สวัสดีครับทุกท่าน

กระทู้สนทนา
อมยิ้ม17

เริ่มต้นที่จีน…
ตลาดหุ้นทั่วโลกตกลงมาอย่างหนัก
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
มันเกิดจากการคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยของ FED จริงหรือ?
ถ้าดอกเบี้ยขึ้น 0.25% ไม่ว่าจะ 3 หรือ 4 ครั้ง
มันทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกกระทบได้ขนาดนี้จริงหรือ?
คำตอบคือ จริง… เพียงบางส่วน

ก่อนจะไปถึงตรงนั้น
มาเข้าใจสิ่งที่จีนทำต่อเงินหยวนที่เรียกว่า เหรินหมินปี้ กันก่อน
เหรินหมินปี้ คือการบิดเบือนค่าเงินหยวนให้ถูกลง
โดยการนำเงินดอลล่าร์จากการเกินดุล
กลับเข้ามาซื้อพันธบัตร รัฐบาลสหรัฐ
ซึ่งจะทำให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่า
สินค้าจากจีนจะสามารถแข่งขันได้ในตลาด
และจะไปทำให้สินค้าอเมริกันแพงสำหรับชาวจีน
จึงไปลดจำนวนสินค้านำเข้าจากสหรัฐ ไปยังจีน

ก็รู้อยู่แล้ว… แล้วมันเกี่ยวอะไร?
เรื่องมันเกิดเมื่อปลายเดือนตุลาคมปี 2017
ตอนนั้นจีนออกมาประกาศนโยบาย จากการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์
โดยจะลดการเติบโตลง และเน้นไปที่คุณภาพชีวิตของประชากรแทน
ซึ่งนั่นแปลว่า…
จีนจะลด เหรินหมินปี้ ลง
ทำให้เกิด การขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐออกมา

มันเยอะขนาดมีผลกระทบได้ขนาดนั้นเลยหรือ?
ปี 2013 จีนเกินดุลอยู่ 318,683 ล้าน$
ปี 2014 344,817 ล้าน$
ปี 2015 367,256 ล้าน$
ปี 2016 347,016 ล้าน$
ปี 2017 375,227 ล้าน$
ประมาณ 1.7 ล้าน ล้าน$

แล้วเงินไปไหน?
เงินนั้นเข้ามาซื้อ Treasuries Bond ของ สหรัฐนั่นเอง

จากเดือนตุลาคม 2017
จีนเริ่มทยอยขายพันธบัตรสหรัฐออกมา
ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐเพิ่มสูงขึ้น
เนื่องจากไม่มีคนซื้อนั่นเอง

เริ่มต้นเรื่องนี้ดู ไม่น่าจะมีผลอะไรกับตลาดหุ้นมากนัก
แต่เมื่อไม่มีคนซื้อ แถมมีคนขายรายใหญ่อยู่
เมื่อเวลาผ่านไป Bond Yield จึงสูงขึ้นเรื่อยๆ

ถึงจุดนี้ ผลตอบแทนเมื่อรวมกับความเสี่ยง ในตลาดพันธบัตร
เริ่มมากกว่า ผลตอบแทนเมื่อรวมความเสี่ยงในตลาดหุ้น
นักลงทุนจึงเริ่มเอาเงินออกจากตลาดหุ้น
เข้ามาสู่ตลาด Bond แทน

ว่าแต่ 1.2 ล้าน ล้าน$
มันจะส่งผลต่อตลาดหุ้นได้แค่ไหนกันเชียว?
Dow Jone มี Market Cap อยู่ที่ 7 ล้าน ล้าน$
1.2 ล้าน ล้าน$ มันคือ 17%
ซึ่งยังไม่รวมกับดุลการค้าที่จะเพิ่มเข้ามา
อีกประมาณเกือบ 4 แสนล้านเหรียญต่อปี
นั่นคือประมาณ 22,000 จุดที่ Dow Jone
มีโอกาสจะลงไปได้

ล้างพอร์ทวันนี้เลยไหม?
ถ้าท่านเป็นนักลงทุน
ที่กำลังมีกำไรในตลาด Dow Jone ตอนนี้
นี่อาจเป็นทางเลือกที่ดีทางเลือกหนึ่ง

แต่ถ้าท่านลงทุนในตลาดอื่น
ผลกระทบเรื่องนี้
อาจจะแตกต่างออกไป

ยังไง?
เพราะว่าไทยเราเอง
ก็เกินดุลสหรัฐเช่นกัน
และถึงแม้เราจะขาดดุล
การค้าจากจีนและฮ่องกง
แต่เราได้เงินจากนักท่องเที่ยวจีนกลับมามากกว่า

โดยเมื่อเปรียบเทียบ เงินหยวนต่อ ดอลล่าร์
และ หยวนต่อบาทแล้ว
ดอลล่าร์ < หยวน < บาท
จึงทำให้เงินบาทแข็งมาก ในช่วงที่ผ่านมานั่นเอง


ตั้งแต่ตุลาคม เงินหยวนแข็ง เมื่อเปรียบเทียบกับ ดอลล่าร์


ช่วงท่องเที่ยว บาทแข็งกว่าหยวนอีก เอาเข้าไป

ค่าเงิน พันธบัตร ดอกเบี้ย อะไร ไม่รู้เรื่อง
จะกดขายอยู่แล้วเนี่ย บอกมาตรงๆเลย SET จะเป็นอย่างไร?

