เกาะหลีเป๊ะ สถานที่ท่องเที่ยวในฝันของนักเดินทางหลายๆ คน หนึ่งในนั้นคือเราเองด้วย เรียกได้ว่าเป็น 1 ใน list Dreams destination เลยก็ว่าได้
ด้วยหาดทรายที่ขาวละเอียดราวกับผงแป้ง น้ำทะเลสีฟ้าใสราวกับกระจก เป็นตัวดึงดูง และเป็นแรงพลักดันให้เราเก็บกระเป๋า แล้วออกเดินทาง มายังสวรรค์แดนใต้แห่งนี้
เกาะหลีเป๊ะ ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา แถบทางตอนใต้ของหมู่เกาะอาดัง ราวี จ.สตูล
เป็นเกาะในฝัน ที่แอดมินใฝ่ฝันว่าสักครั้งหนึ่งในชีวิต จะต้องมานอนเกลือกกลิ้งบนหาดทรายขาวๆ เนียน ดุจละอองแป้ง และได้เล่นน้ำใสๆ เห็นฝูงปลาแหวกว่ายอย่างสนุกสนาน
และวันนี้ความฝันของแอดมินก็เป็นจริง ทริปนี้ใช้เวลาในการเตรียมตัวและเก็บเงิน 1 ปีเต็มๆ
โดยเราเลือกจองทัวร์กับ บริษัททัวร์ อัพทูยูทัวร์ ซึ่งการเที่ยวกับทัวร์นั้นเป็นอะไรที่สบายมากๆ เราได้กินอิ่ม พักผ่อนเต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไร มีคนจัดการให้ตลอดทั้งทริป และทัวร์นี้แอดมินบอกเลยว่าไม่ผิดหวังจริงๆ เพราะบริการดีมาก มีเจ้าหน้าที่ของทางทัวร์คอยโทรสอบถามอำนวยความสะดวกเราตลอดทั้งทริปตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง จนจบทริป
ค่าทัวร์ช่วงไฮซีซั่น อยู่ที่คนละ 3,990 บาท
ปล. ไม่ได้อวย เพราะเราไม่ได้ฆ่าโฆษณาแต่อย่างใด ชำระเงินเองทุกบาททุกสตางค์คร้า
สำหรับการเดินทาง เราเลือกเดินทางโดยเครื่องบิน สายการบินแอร์เอเชีย จากดอนเมือง มาลงที่สนามบินหาดใหญ่ แนะนำให้เลือกไฟท์ที่บินถึงหาดใหญ่มาลงไม่เกิน 9.30 นะคะ หรือใครจะเลือกไปลงที่สนามบินตรังก็ได้ แต่ทางหาดใหญ่จะมีรถตู้เยอะและเดินสะดวกกว่า
ราคาตั๋วเครื่องบินนั้น เราจองล่วงหน้าตอนโปร 0 บาทออก ก่อนออกเดินทาง 1 ปี มันทำให้เรามีเวลาศึกษาข้อมูลและเก็บเงินได้เยอะดี
ราคาค่าเสียหายอยู่ที่ไปกลับ 1,250 บาท
เดินทางมาถึงหาดใหญ่แล้ว คนขับรถตู้ก็โทรตามตรงเวลาเครื่องลงจอดพอดีเป๊ะๆ แต่ก่อนหน้านั้นก็มีการโทรมาย้ำเตือนเราก่อนวันออกเดินทางด้วย 1 วัน
รถตู้จะใช้เวลาเดินทางจากหาดใหญ่มาถึงสตูลโดยประมาณ 1 ชม. 30 นาที พี่โชเฟอร์เขาบอกว่าขับเร็วเกิน 90 กม./ชม. ไม่ได้ เพราะรถติด GPS เดี๋ยวตำรวจจับ เมื่อเดินทางมาถึงสตูล รถตู้จอดให้เราลงไปเช็คอินรับตั๋ยวเรือที่เคาท์เตอร์ Marinee Travel ซึ่งจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเซเว่นท่าเรือปากบารา พอดี
