จุดเริ่มต้น...เกมชิงอำนาจรัฐ ถึงเวลา ทักษิณ ย้อนเล่นบทเดิม
ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมาย สำหรับคนที่ติดตามการเมืองไทยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ยิ่งในช่วงเกิดสถานการณ์พิเศษ หรือมีเหตุการณ์รัฐประหารเกิดขึ้นในบ้านเรา และทำให้ตระกูล “ ชินวัตร ” หลุดจากอำนาจ แบบไม่ยินยอมพร้อมใจ
กับการปรากฎตัวของสองอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งตกอยู่ในสถานะของผู้ต้องหาหลบหนีคดี ตามหมายจับของงศาลฎีกาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง“ นายทักษิณ ชินวัตร ” และ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ”สองพี่น้องที่คลานตามกันมา แต่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ที่นำเสนอผ่านสื่อต่างๆอย่างอึกทึกครึกโครม
ตามข่าวระบุว่า นายทักษิณพร้อมด้วยน้องสาวได้เดินเลือกซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านถนนคนเดิน หวังกู่จิงใกล้ๆกับจัตุรัสเทียนอันเหมิน กลางกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยทั้งสองได้เดินทางมาเยี่ยมเพื่อนที่กรุงปักกิ่ง ตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา จนถึงช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่กรุงปักกิ่ง ก่อนเดินทางไปเป้าหมายอื่นต่อไป
ซึ่งถือเป็นครั้งแรก ที่ทั้ง “นายทักษิณ” และ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ” มีภาพปรากฏคู่กัน นับตั้งแต่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่มาปรากฏตัวที่ศาลฎีกาฯ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม เพื่อรับฟังคำพิพากษาในคดีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5แสนล้านบาท
ข่าวบางกระแสระบุว่า หลังจากนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เสร็จจากฉลองตรุษจีนร่วมกับครอบครัว จากนั้นจะเดินทางออกจากกรุงปักกิ่ง เพื่อเดินทางต่อไปยังเกาะฮ่องกง และพำนักระหว่างวันที่13-17ก.พ. ซึ่งอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย เตรียมเดินทางไปพบอดีตนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 คน ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล
ก่อนหน้านั้นมีมีรายงานว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแกนนำพรรคเพื่อไทย และอดีต ส.ส.จำนวนหนึ่ง เดินทางไปพบนายทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่กรุงปักกิ่ง เพื่อพูดคุยสถานการณ์การเมือง และการวางตัวผู้นำพรรคคนใหม่ แต่ในการพูดคุยยังไม่ได้ข้อสรุปว่า ใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคคนใหม่ เพราะเห็นว่า ยังไม่มีคนพร้อมเข้ามาทำหน้าที่ โดยนายทักษิณประเมินว่า การเลือกตั้งคงไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ และทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้หมด.
แต่เหนือสิ่งอื่นใดภาพข่าวของอดีตนายกฯทั้งสอง ปรากฏอยู่ในสื่อสิ่งพิมพ์หลายฉบับ รวมทั้งสื่อไลน์สำนักต่างๆซึ่งในแง่การนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ก็ต้องบอกว่า คงเป็นเรื่องปกติ เนื่องจาก “นายทักษิณ”และ “น.ส.ยิ่งลักษณ์”ก็ถือว่า เป็นบุคคลในข่าว แต่ในความผิดปกติ ก็ได้เห็นการบริการจัดการผ่านทางทีมงานอดีตนายกฯอย่างแยบยล เพราะสามารถทำให้หนังสือพิมพ์สองฉบับ นำเสนอข่าวและเนื้อหาเหมือนกันทั้งหมดเลย
อย่างไรก็ตามคงไม่ใช้เรื่องแปลก กับการปรากฏตัวครั้งนี้ของอดีตนายกฯ ตราบใดถ้า “นายทักษิณ ”ยังไม่วางมือทางการเมือง คงเดินเกมและปล่อยของเป็นระยะๆ เพื่อให้คนที่รักและชื่นชอบได้เห็นความเคลื่อนไหวของตนเอง ซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกมองว่าอยู่ในภาวะขาลง หลังถูกวิจารณ์ตนเองอย่างต่อเนื่อง ในสองปัญหาใหญ่ คือสัญญาณการเลื่อนเลือกตั้งจากเดิมที่กำหนดไว้ในเดือนพฤศจิกายน 61 มาเป็นเดือนกุมภาพันธ์ 62 อันเนื่องจากมาจากปัญหาบางประการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการขยายเวลาบังคับใช้กฎหมายลูก
