป็นศิริมงคลต่อการเที่ยวช่วงที่เหลือ
เราใช้เวลาเดินในวัดกันสักพัก จนเวลาประมาณ 10.00 น. ก็เริ่มหิว เพราะยังไม่ได้กินข้าวเช้าด้วย จึงเดินออกจากวัด เตรียมเดินหาศูนย์อาหาร Maxell เพื่อจะไปหาร้านข้าวมันไก่เถียนเถียนในตำนาน แต่เข้าศูนย์อาหารผิด (เข้าใจว่าศูนย์ Maxwell กำลังปิดปรับปรุงชั่วคราว) แต่ไม่เป็นไร ไหนๆก็ศูนย์อาหารเหมือนกัน เราเดินเข้าไปหาที่นั่งแล้วหาอาหารมื้อแรกกินกัน แต่ร้านที่สะดุดตาร้านแรกที่ร้านนี้ครับ (แต่เสียดายร้านปิด 555) ร้านชื่อ Bangkok Thai food ครับ อุตส่าห์มาไกลจากเมืองไทย เกือบจะเปิดมื้อแรกด้วยอาการไทยแร้ะ
และสรุปสุดท้ายนี่คืออาหารมื้อแรกของเราครับ ข้าวหน้าเป็ด 4 SGD (4X24.5 = 98 บาท) และโจ๊กเป็ด 3 SGD (3X24.5 = 73.5 บาท)
หลังจากอิ่มหมีพีมัน รสชาติจืดนิดหน่อย แต่ก็อร่อยพอได้ครับ เราเตรียมออกเดินต่อเพื่อสำรวจพื้นที่รอบๆวัด แต่น่าเสียดาย ฝนตก ตามพยากรณ์อากาศ
เดินเล่นสักพักจนเวลาประมาณ 12.00 น. เราตัดสินใจเดินออกจากโซนร้านค้า เข้าถนนหลัก เพื่อเดินตามป้ายบอกทางจะขึ้นรถไฟฟ้า เพื่อมุ่งหน้าไปดูสิงห์โตพ่นน้ำ (Merlion) ที่มาริน่า เบย์ แซนด์
แต่พระเจ้า! ตามป้ายข้างทางเมื่อกี้บอกว่าสถานีรถไฟฟ้าประมาณ 400 เมตร แต่เราเดินมานานแร้ะยังไม่เจอเลย แสดงว่าเราหลงทางแน่นอน
หลังจากนั้นตัดสินใจเดินต่ออีกแป้บพอดีเจอหุ่นรูปปั้นคนจีน จึงนั่งลงข้างๆ ด้วยความหมดแรงแล้วหยิบแผนที่จากโบรชัวร์ที่หยิบมาจากสนามบินชางกีออกมากางทำท่าเหมือนฝรั่งที่มา backpack แถวถนนข้าวสาร
ดึกแร้ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาเขียนต่อนะครับ วันนี้นอนก่อนครับ ฝากติดตามกันด้วยนะครับ