ถ้าใครชอบดูแผนที่ประเทศไทย หรือชอบท่องเที่ยว ผมคิดว่าน่าจะเคยเห็นแผนที่ประเทศไทยบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่มันจะมีติ่งอยู่ติ่งหนึ่ง ที่ยื่นเข้าไปในดินแดนพม่า (จริงๆ น่าจะเรียกดินแดนกะเหรี่ยงมากกว่า) ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบดูแผนที่ประเทศไทยโดยเฉพาะกูเกิลแมพ กดซูมเข้าซูมออก ดูภาพแบบดาวเทียม ดูมันอยู่นั่นแหละ ซึ่งบริเวณนี้ก็เป็นอีกบริเวณที่ผมสงสัยมานานแล้วว่า จะมีใครอยู่ไหม จึงซูมเข้าซูมออกดูบริเวณนี้ ก็ปรากฎว่าเจอชื่อโรงเรียนนึงปรากฎอยู่ คือ โรงเรียนบ้านจอซิเดอเหนือ
คำถามต่อมาก็คือ เห้ย แล้วเค้าเดินทางกันยังไงฟะ เพราะจากที่ซูมดู ก็มีแต่สีเขียวๆ ป่าเขาเต็มไปหมด ผมจึงลองเสิชกูเกิลหาข้อมูลดู ก็ไปเจอเวบนี้ ที่มีคนเคยเดินทางเข้าไปยังหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว
http://oknation.nationtv.tv/blog/krusak/2010/01/02/entry-2 จากในเวบ ผู้เขียนเดินทางเข้าไปยังหมู่บ้านนี้ด้วยเรือล่องไปตามแม่น้ำสาละวิน จากนั้นจึงเดินเท้าต่อเข้าไปยังหมู่บ้าน เมื่อผมได้อ่านก็รู้สึกอึ้งว่ายังมีหมู่บ้านที่ต้องเดินทางด้วยวิธีแบบนี้อีกเหรอ จึงได้ลองชักชวนสมัครพรรคพวกดูว่ามีใครสนใจไปไหม ก็มีคนสนใจกันบ้าง สุดท้ายเหลือ 3 คน ฮ่าๆ ก็เลยเกิดความคิดขึ้นมาว่า เราน่าจะเปิดรับบริจาคของเพื่อเอาไปให้เด็กๆ ชาวดอยกัน จึงประกาศไปยังเพื่อนๆ พี่ๆ
เมื่อมีผู้ร่วมเดินทางและอุดมการณ์แล้ว ผมจึงพยายามหาทางติดต่อโรงเรียน ซึ่งก็มีเบอร์ปรากฎตามที่เห็นในกูเกิลเลยครับ แต่โทรไม่ติด เลยลองโทรไปที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอนเขต 2 เพื่อขอเบอร์ผอ.ก็ปรากฎว่าไม่ติด น่าจะไม่มีสัญญาณ เอาล่ะสิ ผมจะทำอย่างไรดี นั่งเสิชข้อมูลไปมา ก็ไปเจอเฟสบุคของโรงเรียน ซึ่งมีครูท่านนึงโพสเฟสและแท็กโรงเรียนบ่อยๆ จึงได้ลองทักไป ก็ปรากฎว่าครูตอบกลับมา โล่งแล้วว ทีนี้ ต้องขอบคุณครูอาคมนะครับ ที่เล่นเฟสบ่อยๆ ฮ่าๆ ทำให้ผมติดต่อได้ จึงได้พูดคุยกันและบอกว่าสนใจที่จะเดินทางเข้าไปบริจาคของ ซึ่งครูก็ยินดีแล้วสอบถามวันที่จะเดินทางเข้ามาให้แน่ชัด เพราะครูบอกว่าต้องรอให้ฝนหยุด เพราะไม่งั้น จะเข้ามาไม่ได้ (ผมติดต่อครูไปตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกา ซึ่งฝนยังไม่หยุดตกเลยครับ)
คุยกับครูทีแรก ว่าจะเดินทางด้วยเรือแล้วต่อด้วยเดินตามในเวบข้างบนนั้น แต่ครูไม่แนะนำ อันนั้นคือการเดินทางตั้งแต่ปี 53 แล้ว เพราะครูเองก็ยังไม่เคยมาทางนั้นเลย ปัจจุบันรถสามารถเข้าถึงได้ แต่ต้องเป็นกระบะนะครับ และต้องรอให้เป็นหน้าที่ไม่มีฝนด้วย ไม่งั้นจะลำบากสุดๆ คุยกับครูตอนแรก ครูบอกว่า ถ้ามันยังแฉะอยู่คงต้องเดิน ซึ่งตอนนั้นในใจก็อยากเดินแล่ะครับ มันจะเท่าไรกันเชียวอย่างน้อยไม่ได้เดินทางด้วยเรือแล้ว ก็ยังจะได้เดิน แต่เดี๋ยวหลังจบทริป ความคิดผมจะเปลี่ยนไป ฮ่าๆ สุดท้ายก็นำรถกระบะเข้าไปถึงหมู่บ้านจนได้
เมื่อถึงวันเดินทาง (ผมเดินทางเข้าไปเมื่อปลายเดือนมกราที่ผ่านมา) ผมไม่คิดเลยครับว่าจะมีคนสนใจบริจาคสิ่งของกันเยอะขนาดนี้ จนถึงขั้นต้องบอกว่า พอก่อนๆ เพราะพวกผมไปกัน 3 คน รถคันเดียว นึกสภาพถ้าได้เดินจริงๆ คงต้องเอาไปบริจาคแถวๆ นี้แทน

