
เมื่อพูดถึงประเทศสหรัฐอเมริกา เราก็ต้องนึกถึงภาพของดินแดนแห่งโอกาส หลายๆ คนมองถึงโอกาสที่จะได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้ ทุกๆ อย่างในอเมริกาแลดูศิวิไลซ์ไปหมด ตัวอย่างที่สำคัญของอเมริกาที่แสดงออกให้เห็นถึงความเป็นชาติมหาอำนาจ ก็คือ การแข่งขันกีฬา ไม่ว่าโอลิมปิกครั้งใดก็ตาม เราจะเห็นนักกีฬาของอเมริกาดูดีเสมอๆ แต่ก็เกิดคำถามขึ้นมาว่าแท้ที่จริงแล้วนักกีฬาตัวแทนของชาติมะกันที่ดูดีเหล่านี้คือนักกีฬาที่เก่งที่สุดของประเทศใช่หรือไม่ ความจริงอาจจะมีนักกีฬาที่มีความสามารถกว่าแต่ไม่ได้รับเลือกมาเป็นตัวแทนเนื่องจากภาพลักษณ์ที่ดูไม่ดี หรือประโยคที่ว่าอเมริกาคือดินแดนแห่งโอกาสสำหรับทุกคนจะเป็นสิ่งที่หลอกลวงพวกเรา หนังเรื่องนี้อาจจะให้คำตอบสำหรับคำถามเหล่านั้นได้ ภาพยนตร์แนวชีวประวัติเรื่องนี้เป็นผลงานกำกับของผู้กำกับออสเตรเลียน เครก กิลเลสพี นำแสดงโดยนักแสดงสาวสุดเซ็กซี่ มาโก้ ร็อบบี้ ซึ่งเรื่องนี้เธอร่วมโปรดิวซ์ด้วย ร่วมแสดงด้วย อัลลิสัน แจนนีย์ ,เซบาสเตียน สแตน และ พอล วอลเตอร์ เฮาเซอร์

หนังบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวประวัติของนักฟิกเกอร์สเกตสาวอเมริกันที่ฉีกกฎเกณฑ์เดิมไปทุกๆ อย่างและอื้อฉาวที่สุดคนนึงของวงการสเกตน้ำแข็งในขณะนั้น ทอนย่า ฮาร์ดิ้ง (ร็อบบี้) ตั้งแต่เธอเริ่มฝึกหัดสเกตกับโค้ชคนแรกของเธอทั้งๆ ที่เธอเพิ่งอายุได้ไม่กี่ขวบ จนกระทั่งเธอได้มีโอกาสชนะการแข่งขันในหลายๆ รายการ จนถึงจุดพีคที่สุดก็คือการที่ได้เป็นตัวแทนของประเทศไปแข่งขันในโอลิมปิกฤดูหนาว ซึ่งกว่าที่เธอจะฝ่าฟันมาถึงจุดนี้ได้เธอต้องผ่านเรื่องราวมากมายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงดูที่เข้มงวดของ ลาโวน่า (แจนนีย์) แม่ที่แสนจะเย็นชาของเธอ หรือการใช้ชีวิตคู่ที่ลุ่มๆ ดอนๆ กับแฟนหนุ่มของเธอ เจฟ กิลลูลี่ (สแตน) แต่แล้วการที่เธอได้สู่จุดสูงสุดในอาชีพนักสเกต ชีวิตของเธอกลับไม่ได้ขึ้นสูงตามไปอย่างที่คิด ตรงกันข้ามสถานการณ์ต่างๆ กลับค่อยๆ แย่ลงจนถึงจุดที่ต่ำที่สุดในชีวิต รวมไปถึงการที่เธอต้องมาพัวพันกับเรื่องบางเรื่องที่อาจส่งผลต่ออาชีพการเล่นกีฬาของเธอ

