
สวัสดีบอลไทย





มาพบเจอกันอีกครั้งกับสกู๊ปพิเศษ เจาะประเด็นขยี้เรื่องราวบอลไทยที่ไม่ค่อยพูดถึง
แหวกแนวแบบท่าฉีกทุเรียนกันเลยทีเดียว
สำหรับกระทู้นี้มานำเสนอเรื่องราวอดีตทีมยักษ์ใหญ่แห่งวงการฟุตบอลไทย
ทีมแห่งแดนทะเลตะวันออก ชลบุรี เอฟซี จากสมญานามฉลามชล สู่ข้าวหลามหนองมนคนผ่านทาง
ต้องบอกเลยว่าเป็นทีมสโมสรฟุตบอลที่มีโครงสร้างทีมที่ดูน่าพัฒนาต่อยอดได้ไม่ยาก
แต่กลับกลายเป็นว่าการพัฒนาในทีมที่ค่อนข้างจะล้าหลังเต่าล้านปี
ทำให้ทีมท้องถิ่นนิยมรุ่นใหม่หลายๆ ทีมแซงขึ้นมาแบบไม่เห็นฝุ่นอย่างเห็นได้ชัด
อาทิเช่น เชียงรายยูไนเต็ด ราชบุรีเอฟซี บุรีรัมย์ยูไนเต็ด เมืองทองยูไนเต็ด เป็นต้น
ซึ่งทีมเหล่านี้ต้องบอกว่าการก่อตั้งได้ไม่นาน เมื่อเทียบเท่ากับ ชลบุรี เอฟซี
ที่ก่อตั้งเป็นสโมสรฟุตบอลที่เก่าแก่อีกทีมหนึ่งของสโมสรไทย
ซึ่งชลบุรีได้ก่อตั้งสโมสรเมื่อ ปี 1997 เรียกได้ว่าเป็นทีมเก่าแก่และมีความขลังเลยทีเดียว
และชลบุรีนี่เองเป็นต้นฉบับของทีมท้องถิ่นนิยมยุคแรกเริ่มของฟุตบอลในเมืองไทย
ซึ่งเป็นทีมประจำเมืองชลบุรีเลยก็ว่าได้
ซึ่งแต่ก่อนแฟนบอลเหล่าสาวกฉลามชลนั้น
มีความคลั่งไคล้ฟุตบอลในเมืองชลของตัวเองคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อฟุตบอลไทยเข้าสู่ลีกอาชีพอย่างเป็นทางการ
การพัฒนาของทีมชลบุรีก็เหมือนวิ่งส่วนทางกับลีกฟุตบอลอาชีพ
พัฒนาแบบถอยลงคลองท้องร่องเสียงั้นไป
ถูกทีมน้องใหม่หลายๆ ทีมค่อยๆ พัฒนาแซงขึ้นมาเรื่อยๆ
ซึ่งผลงานชลบุรีเริ่มส่งสัญญาณไม่ค่อยจะสู้ดีตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา
ในปี 2015 จบอันดับที่ 4 ของตาราง ในปี 2016 จบอันดับ ที่ 5 ของตาราง
ซึ่งในปีนี้นี่เองที่เกิดโศกนาฏกรรมบอลไทย โดนเอฟซีโตเกียวถลุงถังขี้ระเบิด
ในฟุตบอลรอบเพออฟถ้วยเอเชียไปถึง 9 ประตูต่อ 0
กลายเป็นตำนานน่าขมขื่นกล่าวขานว่า ชลบุรี 90 มาจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง
และในฤดูกาลล่าสุด สาละวันเตี้ยลงตกฮวบจบอันดับที่ 7 ของตารางในปี 2017
กลายเป็นทีมกลางตารางอย่างเต็มรูปแบบ
ซึ่งบ่งบอกได้ชัดว่าชลบุรียุคฟุตบอลลีกอาชีพเต็มตัว
ไม่สามารถต่อกรกับทีมน้องใหม่ที่ต่างพัฒนาทีมขึ้นมา
และการแข่งขันที่เข้มข้นสูงขึ้นทุกปีนั่นเอง
ซึ่งในหลายๆ ทีมในไทยลีกที่เป็นท้องถิ่นนิยมก่อตั้งขึ้นทีหลังชลบุรี