ต้องขอบคุณเพื่อนอ.มาก จัดกระบะได้สุดยอดจริงๆ
ผมเห็นของบางอย่างแล้ว จู่ๆ ก็เกิดความคิดขึ้นมาอีกว่า เค้าจะเอากันเหรอวะ เหมือนเอาไปทิ้งให้เค้ายังไงก็ไม่รู้ ประกอบกับของมันเยอะมากจริงๆ ตามที่เห็นในภาพเลยครับ เลยว่าจะเก็บไว้ก่อนแล้วเอาไปให้สถานสงเคราะห์ในเมืองแทน แต่เพื่อนอ.ก็บอกว่า เค้าตั้งใจให้มาแล้ว ก็เอาไปเถอะ แบกๆ ไป สุดท้ายเราก็แบกกันไปหมด
หมู่บ้านนี้ อยู่ที่อำเภอแม่สะเรียงครับ ไปนอนที่แม่สะเรียงคืนนึง แล้วตอนเช้าถึงจะเข้าไปยังหมู่บ้านได้ เพราะจากอำเภอต้องใช้เวลาอีก 5 ชั่วโมงในการเข้าถึงหมู่บ้าน ไม่มีทางที่จะเดินทางได้ภายในวันเดียวแน่นอน คืนที่นอนที่แม่สะเรียงอาจจะเลือกนอนโฮมสเตย์หรือรีสอร์ทริมแม่น้ำยวมกันได้นะครับ มีให้เลือกเยอะอยู่พอสมควร เป็นอีกอำเภอที่น่าไปพักผ่อนครับ แต่พวกผมเลือกที่จะไปนอนที่อุทยานแห่งชาติสาละวินแทน เพราะพวกผมเป็นสายนอนอุทยานกัน ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากอำเภอนัก
การเดินทางเข้าไปยังอำเภอแม่สะเรียง จะใช้เส้นทางหลวงแผ่นดิน 12 จากตากเข้าไปยังแม่สอด แล้วจากแม่สอดก็ใช้เส้นทางหลวง 105 ขับไปเรื่อยๆ ชิลๆ ชิลเพราะแพ็กของกันไม่ดี หล่นตลอดทางเลยครับ ฮ่าๆ ต้องขออภัยบางท่านด้วยนะครับที่สิ่งของอาจปลิวหายไป แนะนำว่าถ้าออกจากกทม.คงต้องออกแต่เช้ามืด(พวกผมเลือกที่จะไปนอนที่กำแพงเพชรก่อน เพื่อร่นระยะทางและจะได้ไม่ต้องตื่นเช้ามาก) ระยะทางแค่ 700 กว่าโล พอๆ กับไปเชียงใหม่ แต่เส้น 105 คือเลาะตามหุบเขาไป มีบางช่วงก็จะเห็นฝั่งพม่าด้วย ทำให้ทำความเร็วไม่ได้มาก

