อาการต่อไปของเม่า คือ ติดดอย

กระทู้สนทนา
จากการที่เม่าขายหมูและตกรถในปีนี้คือปี พ.ศ 2560 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสภาวะตลาดกระทิง โดยขายหุ้นออกไปเป็นจํานวนทั้งสิ้น 94,624 ล้าน บาทในขณะเดียวกันกับที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 13.68% 

ผู้โพสต์คาดว่าสภาวะตลาดกระทิงจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องเพราะ Fed Fund Rate เป็นขาขึ้น ในขณะเดียวกันกับที่เม่าก็จะ ขายหมูและตกรถ ต่อไปจนถึงปลายปี พ.ศ 2563

พอมาถึงปลายปี พ.ศ 2563 เมื่อ Fed Fund Rate ปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับ 3.75 - 4.00% ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงกลางต่อช่วงปลายของสภาวะตลาดกระทิงในรอบนี้ ก็จะเป็นช่วงที่มีข่าวเชิงบวกเกี่ยวกับตลาดหุ้นออกมาเป็นจํานวนมาก จนทําให้เม่าเปลี่ยนใจกลับมาเป็นฝั่งซื้อ จากเดิมที่เคยเป็นฝั่งขายมาโดยตลอด และ ในที่สุดในปีถัดไปคือปี พ.ศ 2564 ซึ่งเป็นช่วงปลายสภาวะตลาดกระทิง แมงเม่าก็จะถือหุ้นจนเต็มพอร์ต

ปีต่อมา คือ ปี พ.ศ 2564 เมื่อ Fed Fund Rate ปรับตัวขึ้นไปอยู่ระดับสูงสุดในรอบนี้ที่ 4.00 - 4.25% ​ซึ่งเป็นช่วงปลายของสภาวะตลาดกระทิงและจะมีผลทําให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปทําสิถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ที่ 5,000 จุด หลังจากนั้นฟองสบู่โลกจึงจะแตก เนื่องจากปัญหาเรื่องหนี้สินของประเทศที่มีหนี้สินมากๆ เช่น สหรัฐอเมริกา หรือ จีน เป็นต้น เพราะ ทนต่อแรงกดดันจากสภาวะดอกเบี้ยสูงๆไม่ได้ และ เป็นสาเหตที่จะทําให้ตลาดหุ้นไทย ปรับตัวลงมาตามตลาดหุ้นทั่วโลก โดยตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวจาก 5,000 จุด ลงมาเหลือแค่ 1,500 จุด เท่านั้นเอง ซึ่งจะทําให้แมงเม่า ติดดอย เพราะ ไม่ได้ขายหุ้น

วัฏจักรดังกล่าวข้างต้นเกิดขึ้นหลายครั้งหลายหนในอดีตที่ผ่านมา เช่น การตกตํ่าครั้งใหญ่ ( The Great Depression ) ที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ 1929 วิกฤติต้มยํากุ้งที่เกิดในประเทศไทยในปี ค.ศ 1997  และ วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ 2008 เป็นต้น และ จะเป็นของคู่กับตลาดหุ้นตลอดไปในอนาคต ตามที่ จิม โรเจอร์ เคยกล่าวไว้ว่า " ทุกสภาวะตลาดกระทิง จะมีสภาวะตลาดหมีดักรออยู่ข้างหน้าเสมอ "

จากความสามารถในการคาดการณ์สภาวะตลาดกระทิงและสภาวะตลาดหมีนี้ ทําให้ Warren Buffett สามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายจากสภาวะตลาดหมีครั้งใหญ่ได้ถึง 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกในปี ค.ศ 1973 ซึ่งมีสาเหตุมาจากวิกฤตการณ์พลังงาน ครั้งที่ 1 และ ครั้งที่สองในปี ค.ศ 1987 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ Black Monday ในขณะเดียวกันกับที่ Jim Rogers สามารถทําเงินได้อย่างมหาศาลในช่วงสภาวะตลาดหมีจากการขายชอร์ต ในวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ เมื่อปี ค.ศ 2008

ทั้งนี้ ความเห็นข้างต้นเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้โพสต์เอง และ ไม่รับประกันความถูกต้อง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่