หลังจากรับตั๋วเรือ และชำระค่าเรือหางยาวเพิ่มแล้ว ไปกลับอยู่ที่ 100 บาท เรายังพอมีเวลาก่อนที่ เรือรอบ 11.30 น. จะออก เลยแวะทานข้าวที่ร้านข้าวมันไก่ข้างๆ เซเว่น ใครจะซื้ออะไรไปกินลนเกาะให้รีบซื้อไปเลย เพราะที่เกาะราาทุกอย่างจะชาร์ทแพงขึ้นมากกกกกก
สั่งแกงเหลืองมาทานเพิ่ม แกงใต้เป็นแกงที่เราชอบมากเพราะรถชาติจัดจ้านดี ทางร้านแถมน้ำพริกกับผักสดมาให้ด้วยนะ ขอบอกเลยว่าน้ำพริกอร่อยถูกปากเรามาก ขนาดเราเป็นคนอัมพวา ยายเราทำน้ำพริกกับปลาทูอร่อย ร้านนี้ ยายเรายังต้องยอมแพ้อ่ะ ซฮกให้เลยจริงๆ อย่อยยยย
ทานข้าวกลางวันเสร็จ ก็ได้เวลามาเช็คอินที่ท่าเรือ
สัญลักษณ์ของจังหวัดสตูลป่ะเนี้ย เจ้าปลาสองตัวนี้ ที่นี่คือท่าเรือปากบารา นะลืมบอกไป
เดินเข้าไปในท่าเรือ เราก็ชำระค่าเข้าอุทยาน และค่าธรรมเนียมผ่านท่าเรือ คนละ 60 บาท โดยแบ่งเป็นค่าเข้าอุทยาน 40 บาท อยู่ได้ถึง 5 วันเก็บตั๋ยวนี้ไว้ดีๆ นะ เวลาเราไปเที่ยวขึ้นเกาะที่ไหน ก็ยื่นให้เจ้าหน้าที่ดู จะได้ไม่เสียเงินเพิ่มอีก และค่าผ่านท่าอยู่ที่คนละ 20 บาท ถือเป็นค่าดูแลรักษาความสะอาดเกาะก็แล้วกันเนอะ
มาเช็คอินที่เค้าท์เตอร์ขึ้นเรือของสมาคมแล้ว เขาก็จะให้บัตรคิวตามลำดับในการขึ้นเรือมา เมื่อถึงเวลาก็จะมีเจ้าหน้าที่มาเรียกขึ้นเรือตามลำดับ
เรือเฟอร์รี่ที่จอดเทียบท่าอยู่ตรงท่าเรือ แต่เราเดินทางโดยสปีดโบ้ทนะ มันเร็วและแรงดี ถ้าเดินทางโดยสปี้ดโบ้ท จะได้แวะเที่ยวที่เกาะไข่และเกาะตะรุเตาด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับสภาพน้ำขึ้นน้ำลงด้วยนะ
ภาพบนเรือสปีดโบ้ท จับจองที่นั่งกันตามใจชอบได้เลย ส่วนใครเลือกฝั่งผิด ก็จะเจอกับละอองน้ำทะเลที่สาดกระเซ็นราวกับห่าฝน เปียกหัวแฉะกันเลยทีเดียวจร้า
อันนี้คือเรือสปีดโบ้ทที่เรานั่งมา พลอยสยาม 559 อันนี้คือเลขเรือนะเว้ย สงสัยต้องไปหาล็อตเตอรี่เลขนี้สักใบ ที่แรกที่เรือพาเราไปแวะคือเกาะตะรุเตา ที่นี่ในอดีต เคยเป็นคุกขุมขังนักโทษอุจฉกรรจ์ทั้งหลายแหล่ เปรียบเสมือนนรกเลยก็ว่าได้ แต่ปัจจุบันกลายเป็นสวรรค์ของนักเดินทางไปแล้ว ขออภัยลืมถ่ายรูปมา แฮร่ๆ
มาถึงสถานที่ที่สองที่เรือพาเรามาแวะเที่ยว นั่นก็คือ เกาะไข่นั่นเอง ขอบอกเลยว่า เราอยากมาที่นี่มากๆๆๆๆๆ