เฮ้ยอะไรหายวะ ไม่รู้ว่ะ
เมื่อถึงเช้าวันเดินทาง ผมตั้งใจว่าจะออกจากอุทยานสัก 9 โมง เพื่อไปถึงบ้านโพซอ จุดนัดพบกับครูอาคม ประมาณ 11 โมง สุดท้ายออกเกือบ 11 โมง ฮ่าๆ ไปถึงบ้านโพซอประมาณ 12.30 เลทไปเยอะเลย ต้องขอโทษครูอีกทีครับ
อาหารเช้า น่ากินมั้ยฮะ ฝีมือเพื่อนป.

บรรยากาศภายในที่ทำการอุทยาน

เห็นเส้นทางแล้ว ดูจิ๊บๆ โธ่ แค่นี้สบาย หารู้ไม่ คำว่า ออฟโรดของจริง รออยู่
เส้นทางเข้าบ้านโพซอในช่วงแรก ถนนจะดีหน่อยครับ เนื่องจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ พระองค์เพิ่งจะเสด็จฯมาเยี่ยมรร.ตชด.เมื่อปลายเดือนพฤศจิกาปีที่แล้ว ทำให้องค์กรท้องถิ่นปรับปรุงผิวถนนกันยกใหญ่ เพื่อความสะดวกในการสัญจรแก่ผู้ติดตามท่านอื่นๆ

นัดครูไว้ที่นี่ครับ ไหนอะ

ไปนู่นแล้วว ตอนเจอครูทีแรก นึกว่าไบเกอร์ที่ไหน เท่มากครับ
จากนั้น ครูขี่พาเข้าบ้านโพซอไปรับประทานก๋วยเตี๋ยวชาวดอยกันครับ ชามละ 20 บาทเท่านั้น รสชาติก็พอทานได้ อยู่ข้างโรงเรียนบ้านโพซอเลย ผมไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เพราะแอบหิวเหมือนกันจึงรีบทาน


จากนี้ไปจะเริ่มเป็นของจริงแล้วครับ

เริ่มละครับ เส้นทางออฟโรด แต่ยังโอเค้ พอไปได้
จากบ้านโพซอจะมีจุดพักนึงเป็นหมู่บ้านเล็กๆ อีก 1 หมู่บ้าน ครูเรียกว่าบ้านคิดถึง เพราะครูบอกว่าใครมาก็ต้องคิดถึง จะมีร้านค้าชาวเขาเปิดอยู่ เป็นจุดพักที่ดีครับหลังจากนั่งอยู่ในรถแล้วโดนเขย่ามาตลอดทาง

ดูจากสภาพควรพักเนอะ

มอเตอร์ไซค์คันโปรดของคุณครู

อีก 14 กม. เอ๊งง จิ๊บๆ จะถึงแล้ววว เด๋วรู้!!!!

มาแล้ววว ทางเล็กลงเรื่อยๆ

ข้างหน้าคือลำธารใช่มั้ย ?