ส่วนเรื่องที่สองคงหนีไม่พ้น ปมการครอบครองนาฬิกาหรูของ “ บิ๊กป้อม “ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ซึ่งฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลพยายามกดดันให้รองนายกฯแสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่ง
อ้างว่าที่ผ่านมา ชี้แจงที่ผ่านมายังไม่ชัดเจน แม้ว่าเรื่องยังอยู่ในกระบวนการการสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) ก็ตาม
สำคัญมากกว่าไปกว่านั้นคือ“ พล.อ.ประยุทธ์ ”ไม่เคยปฏิเสธ หากต้องเข้ามารับตำแหน่งนายกฯภายหลัง กับการรับตำแหน่งนายกฯ ภายหลังการเลือกตั้ง ในฐานะ นายกฯคนนอกหรือ“ ผู้นำคนกลาง ” ยิ่งทำให้ “ พรรคเพื่อไทย” และเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ยิ่งเกิดอาการวิตกกังวล เท่ากับว่าพรรคเพื่อไทยจะหลุดพ้น จากการยึดครองอำนาจรัฐไปอีกว่า 10 ปีเต็ม ถ้าหากผู้นำรัฐบาลคนปัจจุบัน กลับดำรงตำแหน่งนายกฯในสองสมัยติดต่อกัน
ขณะที่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน บรรดาขาประจำที่อ้างว่า ต้องการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษาจากหลายสถาบัน ก็เริ่มเคลื่อนไหว จัดชุมนุมกันเป็นระยะๆ โดยเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ก็จัดชุมนุมที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ภายใต้สโลแกน“หยุดยื้อเลือกตั้ง หยุดสืบทอดอำนาจ”
แม้จะมีเพียง “นายอานนท์ นำภา “ หรือทนายอานนท์นายรังสิมันต์ โรม และ นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ “จ่านิว” แม้จะมีคนมาร่วมชุมนุม เพียงแค่หลักร้อย แต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะถ้าหากมีเงื่อนไขอะไร ที่ทำให้ประชาชนไม่พอใจรัฐบาล ก็อาจสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลเพิ่มขึ้นก็ได้
หรืออาจมีคนบางกลุ่มอาศัยภาพของ “ นายทักษิณ “ และน้องสาว ซึ่งถูกมองโดนกลั่นแกล้ง แม้คดีความจะถึงที่สุดแล้วก็ตาม ซึ่งเป็นยุทธวิธีที่อดีตนายกฯและทีมงานใช้อยู่สม่ำเสมอ เหมือนอย่างที่หลายประเทศให้ที่พักพิงสองอดีตนายกฯ เช่นอังกฤษ และสาธารณรัฐประชาชนจีน
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อแกนนำนปช.บางคนจะออกมาวิเคราะห์ ถึงการเคลื่อนไหวของอดีตนายกฯ ที่มีคดีความติดตัวอยู่ว่า 1. ต่างชาติไม่ให้ความสำคัญกับกระบวนยุติธรรมเพราะถูกมองว่าเป็น การกลั่นแกล้งทางการเมือง 2 ไม่ให้ความสำคัญ กับ " คสช "ที่ทำทุกอย่างเพื่อ เอาใจจีน และ มองจีนว่า เป็นมหามิตร แต่จีน ไม่คิดกับ คสช แบบเดียวกัน ให้ความสำคัญกับนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์มากกว่า
ขณะที่ท่าทีของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและ หัวหน้าคสช. แม้จะดูไม่อาทรร้อนใจ กับความเคลื่อนไหวของนายทักษิณและน้องสาว หลังจากสื่อตั้งคำถามว่า ถึงความเคลื่อนไหวของพี่น้องตระกูล “ ชินวัตร ” โดยระบุเพียงว่า “คุณไปสนใจเขาทำไม สนใจคนทำผิดกฏหมายทำไม ผมไม่มองอะไรทั้งสิ้น ขึ้นอยู่ที่คุณจะให้ความสำคัญแค่ไหน จะให้ความสำคัญแต่กระพี้ก็ตามใจ ผมไม่สนใจ”
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างเป็นประธานในพิธีเปิดและปาฐกถาพิเศษในงานประกาศวาระแห่งชาติ “สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อนThailand 4.0เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนพล.อ. ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า การจะทำอะไรก็ตามต้องคำนึงถึงหลักฐาน ขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม
"บางคนกระบวนการครบแล้ว ลงโทษไปแล้ว ยังเคลื่อนไหวอยู่ต่างประเทศ จะทำอย่างไร ซึ่งหลายประเทศเขามองในเรื่องของเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียว มองอื่นๆเป็นเรื่องภายในของแต่ละประเทศ แต่ผมคิดว่าประเทศไทยก็มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เหมือนกัน ฉะนั้นใครก็ตามที่ละเมิดกฎหมายของแต่ละประเทศมาทำผิดในประเทศไทย
ผมก็ดำเนินคดี จับกุมอยู่จำนวนมากพอสมควร แล้วส่งตัวตามกฎหมายกลับไปลงโทษที่ประเทศต้นทาง เพราะฉะนั้นทุกประเทศต้องเคารพในสิ่งเหล่านี้ด้วย อย่าให้มีการเคลื่อนไหวของคนที่ทำผิดกฎหมายของแต่ละประเทศ ที่เราเคารพกฎหมายคนอื่น ดังนั้นคนอื่นต้องเคารพกฎหมายเราด้วยเช่นกัน นั้นคือความเป็นศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ของ “ ประเทศไทย"
นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมนิทรรศการของสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กประเทศไทย ซึ่งเป็นการรวมตัวของภาคเอกชนด้านสิทธิมนุษยชน โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ขณะนี้ยังขาดความเข้าใจในเรื่องของสิทธิมนุษยชน ซึ่งความจริงแล้วสิทธิมนุษยชนต้องไม่ละเมิดกฎหมายและต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่สังคมที่ปรองดอง แต่ขณะนี้ประเทศไทยมี 2 คน ขยับอยู่ต่างประเทศ แต่กลับทำให้คนป่วนไปหมดในประเทศ ส่วนตัวจึงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น.
จากนี้ไป กระบวนการเดินเกมระหว่างเครือข่ายทักษิณ กับ คสช.และรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์จะเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีอำนาจรัฐเป็นเดิมพัน โดยเฉพาะการหาแนวร่วม ...... เพื่อให้เข้ามาเป็นกองหนุนซึ่งดูจะเป็นยุทธศาสตร์ที่แต่ละฝ่าย พยายามปลุกเร้าอยู่ในขณะนี้
“ เมืองสมุทร ”
อ่านจากเพจ 1morenews
ตอนนี้..ใครมีแต้มต่อมากกว่ากัน?
ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมาย สำหรับคนที่ติดตามการเมืองไทยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ยิ่งในช่วงเกิดสถานการณ์พิเศษ หรือมีเหตุการณ์รัฐประหารเกิดขึ้นในบ้านเรา และทำให้ตระกูล “ ชินวัตร ” หลุดจากอำนาจ แบบไม่ยินยอมพร้อมใจ
กับการปรากฎตัวของสองอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งตกอยู่ในสถานะของผู้ต้องหาหลบหนีคดี ตามหมายจับของงศาลฎีกาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง“ นายทักษิณ ชินวัตร ” และ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ”สองพี่น้องที่คลานตามกันมา แต่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ที่นำเสนอผ่านสื่อต่างๆอย่างอึกทึกครึกโครม
ตามข่าวระบุว่า นายทักษิณพร้อมด้วยน้องสาวได้เดินเลือกซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านถนนคนเดิน หวังกู่จิงใกล้ๆกับจัตุรัสเทียนอันเหมิน กลางกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยทั้งสองได้เดินทางมาเยี่ยมเพื่อนที่กรุงปักกิ่ง ตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา จนถึงช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่กรุงปักกิ่ง ก่อนเดินทางไปเป้าหมายอื่นต่อไป
ซึ่งถือเป็นครั้งแรก ที่ทั้ง “นายทักษิณ” และ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ” มีภาพปรากฏคู่กัน นับตั้งแต่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่มาปรากฏตัวที่ศาลฎีกาฯ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม เพื่อรับฟังคำพิพากษาในคดีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5แสนล้านบาท
ข่าวบางกระแสระบุว่า หลังจากนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เสร็จจากฉลองตรุษจีนร่วมกับครอบครัว จากนั้นจะเดินทางออกจากกรุงปักกิ่ง เพื่อเดินทางต่อไปยังเกาะฮ่องกง และพำนักระหว่างวันที่13-17ก.พ. ซึ่งอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย เตรียมเดินทางไปพบอดีตนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 คน ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล
ก่อนหน้านั้นมีมีรายงานว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแกนนำพรรคเพื่อไทย และอดีต ส.ส.จำนวนหนึ่ง เดินทางไปพบนายทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่กรุงปักกิ่ง เพื่อพูดคุยสถานการณ์การเมือง และการวางตัวผู้นำพรรคคนใหม่ แต่ในการพูดคุยยังไม่ได้ข้อสรุปว่า ใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคคนใหม่ เพราะเห็นว่า ยังไม่มีคนพร้อมเข้ามาทำหน้าที่ โดยนายทักษิณประเมินว่า การเลือกตั้งคงไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ และทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้หมด.