ตรงนี้เขาเรียกว่า Lover's gate หรือแปลเป็นไทยว่า ซุ้มรักนิรันดร์ เค้าว่ากันว่า ถ้าจูงมือแฟนลอดผ่านประตูนี้ไปพร้อมกัน แล้วออกทางประตูเล็ก จะมีชีวิตรักที่มั่นคงยืนยาว ก็... ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่หรอก... ที่รักจ้า ขอมือหน่อย
ออกจากเกาะไข่มาประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางของเราในที่สุด ถ้าเดินทางโดยไม่แวะที่ไหนเลยจะใช้เวลาโดยประมาณ 1 ชม. 30 นาที แต่เราแวะเที่ยวสองเกาะด้วย ก็ใช้เวลาไป 2 ชั่วโมงกว่าๆ ตอนอยู่บนเรือยังไม่ถึงเกาะดี ก็มีเจ้าหน้าที่จากทางรีสอร์ทโทรมาถามว่าถึงไหนแล้ว เพราะเขาจะได้มารอรับเราไปยังที่พัก
เราขึ้นเรือที่หาดหน้ารีสอร์ทบันดายา อันนี้คือรถแท็กซี่ที่ทางพนักงานจากรีสอร์ทขับมารับเรา
โฉมหน้าของพนักงานผู้มารับเรา เรือจอดปุ้บก็ชูป้ายปั๊บ ครั้งนี้เราเลือกพักกับ Good mood resort เป็นเวลา 2 คืน อย่าถามว่าค่าห้องเท่าไหร่ เพราะไม่รู้จริงๆ ราคามันรวมทั้งหมดอยู่ในโปรแกรมทัวร์แล้ว
และแล้วเราก้มาถึงที่พักในที่สุด ห้องถือว่าโอเคเลย ได้พักห้องหน้าสระน้ำด้วยนะ เลิศเวอร์
เก้าอี้ให้นั่งชมวิวบรรยากาศหน้าห้อง แต่บอกเลยยุงเยอะมาก แถมตัวใหญ่ด้วย ไม่ต้องกังวลไป ทางรีสอร์ทเขามียาทากันยุงสมุนไพรให้ทา
แต่เราขอไม่เสี่ยงดีกว่า
สระน้ำของทางรีสอร์ทเป็นสระเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก แต่บอกเลยว่าโคตรฟิน ตอนกลางคืนจะเปิดเพลงคลอเบาๆ มีแสงไฟสวยๆ นั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ฟินมาก
อันนี้แหละที่เราชอบ ลงไปนอนในสระได้เลย แล้วไขว้ขานอนจิบน้ำแตงโมปั่นนี่ได้อารมณ์จริงๆ
รีสอร์ทที่เราพักไม่ได้อยู่ติดทะเลนะ แต่ก็ไม่ไกลมาก เดินไป 50 เมตร ก็ถึงแล้ว
อันนี้คือรีสอร์ทที่อยู่ด้านหน้า ติดทะเล ชื่อ Z-touch รีสอร์ท ก็จะมีบ้านเป็นหลังๆ อันนี้เป็นทางผ่านก่อนที่เราจะไปถึงทะเล
อีกภาพของ Z-touch ทางผ่านของเรา
เห็นทะเลไกลๆ นั่นมั้ย
ถึงแล้ว หาดพัทยา จริงๆ แล้วหาดนี้ชื่อ หาดบันดาหยา แต่ไปๆ มาๆ เรีกเพี้ยนกันไปเป็นหาดพัทยา ซะได้
เป็นหาดที่มีฝรั่งอยู่เยอะมาก เหมือนที่พัทยาจริงๆ
นอนเล่นอาบแดด ก่อนจะไปเล่นน้ำ มาทั้งทีต้องทำทุกอย่างให้คุ้ม