สร้างรังเหย้าสเตเดี้ยมถาวรเป็นของตัวเอง แต่ชลบุรียังเช่าสนาม อบจ. ของรัฐบาล
เป็นทีมห้องเช่ามาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งเป็นทีมที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งเหตุใดไฉนพัฒนาได้ล้าหลังกว่าทีมอื่นๆ
อย่างเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า แฟนบอลที่หมดศรัทธาหายไปจากสนาม
ทั้งๆ ที่ จังหวัดชลบุรีนั้น เป็นจังหวัดเศรษฐกิจอู้ฟู่จีดีพีอันดับต้นๆ ของเมืองไทย
เมื่อเทียบกับหลายๆ จังหวัดแล้ว เป็นทั้งแหล่งพักขนส่งสินค้า การท่องเที่ยว ค้าขาย
แหล่งที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ประชากรหนาแน่น
ซึ่งการหาสปอนเซอร์ผู้สนับสนุนต้องบอกได้เลยใช้กำลังภายในไม่ยาก แทบจะเรียกได้ว่าชลบุรี
เป็นสโมสรที่มีแหล่งที่ตั้งอู่ข้าวอู่น้ำแหล่งอุดมสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจ
รวมไปถึงเป็นทีมท้องถิ่นนิยมที่เก่าแกมีความขลังอยู่ทุนเดิม
ซึ่งการสร้างฐานแฟนบอลนั้นแทบจะเรียกได้ว่า
กระดิกมือทำการตลาดส่งเสริมสโมสร
และพัฒนาทีมให้ผลงานในลีกแข็งแกร่งขึ้นมา
แฟนบอลแทบจะเรียกได้ว่าแห่เข้ามาแบบสนามแตกได้ไม่ยาก
ซึ่งเทียบกับทีมเชียงรายเมืองเล็กๆ แล้ว
เริ่มต้นมาด้วยทีมมาอย่างกระท่อนกระแท่น
ช่วงก่อตั้งช่วงแรกต้องอยู่กลางตารางค่อนไปทางดื้นรนหนีตกชั้นทุกปี
ประกอบกับช่วงแรกนั้น เชียงรายยูไนเต็ดไม่มีรั้งเหย้าเป็นของตัวเองต้องระเห็จเร่ร่อน
ไปเช่าสนาม อบจ. เชียงรายบ้าง ย้ายไปเช่าสนามมหาลัยบ้าง ย้ายไปเช่าสนาม 700 ปีเชียงใหม่บ้าง
ช่วงเริ่มแรก เชียงรายค่อยๆ เก็บหอมรอมริบซื้อที่สร้างรังเหย้า
ต้องบอกว่าช่วงนั้นไม่ค่อยมีทุนสร้างสนามต้องพักงานก่อสร้างเห็นแต่เสาให้ไม้เลื้อยขึ้นเป็นระยะ
แทบจะเรียกได้ว่าหาผู้สนับสนุนในเมืองค่อนข้างลำบาก
เพราะจังหวัดเชียงรายไม่ใช่จังหวัดเศรษฐกิจใหญ่เมื่อเทียบเท่า กับชลบุรี นั่นเอง
การหาผู้สนับสนุนของเชียงรายจึงยากลำบากในช่วงเริ่มต้น
แต่เมืองชลนั้นเป็นเมืองเศรษฐกิจและเป็นทีมเก่าแก่ของชลบุรี
ซึ่งการหาผู้สนับสนุนไม่ได้ยากเย็นนั่นเอง
แต่ไฉนวิสัยทัศน์การพัฒนาทีมชลบุรีที่ย่ำอยู่กับที่เรื่องการสร้างรังเหย้าเป็นของตัวเอง
การพัฒนาอะคาดามี่ที่ตอนนี้ต้องบอกว่าโดนอะคาดามี่ บุรีรัมย์ เมืองทอง
แซงไม่เห็นฝุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นทีมที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่หยุดพัฒนาตนเองไปเสียอย่างนั้นไปนั่นเอง