ขับลงลำธารไปเล้ยยย

สาบานว่านี่คือทาง

ใกล้ถึงแล้วว

ถึงแล้วโว้ยยย

บรรยากาศภายในหมู่บ้าน
จะว่าไปเหมือนเดินทางเข้าชัมบาล่าเหมือนกันนะครับ เมื่อเข้ามาถึงแล้ว รู้สึกได้ถึงความสงบอย่างบอกไม่ถูก หมู่บ้านที่น่าจะอยู่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ กลางป่าเขา มีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมสืบต่อกันมา แต่ก็มีของใช้จากในเมืองอยู่พอสมควรเช่นเดียวกัน เช่นเดียวกับไวไฟก็มีใช้ภายในโรงเรียน ไม่ธรรมดานะครับ เรียกได้ว่า เป็นส่วนผสมที่ลงตัวดีเหมือนกัน จริงๆ แล้ว หมู่บ้านนี้ เข้าถึงไม่ยากนะครับ มีตังอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีกระบะด้วย เพราะจริงๆ แล้ว ก่อนหน้าพวกผม ก็มีหลายๆ คณะเดินทางเข้ามากันอยู่ ไม่อย่างนั้นจะมีไวไฟ มีจานดาวเทียม มีของใช้ในเมืองกันได้อย่างไร และยิ่งโดยเฉพาะโครงการคนละไม้คนละมือ ฟังจากที่ครูเล่าแล้ว ถือเป็นคณะที่ดีเลยครับ เข้ามาทำอะไรหลายๆ อย่างให้กับโรงเรียนพอสมควรทีเดียว
เมื่อมาถึงโรงเรียน ก็พบคุณครูอีกท่านนึง คือครูหน่อง ชัชวาล รอต้อนรับอยู่ ซึ่งจริงๆ แล้วก็เห็นครูขี่มอไซแซงมาตั้งแต่ทางขึ้นแล้วล่ะครับ ต้องขอบคุณครูทั้งสองท่านมากนะครับ (จริงๆ มีครูสาวอีกท่านแต่ไม่ได้สนทนากันเลย ต้องขออภัยด้วยนะครับ) ที่อยู่ต้อนรับพวกผม ทั้งๆ ที่เป็นช่วงปิดปฏิทินดอย ครูอาคมบอกว่า จะมีปิดปฏิทินดอยทุกเดือน เพื่อให้เด็กๆ และคุณครูได้พักลงไปซื้อของ หรือเข้าเมืองไป เด็กบางคนก็ข้ามมาจากฝั่งพม่าเพื่อมาเรียนในโรงเรียน ถึงช่วงนี้ บางคนก็ข้ามเขากลับบ้านไป แต่บางคนก็นอนในโรงเรียนต่อไป



บรรยากาศโรงเรียน

เลี้ยงหมูปล่อยๆ กันแบบนี้เลยย

มาถึงก็แยกของเตรียมเอาไปให้ที่บ้านจอซิเดอใต้
โรงเรียนบ้านจอซิเดอเหนือ มีสาขาแยกไปอีก 2 แห่งนะครับ คือ ที่บ้านจอซิเดอใต้ และบ้านอูนุ บ้านจอซิเดอใต้รถยนต์สามารถไปถึงได้เช่นกัน ห่างจากบ้านเหนือ 4 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ ครึ่งชม. ผมไม่ได้พิมพ์ผิด 4 กม./ครึ่งชม. เพราะเส้นทางจากบ้านคิดถึงมายังบ้านจอซิเดอเหนือ 14 กม. เมื่อสักครู่ ก็จิ๊บๆ ครับ ชม.ครึ่ง ขณะที่บ้านอูนุรถยนต์เข้าไม่ถึง ครูบอกว่า เข้าได้เฉพาะรถมอเตอร์ไซค์เท่านั้น ผมจึงได้จัดแจงแบ่งของเพื่อจะนำไปให้ที่บ้านใต้เท่านั้น