หลังจากเล่นน้ำเสร็จอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้ว เราก็มาเดินเล่นหาของกินกันที่ ถนน walking street กัน เราสามารถเดินจากที่พักมาได้เลยนะ ทางเข้าจะอยู่หน้าหาดพัทยา
บรรยากาศของ walking street ก็จะประมาณนี้ ฝรั่งเยอะมาก อย่างกับเดินอยู่ต่างประเทศ
ร้านผัดไทย ที่ชาวต่างชาติเข้าคิวรอเยอะมาก
ร้านค้าขายของที่ระลึกก็มีเยอะ ราคาก็จะค่อนข้างสูง ตามการเดินทางที่มายากลำบาก
ความหิวและอาหารทะเลสดๆ ทำให้เราเลือกเดินตรงเข้าไปในร้านขายอาหารทะเลแห่งหนึ่ง ถ้าจำชื่อร้านไม่ผิด ก็น่าจะเป็นร้าน รักเล หรือซาร่าซีนี่แหละ ขออภัยจริงๆ จำชื่อร้านไม่ได้
เมนูอาหารที่เราสั่งมาสำหรับทาน 2 คน บอกเลยว่า ราคาค่อนข้างสูง
กุ้งทอดกระเทียม ค่าเสียหายอยู่ที่ 300 บาทไทย
หมึกผัดไข่เค็ม 250 บาท
ไข่เจียวธรรมดา 100 บาท ค่าเสียหายสำหรับมื้อนี้ 700 บาท/2คน
ร้านน้ำปั่นแก้วละ 80 บาท มีน้ำให้เลือกหลายอย่าง สามารถเลือกกดได้เองตามใจชอบเลย
กินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่ มันก็ต้องมีของหวานตบท้ายกันหน่อย ชาชัก ของเด็ดของดัง ของขึ้นชื่อของที่นี่ แก้วละ 50 บาทจร้า
โรตีเค้าก็ว่าอร่อยกันนะ
[CR] หลีเป๊ะในฝัน...สวรรค์แดนใต้ By Girl Like Travel
เกาะหลีเป๊ะ สถานที่ท่องเที่ยวในฝันของนักเดินทางหลายๆ คน หนึ่งในนั้นคือเราเองด้วย เรียกได้ว่าเป็น 1 ใน list Dreams destination เลยก็ว่าได้
ด้วยหาดทรายที่ขาวละเอียดราวกับผงแป้ง น้ำทะเลสีฟ้าใสราวกับกระจก เป็นตัวดึงดูง และเป็นแรงพลักดันให้เราเก็บกระเป๋า แล้วออกเดินทาง มายังสวรรค์แดนใต้แห่งนี้
เกาะหลีเป๊ะ ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา แถบทางตอนใต้ของหมู่เกาะอาดัง ราวี จ.สตูล
เป็นเกาะในฝัน ที่แอดมินใฝ่ฝันว่าสักครั้งหนึ่งในชีวิต จะต้องมานอนเกลือกกลิ้งบนหาดทรายขาวๆ เนียน ดุจละอองแป้ง และได้เล่นน้ำใสๆ เห็นฝูงปลาแหวกว่ายอย่างสนุกสนาน
และวันนี้ความฝันของแอดมินก็เป็นจริง ทริปนี้ใช้เวลาในการเตรียมตัวและเก็บเงิน 1 ปีเต็มๆ
โดยเราเลือกจองทัวร์กับ บริษัททัวร์ อัพทูยูทัวร์ ซึ่งการเที่ยวกับทัวร์นั้นเป็นอะไรที่สบายมากๆ เราได้กินอิ่ม พักผ่อนเต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไร มีคนจัดการให้ตลอดทั้งทริป และทัวร์นี้แอดมินบอกเลยว่าไม่ผิดหวังจริงๆ เพราะบริการดีมาก มีเจ้าหน้าที่ของทางทัวร์คอยโทรสอบถามอำนวยความสะดวกเราตลอดทั้งทริปตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง จนจบทริป