แต่เหนือสิ่งอื่นใดภาพข่าวของอดีตนายกฯทั้งสอง ปรากฏอยู่ในสื่อสิ่งพิมพ์หลายฉบับ รวมทั้งสื่อไลน์สำนักต่างๆซึ่งในแง่การนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ก็ต้องบอกว่า คงเป็นเรื่องปกติ เนื่องจาก “นายทักษิณ”และ “น.ส.ยิ่งลักษณ์”ก็ถือว่า เป็นบุคคลในข่าว แต่ในความผิดปกติ ก็ได้เห็นการบริการจัดการผ่านทางทีมงานอดีตนายกฯอย่างแยบยล เพราะสามารถทำให้หนังสือพิมพ์สองฉบับ นำเสนอข่าวและเนื้อหาเหมือนกันทั้งหมดเลย
อย่างไรก็ตามคงไม่ใช้เรื่องแปลก กับการปรากฏตัวครั้งนี้ของอดีตนายกฯ ตราบใดถ้า “นายทักษิณ ”ยังไม่วางมือทางการเมือง คงเดินเกมและปล่อยของเป็นระยะๆ เพื่อให้คนที่รักและชื่นชอบได้เห็นความเคลื่อนไหวของตนเอง ซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกมองว่าอยู่ในภาวะขาลง หลังถูกวิจารณ์ตนเองอย่างต่อเนื่อง ในสองปัญหาใหญ่ คือสัญญาณการเลื่อนเลือกตั้งจากเดิมที่กำหนดไว้ในเดือนพฤศจิกายน 61 มาเป็นเดือนกุมภาพันธ์ 62 อันเนื่องจากมาจากปัญหาบางประการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการขยายเวลาบังคับใช้กฎหมายลูก
ส่วนเรื่องที่สองคงหนีไม่พ้น ปมการครอบครองนาฬิกาหรูของ “ บิ๊กป้อม “ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ซึ่งฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลพยายามกดดันให้รองนายกฯแสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่ง
อ้างว่าที่ผ่านมา ชี้แจงที่ผ่านมายังไม่ชัดเจน แม้ว่าเรื่องยังอยู่ในกระบวนการการสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) ก็ตาม
สำคัญมากกว่าไปกว่านั้นคือ“ พล.อ.ประยุทธ์ ”ไม่เคยปฏิเสธ หากต้องเข้ามารับตำแหน่งนายกฯภายหลัง กับการรับตำแหน่งนายกฯ ภายหลังการเลือกตั้ง ในฐานะ นายกฯคนนอกหรือ“ ผู้นำคนกลาง ” ยิ่งทำให้ “ พรรคเพื่อไทย” และเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ยิ่งเกิดอาการวิตกกังวล เท่ากับว่าพรรคเพื่อไทยจะหลุดพ้น จากการยึดครองอำนาจรัฐไปอีกว่า 10 ปีเต็ม ถ้าหากผู้นำรัฐบาลคนปัจจุบัน กลับดำรงตำแหน่งนายกฯในสองสมัยติดต่อกัน
ขณะที่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน บรรดาขาประจำที่อ้างว่า ต้องการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษาจากหลายสถาบัน ก็เริ่มเคลื่อนไหว จัดชุมนุมกันเป็นระยะๆ โดยเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ก็จัดชุมนุมที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ภายใต้สโลแกน“หยุดยื้อเลือกตั้ง หยุดสืบทอดอำนาจ”
แม้จะมีเพียง “นายอานนท์ นำภา “ หรือทนายอานนท์นายรังสิมันต์ โรม และ นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ “จ่านิว” แม้จะมีคนมาร่วมชุมนุม เพียงแค่หลักร้อย แต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะถ้าหากมีเงื่อนไขอะไร ที่ทำให้ประชาชนไม่พอใจรัฐบาล ก็อาจสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลเพิ่มขึ้นก็ได้
หรืออาจมีคนบางกลุ่มอาศัยภาพของ “ นายทักษิณ “ และน้องสาว ซึ่งถูกมองโดนกลั่นแกล้ง แม้คดีความจะถึงที่สุดแล้วก็ตาม ซึ่งเป็นยุทธวิธีที่อดีตนายกฯและทีมงานใช้อยู่สม่ำเสมอ เหมือนอย่างที่หลายประเทศให้ที่พักพิงสองอดีตนายกฯ เช่นอังกฤษ และสาธารณรัฐประชาชนจีน