SET มาเริ่มขึ้น อย่างรุนแรงช่วงปลายปี 2017
ปัจจัยหนึ่งจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว
ทั้งๆที่ กำไรบริษัทจดทะเบียนยังไม่เพิ่มขึ้น
ทำไมกองทุน ไล่ซื้อหุ้นแทบหมดตลาดช่วงนั้นล่ะ

เหนือดอลล่าร์ มีหยวน เหนือหยวน มีบาท
เงินมันไหลมาไทยในท้ายที่สุด
ซึ่งมันจะทำให้ แค่ถือเงินบาทไว้เฉยๆ
มูลค่ามันก็มากกว่า ดอลล่าร์ หรือแม้แต่หยวนแล้ว
ตราบใดที่นักท่องเที่ยวจีนยังเพิ่ม
ไทยก็ยังได้เปรียบ

นั่นมันเรื่องค่าเงิน เอา SET ดิ เอา SET!!!
ขอถามก่อน
ทำไม ถึงแม้พันธบัตรของไทย
ซึ่งให้ผลตอบแทนต่ำกว่า สหรัฐ แต่มีต่างชาติเข้ามาซื้อตลอดล่ะ?

พันธบัตรไทย ผลตอบแทน 2.45%
ขณะที่ พันธบัตร สหรัฐ ให้ผลตอบแทน 2.84%

เพราะนักลงทุนเห็นว่า
ผลตอบแทนที่ 2.45% ในไทยมันเท่ากับ 2.84% ในสหรัฐไงล่ะ
หรือแปลได้อีกว่า
ค่าเงินบาทมีโอกาสจะแข็งค่าขึ้นไปอีก
เมื่อเทียบกับดอลลาร์

SET เถอะ ขอร้อง!
ตลาดหุ้นไทย ในระยะสั้นจะลง
เนื่องจาก ต่างชาติจะยัง ขายต่อเนื่อง
เพื่อนำเงินกลับไปลงทุนใน พันธบัตร สหรัฐ
ซึ่งก็จะกระทบกับตลาดหุ้น ทั่วโลก รวมทั้ง ทองคำ และ น้ำมัน ที่จะลงด้วย
เงินจะไปกองรวมกันในตลาดตราสารหนี้
ซึ่ง จีน ขายออกมา

โดยจุดสมดุลก็คือ
ดุลการค้าของจีน กับสหรัฐ
คือประมาณ 400,000 ล้าน$ ต่อปี

พูดง่ายๆคือ Bond Yield จะเพิ่มถึงจุดนึงแล้วจะสมดุล
SET จะลงจนต่างชาติ
ลดการขายหุ้นลง

เมื่อนั้น SET จะขึ้นลงต่อ
ตามสภาพเศรษฐกิจแท้จริง
ซึ่งถ้าเศรษฐกิจโลกฟื้น
SET น่าจะขึ้นมากกว่าลง

อย่าลืมว่านี่เป็นแค่การเคลื่อนไหวของเงินลงทุน

ซึ่งเรื่องนี้ เริ่มต้นที่จีน และ จบลงที่จีนเช่นกัน

โดยการที่สหรัฐจะออกมาบอกว่า
ตลาดหุ้นและการเงิน ของตัวเอง
ขึ้นอยู่กับประเทศเจ้าหนี้อย่างจีนนั้น
คงยากจะพูดออกมาตรงๆ
บอกว่าปัญหาเกิดจากดอกเบี้ยขึ้น เศรษฐกิจดี เงินเฟ้อเพิ่ม
บวกกับราคาหุ้นมันแพงเกินไป ในช่วงที่ผ่านมา
มันดูดีกว่า

ถ้าจีนเพิ่มอัตราการขายพันธบัตร
หุ้นสหรัฐก็จะตกเพิ่ม
แต่การขายพันธบัตรจะทำให้เงินหยวนแข็งค่า
ซึ่งจะทำให้สินค้าจีนแข่งขันได้ยากขึ้น
ผู้ส่งออกจีนก็จะเดือดร้อน
และดุลการค้าจะลดลง

จนกว่าจะสมดุล
ตลาดหุ้นก็จะปรับตัวต่อไป
อัศวินขี่ม้าขาว
วิกฤตหรือ?
มันก็แค่ พญามังกรปรับพอร์ท
มันก็จะสะเทือนหน่อย
ก็เท่านั้น

หน้าที่ของนักลงทุน
คือการมองทุกอย่างด้วยความเป็นจริง
ตัดสินใจลงทุนด้วยความรอบคอบ
ลดความเสี่ยงในการลงทุนลง
และพร้อมจะออกจากการลงทุนเมื่อท่านรู้ตัวว่าผิดทาง
เมื่อนั้น ท่านก็จะสามารถทำกำไรได้
ในตลาดปัจจุบัน

อัศวินเดินทาง
ไม่ซิ้อ… ไม่ขาดทุน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่