ค่าทัวร์ช่วงไฮซีซั่น อยู่ที่คนละ 3,990 บาท
ปล. ไม่ได้อวย เพราะเราไม่ได้ฆ่าโฆษณาแต่อย่างใด ชำระเงินเองทุกบาททุกสตางค์คร้า
สำหรับการเดินทาง เราเลือกเดินทางโดยเครื่องบิน สายการบินแอร์เอเชีย จากดอนเมือง มาลงที่สนามบินหาดใหญ่ แนะนำให้เลือกไฟท์ที่บินถึงหาดใหญ่มาลงไม่เกิน 9.30 นะคะ หรือใครจะเลือกไปลงที่สนามบินตรังก็ได้ แต่ทางหาดใหญ่จะมีรถตู้เยอะและเดินสะดวกกว่า
ราคาตั๋วเครื่องบินนั้น เราจองล่วงหน้าตอนโปร 0 บาทออก ก่อนออกเดินทาง 1 ปี มันทำให้เรามีเวลาศึกษาข้อมูลและเก็บเงินได้เยอะดี
ราคาค่าเสียหายอยู่ที่ไปกลับ 1,250 บาท
เดินทางมาถึงหาดใหญ่แล้ว คนขับรถตู้ก็โทรตามตรงเวลาเครื่องลงจอดพอดีเป๊ะๆ แต่ก่อนหน้านั้นก็มีการโทรมาย้ำเตือนเราก่อนวันออกเดินทางด้วย 1 วัน
รถตู้จะใช้เวลาเดินทางจากหาดใหญ่มาถึงสตูลโดยประมาณ 1 ชม. 30 นาที พี่โชเฟอร์เขาบอกว่าขับเร็วเกิน 90 กม./ชม. ไม่ได้ เพราะรถติด GPS เดี๋ยวตำรวจจับ เมื่อเดินทางมาถึงสตูล รถตู้จอดให้เราลงไปเช็คอินรับตั๋ยวเรือที่เคาท์เตอร์ Marinee Travel ซึ่งจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเซเว่นท่าเรือปากบารา พอดี
หลังจากรับตั๋วเรือ และชำระค่าเรือหางยาวเพิ่มแล้ว ไปกลับอยู่ที่ 100 บาท เรายังพอมีเวลาก่อนที่ เรือรอบ 11.30 น. จะออก เลยแวะทานข้าวที่ร้านข้าวมันไก่ข้างๆ เซเว่น ใครจะซื้ออะไรไปกินลนเกาะให้รีบซื้อไปเลย เพราะที่เกาะราาทุกอย่างจะชาร์ทแพงขึ้นมากกกกกก
สั่งแกงเหลืองมาทานเพิ่ม แกงใต้เป็นแกงที่เราชอบมากเพราะรถชาติจัดจ้านดี ทางร้านแถมน้ำพริกกับผักสดมาให้ด้วยนะ ขอบอกเลยว่าน้ำพริกอร่อยถูกปากเรามาก ขนาดเราเป็นคนอัมพวา ยายเราทำน้ำพริกกับปลาทูอร่อย ร้านนี้ ยายเรายังต้องยอมแพ้อ่ะ ซฮกให้เลยจริงๆ อย่อยยยย
ทานข้าวกลางวันเสร็จ ก็ได้เวลามาเช็คอินที่ท่าเรือ
สัญลักษณ์ของจังหวัดสตูลป่ะเนี้ย เจ้าปลาสองตัวนี้ ที่นี่คือท่าเรือปากบารา นะลืมบอกไป
เดินเข้าไปในท่าเรือ เราก็ชำระค่าเข้าอุทยาน และค่าธรรมเนียมผ่านท่าเรือ คนละ 60 บาท โดยแบ่งเป็นค่าเข้าอุทยาน 40 บาท อยู่ได้ถึง 5 วันเก็บตั๋ยวนี้ไว้ดีๆ นะ เวลาเราไปเที่ยวขึ้นเกาะที่ไหน ก็ยื่นให้เจ้าหน้าที่ดู จะได้ไม่เสียเงินเพิ่มอีก และค่าผ่านท่าอยู่ที่คนละ 20 บาท ถือเป็นค่าดูแลรักษาความสะอาดเกาะก็แล้วกันเนอะ