และในฤดูกาล 2018 นี้ การตกชั้น 5 ทีม
ชลบุรีเอฟซีนั้นเข้าข่ายสุ่มเสี่ยงที่จะตกชั้นลงไปเล่นฟุตบอลในชนชั้นรากหญ้าท่องเที่ยวไทยในลีกรองเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าฝันร้ายกลายเป็นจริง การกลับขึ้นสู่ไทยลีก
ลีกสูงสุดของประเทศนั้นค่อนข้างจะยากเย็นอยู่ไม่น้อย
เพราะไทยลีก 16 ทีมนั้นเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณทีม การสู้ศึกใน 16 ทีม บนลีกสูงสุดนั้น
ทุกนัดทุกแต้มคะแนนนั้นมึความหมายลุ้นจนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาล
ทุกทีมต้องดิ้นรนห่ำหั่นกันอย่างดุเดือดเพื่อให้อยู่รอดได้นั่นเอง
เหล่าสาวกที่หมดศรัทธาและยังตามเชียร์ในฤดูกาลนี้ต้องบอกเลยว่าหวั่นๆ
และระส่ำพอสมควร ต้องลุ้นให้ทีมเก่าแก่ในตำนานไม่ตกไปเล่นยังลีกรองรากหญ้าในฤดูกาลถัดไป
นี่คือฤดูกาลชี้เป็นชี้ตายของทีมชลบุรีนั่นเอง
หรือว่านี่อาจจะเป็นการปิดตำนานทีมยักษ์ใหญ่ของเมืองไทยอยู่แต่เพียงฤดูกาลนี้เท่านั้น ก็เป็นได้...
ชลบุรี เอฟซี ทีมยักษ์หลับขี้เซาที่ไม่ยอมตื่นแห่งทะเลตะวันออก เมืองเศรษฐกิจอู้ฟู่ แต่ไฉนทีมฟุตบอลพัฒนาแบบเต่าคลานล้านปี
มาพบเจอกันอีกครั้งกับสกู๊ปพิเศษ เจาะประเด็นขยี้เรื่องราวบอลไทยที่ไม่ค่อยพูดถึง
แหวกแนวแบบท่าฉีกทุเรียนกันเลยทีเดียว
สำหรับกระทู้นี้มานำเสนอเรื่องราวอดีตทีมยักษ์ใหญ่แห่งวงการฟุตบอลไทย
ทีมแห่งแดนทะเลตะวันออก ชลบุรี เอฟซี จากสมญานามฉลามชล สู่ข้าวหลามหนองมนคนผ่านทาง
ต้องบอกเลยว่าเป็นทีมสโมสรฟุตบอลที่มีโครงสร้างทีมที่ดูน่าพัฒนาต่อยอดได้ไม่ยาก
แต่กลับกลายเป็นว่าการพัฒนาในทีมที่ค่อนข้างจะล้าหลังเต่าล้านปี
ทำให้ทีมท้องถิ่นนิยมรุ่นใหม่หลายๆ ทีมแซงขึ้นมาแบบไม่เห็นฝุ่นอย่างเห็นได้ชัด
อาทิเช่น เชียงรายยูไนเต็ด ราชบุรีเอฟซี บุรีรัมย์ยูไนเต็ด เมืองทองยูไนเต็ด เป็นต้น
ซึ่งทีมเหล่านี้ต้องบอกว่าการก่อตั้งได้ไม่นาน เมื่อเทียบเท่ากับ ชลบุรี เอฟซี
ที่ก่อตั้งเป็นสโมสรฟุตบอลที่เก่าแก่อีกทีมหนึ่งของสโมสรไทย
ซึ่งชลบุรีได้ก่อตั้งสโมสรเมื่อ ปี 1997 เรียกได้ว่าเป็นทีมเก่าแก่และมีความขลังเลยทีเดียว
และชลบุรีนี่เองเป็นต้นฉบับของทีมท้องถิ่นนิยมยุคแรกเริ่มของฟุตบอลในเมืองไทย
ซึ่งเป็นทีมประจำเมืองชลบุรีเลยก็ว่าได้