ก่อนจะถึงทางเข้าหมู่บ้านใต้ มีเด็กๆ มารอรับขนมเพียบเลยครับ
ต่อเม้นล่างครับ
วันหนึ่งฉันขับเข้าป่า ภารกิจพิชิตติ่งประเทศไทย ไปบริจาคของที่โรงเรียนบ้านจอซิเดอเหนือ อำเภอแม่สะเรียง
คำถามต่อมาก็คือ เห้ย แล้วเค้าเดินทางกันยังไงฟะ เพราะจากที่ซูมดู ก็มีแต่สีเขียวๆ ป่าเขาเต็มไปหมด ผมจึงลองเสิชกูเกิลหาข้อมูลดู ก็ไปเจอเวบนี้ ที่มีคนเคยเดินทางเข้าไปยังหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว http://oknation.nationtv.tv/blog/krusak/2010/01/02/entry-2 จากในเวบ ผู้เขียนเดินทางเข้าไปยังหมู่บ้านนี้ด้วยเรือล่องไปตามแม่น้ำสาละวิน จากนั้นจึงเดินเท้าต่อเข้าไปยังหมู่บ้าน เมื่อผมได้อ่านก็รู้สึกอึ้งว่ายังมีหมู่บ้านที่ต้องเดินทางด้วยวิธีแบบนี้อีกเหรอ จึงได้ลองชักชวนสมัครพรรคพวกดูว่ามีใครสนใจไปไหม ก็มีคนสนใจกันบ้าง สุดท้ายเหลือ 3 คน ฮ่าๆ ก็เลยเกิดความคิดขึ้นมาว่า เราน่าจะเปิดรับบริจาคของเพื่อเอาไปให้เด็กๆ ชาวดอยกัน จึงประกาศไปยังเพื่อนๆ พี่ๆ
เมื่อมีผู้ร่วมเดินทางและอุดมการณ์แล้ว ผมจึงพยายามหาทางติดต่อโรงเรียน ซึ่งก็มีเบอร์ปรากฎตามที่เห็นในกูเกิลเลยครับ แต่โทรไม่ติด เลยลองโทรไปที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอนเขต 2 เพื่อขอเบอร์ผอ.ก็ปรากฎว่าไม่ติด น่าจะไม่มีสัญญาณ เอาล่ะสิ ผมจะทำอย่างไรดี นั่งเสิชข้อมูลไปมา ก็ไปเจอเฟสบุคของโรงเรียน ซึ่งมีครูท่านนึงโพสเฟสและแท็กโรงเรียนบ่อยๆ จึงได้ลองทักไป ก็ปรากฎว่าครูตอบกลับมา โล่งแล้วว ทีนี้ ต้องขอบคุณครูอาคมนะครับ ที่เล่นเฟสบ่อยๆ ฮ่าๆ ทำให้ผมติดต่อได้ จึงได้พูดคุยกันและบอกว่าสนใจที่จะเดินทางเข้าไปบริจาคของ ซึ่งครูก็ยินดีแล้วสอบถามวันที่จะเดินทางเข้ามาให้แน่ชัด เพราะครูบอกว่าต้องรอให้ฝนหยุด เพราะไม่งั้น จะเข้ามาไม่ได้ (ผมติดต่อครูไปตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกา ซึ่งฝนยังไม่หยุดตกเลยครับ)
คุยกับครูทีแรก ว่าจะเดินทางด้วยเรือแล้วต่อด้วยเดินตามในเวบข้างบนนั้น แต่ครูไม่แนะนำ อันนั้นคือการเดินทางตั้งแต่ปี 53 แล้ว เพราะครูเองก็ยังไม่เคยมาทางนั้นเลย ปัจจุบันรถสามารถเข้าถึงได้ แต่ต้องเป็นกระบะนะครับ และต้องรอให้เป็นหน้าที่ไม่มีฝนด้วย ไม่งั้นจะลำบากสุดๆ คุยกับครูตอนแรก ครูบอกว่า ถ้ามันยังแฉะอยู่คงต้องเดิน ซึ่งตอนนั้นในใจก็อยากเดินแล่ะครับ มันจะเท่าไรกันเชียวอย่างน้อยไม่ได้เดินทางด้วยเรือแล้ว ก็ยังจะได้เดิน แต่เดี๋ยวหลังจบทริป ความคิดผมจะเปลี่ยนไป ฮ่าๆ สุดท้ายก็นำรถกระบะเข้าไปถึงหมู่บ้านจนได้