มาเช็คอินที่เค้าท์เตอร์ขึ้นเรือของสมาคมแล้ว เขาก็จะให้บัตรคิวตามลำดับในการขึ้นเรือมา เมื่อถึงเวลาก็จะมีเจ้าหน้าที่มาเรียกขึ้นเรือตามลำดับ
เรือเฟอร์รี่ที่จอดเทียบท่าอยู่ตรงท่าเรือ แต่เราเดินทางโดยสปีดโบ้ทนะ มันเร็วและแรงดี ถ้าเดินทางโดยสปี้ดโบ้ท จะได้แวะเที่ยวที่เกาะไข่และเกาะตะรุเตาด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับสภาพน้ำขึ้นน้ำลงด้วยนะ
ภาพบนเรือสปีดโบ้ท จับจองที่นั่งกันตามใจชอบได้เลย ส่วนใครเลือกฝั่งผิด ก็จะเจอกับละอองน้ำทะเลที่สาดกระเซ็นราวกับห่าฝน เปียกหัวแฉะกันเลยทีเดียวจร้า
อันนี้คือเรือสปีดโบ้ทที่เรานั่งมา พลอยสยาม 559 อันนี้คือเลขเรือนะเว้ย สงสัยต้องไปหาล็อตเตอรี่เลขนี้สักใบ ที่แรกที่เรือพาเราไปแวะคือเกาะตะรุเตา ที่นี่ในอดีต เคยเป็นคุกขุมขังนักโทษอุจฉกรรจ์ทั้งหลายแหล่ เปรียบเสมือนนรกเลยก็ว่าได้ แต่ปัจจุบันกลายเป็นสวรรค์ของนักเดินทางไปแล้ว ขออภัยลืมถ่ายรูปมา แฮร่ๆ
มาถึงสถานที่ที่สองที่เรือพาเรามาแวะเที่ยว นั่นก็คือ เกาะไข่นั่นเอง ขอบอกเลยว่า เราอยากมาที่นี่มากๆๆๆๆๆ
ตรงนี้เขาเรียกว่า Lover's gate หรือแปลเป็นไทยว่า ซุ้มรักนิรันดร์ เค้าว่ากันว่า ถ้าจูงมือแฟนลอดผ่านประตูนี้ไปพร้อมกัน แล้วออกทางประตูเล็ก จะมีชีวิตรักที่มั่นคงยืนยาว ก็... ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่หรอก... ที่รักจ้า ขอมือหน่อย
ออกจากเกาะไข่มาประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางของเราในที่สุด ถ้าเดินทางโดยไม่แวะที่ไหนเลยจะใช้เวลาโดยประมาณ 1 ชม. 30 นาที แต่เราแวะเที่ยวสองเกาะด้วย ก็ใช้เวลาไป 2 ชั่วโมงกว่าๆ ตอนอยู่บนเรือยังไม่ถึงเกาะดี ก็มีเจ้าหน้าที่จากทางรีสอร์ทโทรมาถามว่าถึงไหนแล้ว เพราะเขาจะได้มารอรับเราไปยังที่พัก
เราขึ้นเรือที่หาดหน้ารีสอร์ทบันดายา อันนี้คือรถแท็กซี่ที่ทางพนักงานจากรีสอร์ทขับมารับเรา
โฉมหน้าของพนักงานผู้มารับเรา เรือจอดปุ้บก็ชูป้ายปั๊บ ครั้งนี้เราเลือกพักกับ Good mood resort เป็นเวลา 2 คืน อย่าถามว่าค่าห้องเท่าไหร่ เพราะไม่รู้จริงๆ ราคามันรวมทั้งหมดอยู่ในโปรแกรมทัวร์แล้ว
และแล้วเราก้มาถึงที่พักในที่สุด ห้องถือว่าโอเคเลย ได้พักห้องหน้าสระน้ำด้วยนะ เลิศเวอร์