ซึ่งแต่ก่อนแฟนบอลเหล่าสาวกฉลามชลนั้น
มีความคลั่งไคล้ฟุตบอลในเมืองชลของตัวเองคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อฟุตบอลไทยเข้าสู่ลีกอาชีพอย่างเป็นทางการ
การพัฒนาของทีมชลบุรีก็เหมือนวิ่งส่วนทางกับลีกฟุตบอลอาชีพ
พัฒนาแบบถอยลงคลองท้องร่องเสียงั้นไป
ถูกทีมน้องใหม่หลายๆ ทีมค่อยๆ พัฒนาแซงขึ้นมาเรื่อยๆ
ซึ่งผลงานชลบุรีเริ่มส่งสัญญาณไม่ค่อยจะสู้ดีตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา
ในปี 2015 จบอันดับที่ 4 ของตาราง ในปี 2016 จบอันดับ ที่ 5 ของตาราง
ซึ่งในปีนี้นี่เองที่เกิดโศกนาฏกรรมบอลไทย โดนเอฟซีโตเกียวถลุงถังขี้ระเบิด
ในฟุตบอลรอบเพออฟถ้วยเอเชียไปถึง 9 ประตูต่อ 0
กลายเป็นตำนานน่าขมขื่นกล่าวขานว่า ชลบุรี 90 มาจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง
และในฤดูกาลล่าสุด สาละวันเตี้ยลงตกฮวบจบอันดับที่ 7 ของตารางในปี 2017
กลายเป็นทีมกลางตารางอย่างเต็มรูปแบบ
ซึ่งบ่งบอกได้ชัดว่าชลบุรียุคฟุตบอลลีกอาชีพเต็มตัว
ไม่สามารถต่อกรกับทีมน้องใหม่ที่ต่างพัฒนาทีมขึ้นมา
และการแข่งขันที่เข้มข้นสูงขึ้นทุกปีนั่นเอง
ซึ่งในหลายๆ ทีมในไทยลีกที่เป็นท้องถิ่นนิยมก่อตั้งขึ้นทีหลังชลบุรี
สร้างรังเหย้าสเตเดี้ยมถาวรเป็นของตัวเอง แต่ชลบุรียังเช่าสนาม อบจ. ของรัฐบาล
เป็นทีมห้องเช่ามาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งเป็นทีมที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งเหตุใดไฉนพัฒนาได้ล้าหลังกว่าทีมอื่นๆ
อย่างเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า แฟนบอลที่หมดศรัทธาหายไปจากสนาม
ทั้งๆ ที่ จังหวัดชลบุรีนั้น เป็นจังหวัดเศรษฐกิจอู้ฟู่จีดีพีอันดับต้นๆ ของเมืองไทย
เมื่อเทียบกับหลายๆ จังหวัดแล้ว เป็นทั้งแหล่งพักขนส่งสินค้า การท่องเที่ยว ค้าขาย
แหล่งที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ประชากรหนาแน่น
ซึ่งการหาสปอนเซอร์ผู้สนับสนุนต้องบอกได้เลยใช้กำลังภายในไม่ยาก แทบจะเรียกได้ว่าชลบุรี
เป็นสโมสรที่มีแหล่งที่ตั้งอู่ข้าวอู่น้ำแหล่งอุดมสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจ
รวมไปถึงเป็นทีมท้องถิ่นนิยมที่เก่าแกมีความขลังอยู่ทุนเดิม
ซึ่งการสร้างฐานแฟนบอลนั้นแทบจะเรียกได้ว่า
กระดิกมือทำการตลาดส่งเสริมสโมสร
และพัฒนาทีมให้ผลงานในลีกแข็งแกร่งขึ้นมา