เมื่อถึงวันเดินทาง (ผมเดินทางเข้าไปเมื่อปลายเดือนมกราที่ผ่านมา) ผมไม่คิดเลยครับว่าจะมีคนสนใจบริจาคสิ่งของกันเยอะขนาดนี้ จนถึงขั้นต้องบอกว่า พอก่อนๆ เพราะพวกผมไปกัน 3 คน รถคันเดียว นึกสภาพถ้าได้เดินจริงๆ คงต้องเอาไปบริจาคแถวๆ นี้แทน
ผมเห็นของบางอย่างแล้ว จู่ๆ ก็เกิดความคิดขึ้นมาอีกว่า เค้าจะเอากันเหรอวะ เหมือนเอาไปทิ้งให้เค้ายังไงก็ไม่รู้ ประกอบกับของมันเยอะมากจริงๆ ตามที่เห็นในภาพเลยครับ เลยว่าจะเก็บไว้ก่อนแล้วเอาไปให้สถานสงเคราะห์ในเมืองแทน แต่เพื่อนอ.ก็บอกว่า เค้าตั้งใจให้มาแล้ว ก็เอาไปเถอะ แบกๆ ไป สุดท้ายเราก็แบกกันไปหมด
หมู่บ้านนี้ อยู่ที่อำเภอแม่สะเรียงครับ ไปนอนที่แม่สะเรียงคืนนึง แล้วตอนเช้าถึงจะเข้าไปยังหมู่บ้านได้ เพราะจากอำเภอต้องใช้เวลาอีก 5 ชั่วโมงในการเข้าถึงหมู่บ้าน ไม่มีทางที่จะเดินทางได้ภายในวันเดียวแน่นอน คืนที่นอนที่แม่สะเรียงอาจจะเลือกนอนโฮมสเตย์หรือรีสอร์ทริมแม่น้ำยวมกันได้นะครับ มีให้เลือกเยอะอยู่พอสมควร เป็นอีกอำเภอที่น่าไปพักผ่อนครับ แต่พวกผมเลือกที่จะไปนอนที่อุทยานแห่งชาติสาละวินแทน เพราะพวกผมเป็นสายนอนอุทยานกัน ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากอำเภอนัก
การเดินทางเข้าไปยังอำเภอแม่สะเรียง จะใช้เส้นทางหลวงแผ่นดิน 12 จากตากเข้าไปยังแม่สอด แล้วจากแม่สอดก็ใช้เส้นทางหลวง 105 ขับไปเรื่อยๆ ชิลๆ ชิลเพราะแพ็กของกันไม่ดี หล่นตลอดทางเลยครับ ฮ่าๆ ต้องขออภัยบางท่านด้วยนะครับที่สิ่งของอาจปลิวหายไป แนะนำว่าถ้าออกจากกทม.คงต้องออกแต่เช้ามืด(พวกผมเลือกที่จะไปนอนที่กำแพงเพชรก่อน เพื่อร่นระยะทางและจะได้ไม่ต้องตื่นเช้ามาก) ระยะทางแค่ 700 กว่าโล พอๆ กับไปเชียงใหม่ แต่เส้น 105 คือเลาะตามหุบเขาไป มีบางช่วงก็จะเห็นฝั่งพม่าด้วย ทำให้ทำความเร็วไม่ได้มาก
เมื่อถึงเช้าวันเดินทาง ผมตั้งใจว่าจะออกจากอุทยานสัก 9 โมง เพื่อไปถึงบ้านโพซอ จุดนัดพบกับครูอาคม ประมาณ 11 โมง สุดท้ายออกเกือบ 11 โมง ฮ่าๆ ไปถึงบ้านโพซอประมาณ 12.30 เลทไปเยอะเลย ต้องขอโทษครูอีกทีครับ
เส้นทางเข้าบ้านโพซอในช่วงแรก ถนนจะดีหน่อยครับ เนื่องจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ พระองค์เพิ่งจะเสด็จฯมาเยี่ยมรร.ตชด.เมื่อปลายเดือนพฤศจิกาปีที่แล้ว ทำให้องค์กรท้องถิ่นปรับปรุงผิวถนนกันยกใหญ่ เพื่อความสะดวกในการสัญจรแก่ผู้ติดตามท่านอื่นๆ