เก้าอี้ให้นั่งชมวิวบรรยากาศหน้าห้อง แต่บอกเลยยุงเยอะมาก แถมตัวใหญ่ด้วย ไม่ต้องกังวลไป ทางรีสอร์ทเขามียาทากันยุงสมุนไพรให้ทา
แต่เราขอไม่เสี่ยงดีกว่า
สระน้ำของทางรีสอร์ทเป็นสระเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก แต่บอกเลยว่าโคตรฟิน ตอนกลางคืนจะเปิดเพลงคลอเบาๆ มีแสงไฟสวยๆ นั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ฟินมาก
อันนี้แหละที่เราชอบ ลงไปนอนในสระได้เลย แล้วไขว้ขานอนจิบน้ำแตงโมปั่นนี่ได้อารมณ์จริงๆ
รีสอร์ทที่เราพักไม่ได้อยู่ติดทะเลนะ แต่ก็ไม่ไกลมาก เดินไป 50 เมตร ก็ถึงแล้ว
อันนี้คือรีสอร์ทที่อยู่ด้านหน้า ติดทะเล ชื่อ Z-touch รีสอร์ท ก็จะมีบ้านเป็นหลังๆ อันนี้เป็นทางผ่านก่อนที่เราจะไปถึงทะเล
อีกภาพของ Z-touch ทางผ่านของเรา
เห็นทะเลไกลๆ นั่นมั้ย
ถึงแล้ว หาดพัทยา จริงๆ แล้วหาดนี้ชื่อ หาดบันดาหยา แต่ไปๆ มาๆ เรีกเพี้ยนกันไปเป็นหาดพัทยา ซะได้
เป็นหาดที่มีฝรั่งอยู่เยอะมาก เหมือนที่พัทยาจริงๆ
นอนเล่นอาบแดด ก่อนจะไปเล่นน้ำ มาทั้งทีต้องทำทุกอย่างให้คุ้ม
หลังจากเล่นน้ำเสร็จอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้ว เราก็มาเดินเล่นหาของกินกันที่ ถนน walking street กัน เราสามารถเดินจากที่พักมาได้เลยนะ ทางเข้าจะอยู่หน้าหาดพัทยา
บรรยากาศของ walking street ก็จะประมาณนี้ ฝรั่งเยอะมาก อย่างกับเดินอยู่ต่างประเทศ
ร้านผัดไทย ที่ชาวต่างชาติเข้าคิวรอเยอะมาก
ร้านค้าขายของที่ระลึกก็มีเยอะ ราคาก็จะค่อนข้างสูง ตามการเดินทางที่มายากลำบาก
ความหิวและอาหารทะเลสดๆ ทำให้เราเลือกเดินตรงเข้าไปในร้านขายอาหารทะเลแห่งหนึ่ง ถ้าจำชื่อร้านไม่ผิด ก็น่าจะเป็นร้าน รักเล หรือซาร่าซีนี่แหละ ขออภัยจริงๆ จำชื่อร้านไม่ได้
เมนูอาหารที่เราสั่งมาสำหรับทาน 2 คน บอกเลยว่า ราคาค่อนข้างสูง
กุ้งทอดกระเทียม ค่าเสียหายอยู่ที่ 300 บาทไทย
หมึกผัดไข่เค็ม 250 บาท
ไข่เจียวธรรมดา 100 บาท ค่าเสียหายสำหรับมื้อนี้ 700 บาท/2คน
ร้านน้ำปั่นแก้วละ 80 บาท มีน้ำให้เลือกหลายอย่าง สามารถเลือกกดได้เองตามใจชอบเลย
กินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่ มันก็ต้องมีของหวานตบท้ายกันหน่อย ชาชัก ของเด็ดของดัง ของขึ้นชื่อของที่นี่ แก้วละ 50 บาทจร้า
โรตีเค้าก็ว่าอร่อยกันนะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น