แฟนบอลแทบจะเรียกได้ว่าแห่เข้ามาแบบสนามแตกได้ไม่ยาก
ซึ่งเทียบกับทีมเชียงรายเมืองเล็กๆ แล้ว
เริ่มต้นมาด้วยทีมมาอย่างกระท่อนกระแท่น
ช่วงก่อตั้งช่วงแรกต้องอยู่กลางตารางค่อนไปทางดื้นรนหนีตกชั้นทุกปี
ประกอบกับช่วงแรกนั้น เชียงรายยูไนเต็ดไม่มีรั้งเหย้าเป็นของตัวเองต้องระเห็จเร่ร่อน
ไปเช่าสนาม อบจ. เชียงรายบ้าง ย้ายไปเช่าสนามมหาลัยบ้าง ย้ายไปเช่าสนาม 700 ปีเชียงใหม่บ้าง
ช่วงเริ่มแรก เชียงรายค่อยๆ เก็บหอมรอมริบซื้อที่สร้างรังเหย้า
ต้องบอกว่าช่วงนั้นไม่ค่อยมีทุนสร้างสนามต้องพักงานก่อสร้างเห็นแต่เสาให้ไม้เลื้อยขึ้นเป็นระยะ
แทบจะเรียกได้ว่าหาผู้สนับสนุนในเมืองค่อนข้างลำบาก
เพราะจังหวัดเชียงรายไม่ใช่จังหวัดเศรษฐกิจใหญ่เมื่อเทียบเท่า กับชลบุรี นั่นเอง
การหาผู้สนับสนุนของเชียงรายจึงยากลำบากในช่วงเริ่มต้น
แต่เมืองชลนั้นเป็นเมืองเศรษฐกิจและเป็นทีมเก่าแก่ของชลบุรี
ซึ่งการหาผู้สนับสนุนไม่ได้ยากเย็นนั่นเอง
แต่ไฉนวิสัยทัศน์การพัฒนาทีมชลบุรีที่ย่ำอยู่กับที่เรื่องการสร้างรังเหย้าเป็นของตัวเอง
การพัฒนาอะคาดามี่ที่ตอนนี้ต้องบอกว่าโดนอะคาดามี่ บุรีรัมย์ เมืองทอง
แซงไม่เห็นฝุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นทีมที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่หยุดพัฒนาตนเองไปเสียอย่างนั้นไปนั่นเอง
และในฤดูกาล 2018 นี้ การตกชั้น 5 ทีม
ชลบุรีเอฟซีนั้นเข้าข่ายสุ่มเสี่ยงที่จะตกชั้นลงไปเล่นฟุตบอลในชนชั้นรากหญ้าท่องเที่ยวไทยในลีกรองเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าฝันร้ายกลายเป็นจริง การกลับขึ้นสู่ไทยลีก
ลีกสูงสุดของประเทศนั้นค่อนข้างจะยากเย็นอยู่ไม่น้อย
เพราะไทยลีก 16 ทีมนั้นเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณทีม การสู้ศึกใน 16 ทีม บนลีกสูงสุดนั้น
ทุกนัดทุกแต้มคะแนนนั้นมึความหมายลุ้นจนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาล
ทุกทีมต้องดิ้นรนห่ำหั่นกันอย่างดุเดือดเพื่อให้อยู่รอดได้นั่นเอง
เหล่าสาวกที่หมดศรัทธาและยังตามเชียร์ในฤดูกาลนี้ต้องบอกเลยว่าหวั่นๆ
และระส่ำพอสมควร ต้องลุ้นให้ทีมเก่าแก่ในตำนานไม่ตกไปเล่นยังลีกรองรากหญ้าในฤดูกาลถัดไป
นี่คือฤดูกาลชี้เป็นชี้ตายของทีมชลบุรีนั่นเอง
หรือว่านี่อาจจะเป็นการปิดตำนานทีมยักษ์ใหญ่ของเมืองไทยอยู่แต่เพียงฤดูกาลนี้เท่านั้น ก็เป็นได้...