จากนั้น ครูขี่พาเข้าบ้านโพซอไปรับประทานก๋วยเตี๋ยวชาวดอยกันครับ ชามละ 20 บาทเท่านั้น รสชาติก็พอทานได้ อยู่ข้างโรงเรียนบ้านโพซอเลย ผมไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เพราะแอบหิวเหมือนกันจึงรีบทาน
จากบ้านโพซอจะมีจุดพักนึงเป็นหมู่บ้านเล็กๆ อีก 1 หมู่บ้าน ครูเรียกว่าบ้านคิดถึง เพราะครูบอกว่าใครมาก็ต้องคิดถึง จะมีร้านค้าชาวเขาเปิดอยู่ เป็นจุดพักที่ดีครับหลังจากนั่งอยู่ในรถแล้วโดนเขย่ามาตลอดทาง
จะว่าไปเหมือนเดินทางเข้าชัมบาล่าเหมือนกันนะครับ เมื่อเข้ามาถึงแล้ว รู้สึกได้ถึงความสงบอย่างบอกไม่ถูก หมู่บ้านที่น่าจะอยู่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ กลางป่าเขา มีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมสืบต่อกันมา แต่ก็มีของใช้จากในเมืองอยู่พอสมควรเช่นเดียวกัน เช่นเดียวกับไวไฟก็มีใช้ภายในโรงเรียน ไม่ธรรมดานะครับ เรียกได้ว่า เป็นส่วนผสมที่ลงตัวดีเหมือนกัน จริงๆ แล้ว หมู่บ้านนี้ เข้าถึงไม่ยากนะครับ มีตังอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีกระบะด้วย เพราะจริงๆ แล้ว ก่อนหน้าพวกผม ก็มีหลายๆ คณะเดินทางเข้ามากันอยู่ ไม่อย่างนั้นจะมีไวไฟ มีจานดาวเทียม มีของใช้ในเมืองกันได้อย่างไร และยิ่งโดยเฉพาะโครงการคนละไม้คนละมือ ฟังจากที่ครูเล่าแล้ว ถือเป็นคณะที่ดีเลยครับ เข้ามาทำอะไรหลายๆ อย่างให้กับโรงเรียนพอสมควรทีเดียว
เมื่อมาถึงโรงเรียน ก็พบคุณครูอีกท่านนึง คือครูหน่อง ชัชวาล รอต้อนรับอยู่ ซึ่งจริงๆ แล้วก็เห็นครูขี่มอไซแซงมาตั้งแต่ทางขึ้นแล้วล่ะครับ ต้องขอบคุณครูทั้งสองท่านมากนะครับ (จริงๆ มีครูสาวอีกท่านแต่ไม่ได้สนทนากันเลย ต้องขออภัยด้วยนะครับ) ที่อยู่ต้อนรับพวกผม ทั้งๆ ที่เป็นช่วงปิดปฏิทินดอย ครูอาคมบอกว่า จะมีปิดปฏิทินดอยทุกเดือน เพื่อให้เด็กๆ และคุณครูได้พักลงไปซื้อของ หรือเข้าเมืองไป เด็กบางคนก็ข้ามมาจากฝั่งพม่าเพื่อมาเรียนในโรงเรียน ถึงช่วงนี้ บางคนก็ข้ามเขากลับบ้านไป แต่บางคนก็นอนในโรงเรียนต่อไป
โรงเรียนบ้านจอซิเดอเหนือ มีสาขาแยกไปอีก 2 แห่งนะครับ คือ ที่บ้านจอซิเดอใต้ และบ้านอูนุ บ้านจอซิเดอใต้รถยนต์สามารถไปถึงได้เช่นกัน ห่างจากบ้านเหนือ 4 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ ครึ่งชม. ผมไม่ได้พิมพ์ผิด 4 กม./ครึ่งชม. เพราะเส้นทางจากบ้านคิดถึงมายังบ้านจอซิเดอเหนือ 14 กม. เมื่อสักครู่ ก็จิ๊บๆ ครับ ชม.ครึ่ง ขณะที่บ้านอูนุรถยนต์เข้าไม่ถึง ครูบอกว่า เข้าได้เฉพาะรถมอเตอร์ไซค์เท่านั้น ผมจึงได้จัดแจงแบ่งของเพื่อจะนำไปให้ที่บ้านใต้เท่านั้น
ต่อเม้นล่างครับ