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อแกนนำนปช.บางคนจะออกมาวิเคราะห์ ถึงการเคลื่อนไหวของอดีตนายกฯ ที่มีคดีความติดตัวอยู่ว่า 1. ต่างชาติไม่ให้ความสำคัญกับกระบวนยุติธรรมเพราะถูกมองว่าเป็น การกลั่นแกล้งทางการเมือง 2 ไม่ให้ความสำคัญ กับ " คสช "ที่ทำทุกอย่างเพื่อ เอาใจจีน และ มองจีนว่า เป็นมหามิตร แต่จีน ไม่คิดกับ คสช แบบเดียวกัน ให้ความสำคัญกับนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์มากกว่า
ขณะที่ท่าทีของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและ หัวหน้าคสช. แม้จะดูไม่อาทรร้อนใจ กับความเคลื่อนไหวของนายทักษิณและน้องสาว หลังจากสื่อตั้งคำถามว่า ถึงความเคลื่อนไหวของพี่น้องตระกูล “ ชินวัตร ” โดยระบุเพียงว่า “คุณไปสนใจเขาทำไม สนใจคนทำผิดกฏหมายทำไม ผมไม่มองอะไรทั้งสิ้น ขึ้นอยู่ที่คุณจะให้ความสำคัญแค่ไหน จะให้ความสำคัญแต่กระพี้ก็ตามใจ ผมไม่สนใจ”
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างเป็นประธานในพิธีเปิดและปาฐกถาพิเศษในงานประกาศวาระแห่งชาติ “สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อนThailand 4.0เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนพล.อ. ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า การจะทำอะไรก็ตามต้องคำนึงถึงหลักฐาน ขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม
"บางคนกระบวนการครบแล้ว ลงโทษไปแล้ว ยังเคลื่อนไหวอยู่ต่างประเทศ จะทำอย่างไร ซึ่งหลายประเทศเขามองในเรื่องของเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียว มองอื่นๆเป็นเรื่องภายในของแต่ละประเทศ แต่ผมคิดว่าประเทศไทยก็มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เหมือนกัน ฉะนั้นใครก็ตามที่ละเมิดกฎหมายของแต่ละประเทศมาทำผิดในประเทศไทย
ผมก็ดำเนินคดี จับกุมอยู่จำนวนมากพอสมควร แล้วส่งตัวตามกฎหมายกลับไปลงโทษที่ประเทศต้นทาง เพราะฉะนั้นทุกประเทศต้องเคารพในสิ่งเหล่านี้ด้วย อย่าให้มีการเคลื่อนไหวของคนที่ทำผิดกฎหมายของแต่ละประเทศ ที่เราเคารพกฎหมายคนอื่น ดังนั้นคนอื่นต้องเคารพกฎหมายเราด้วยเช่นกัน นั้นคือความเป็นศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ของ “ ประเทศไทย"
นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมนิทรรศการของสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กประเทศไทย ซึ่งเป็นการรวมตัวของภาคเอกชนด้านสิทธิมนุษยชน โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ขณะนี้ยังขาดความเข้าใจในเรื่องของสิทธิมนุษยชน ซึ่งความจริงแล้วสิทธิมนุษยชนต้องไม่ละเมิดกฎหมายและต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่สังคมที่ปรองดอง แต่ขณะนี้ประเทศไทยมี 2 คน ขยับอยู่ต่างประเทศ แต่กลับทำให้คนป่วนไปหมดในประเทศ ส่วนตัวจึงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น.
จากนี้ไป กระบวนการเดินเกมระหว่างเครือข่ายทักษิณ กับ คสช.และรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์จะเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีอำนาจรัฐเป็นเดิมพัน โดยเฉพาะการหาแนวร่วม ...... เพื่อให้เข้ามาเป็นกองหนุนซึ่งดูจะเป็นยุทธศาสตร์ที่แต่ละฝ่าย พยายามปลุกเร้าอยู่ในขณะนี้
“ เมืองสมุทร ”
อ่านจากเพจ 1morenews