สำหรับการดำเนินเรื่องของหนังเรื่องนี้ ผู้กำกับเลือกที่จะใช้การดำเนินเรื่องด้วยการใช้บทสัมภาษณ์ของตัวละครต่างๆ มาเล่าเรื่องของตัวเองหรือคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดิ้ง ,ลาโวน่า ,เจฟ ,ชอว์นเพื่อนของเจฟที่เป็นบอดี้การ์ดฮาร์ดิง หรือแม้กระทั่งโค้ชของฮาร์ดิ้ง เมื่อตัวละครพูดถึงตอนไหนของชีวิตหนังก็จะปรากฏเป็นฉากในช่วงชีวิตนั้น ยอมรับเลยครับสำหรับการตัดต่อในหนังเรื่องนี้ที่สามารถทำออกมาได้อย่างดีไม่มีสะดุด ผมว่าเป็นการครีเอทที่ค่อนข้างเจ๋งดี ทำให้หนังดูมีสีสันขึ้นซึ่งแปลกแตกต่างไปจากหนังชีวประวัติทั่วๆ ไปที่จะดูราบเรียบไม่หวือหวา มันจะให้อารมณ์เหมือนกับหนังของมาร์ติน สกอร์เซซี่ เรื่อง Goodfellas หรือ Casino อะไรทำนองนั้นครับ และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อการดำเนินเรื่องรวมเข้ากับเพลงประกอบเรื่องที่ผู้กำกับเลือกได้เข้ากับสถานการณ์ในฉากแต่ละฉาก มันทำให้หนังดูมีพลังได้ดีทีเดียว นอกจากนั้นหนังยังสะท้อนให้เราเห็นถึงชีวิตของชาวอเมริกันชั้นล่างของสังคมที่มักจะไม่ค่อยได้รับโอกาสและโดนดูถูกจากคนที่สูงกว่า รวมไปถึงการคาดหวังของประชาชนชาวอเมริกันในบริบทขณะนั้นที่ต้องการเห็นภาพดีๆ จากตัวแทนของชาติที่ต้องเพอร์เฟคต์ ทั้งที่ความจริงแล้วโลกมันไม่ได้สวยอย่างที่คิด อีกสิ่งหนึ่งที่ผมว่าทำได้ค่อนข้างดีมากก็คือทีมแคสติ้งตัวละคร ที่สามารถเลือกนักแสดงมาแสดงได้เหมือนบุคคลในหนังตัวจริงมากๆ ซึ่งในตอนเอนด์เครดิตก็จะมีฟุตเทจบทสัมภาษณ์ที่สัมภาษณ์ตัวจริงมาให้ดู รวมไปถึงในเรื่องของการใช้สตั๊นท์แมนร่วมกับใช้ CG ตัดต่อการเล่นสเกตของร็อบบี้ ผมว่าทำได้ค่อนข้างเนียนมากๆ นั่งดูไปก็นึกว่าร็อบบี้เล่นสเกตเองเลยจริงๆ แต่ก็มีจุดที่ทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ก็คงจะเป็นฉากในลานสเกตที่มีผู้คนมากมายมาเชียร์ที่มีบางช่วงร็อบบี้จะดูลอยๆ ไม่ค่อยกลมกลืนกับฉากหลังนัก

พูดถึงเรื่องการแสดง เริ่มจากตัวเอกทอนย่า ฮาร์ดิ้ง โดย มาร์โก้ ร็อบบี้ บอกเลยครับว่าลืมภาพลักษณ์เก่าๆ ของเธอไปได้เลย บทฮาร์ดิ้งที่เธอแสดง ร็อบบี้ทำออกมาได้ดูมีมิติต่างกับเรื่องที่ผ่านๆ มา เรื่องนี้ร็อบบี้จะไม่สวยเซ็กซี่ หรือดูสง่างามเหมือนอย่างเคย แต่จะเป็นผู้หญิงที่ดูดิบๆ เถื่อนๆ เรียกได้ว่าเล่นไม่ห่วงสวย เป็นคนที่ไม่สนใจกฎเกณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น และเป็นคนที่มีความแข็งแกร่งทั้งร่างกายจิตใจต่อสู้มุ่งมั่นเพื่อเอาชนะคำดูถูกของหลายๆ คน กลายเป็นว่าเรื่องนี้ร็อบบี้สามารถเข้าได้ถึงบทบาทมากๆ อาจจะพูดได้ว่าการแสดงนี้เป็นการแสดงที่ดีที่สุดในตอนนี้ของเธอเลยก็ว่าได้ จนส่งให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาดารานำหญิง สำหรับในบทของลาโวน่า แม่ของทอนย่าที่แสดงโดย แจนนีย์ เธอแสดงให้เราเห็นถึงแม่คนนึงที่ดูเหมือนจะเย็นชาต่อลูก พูดจาโผงผางหยาบคาย แถมยังไม่เคยชมลูกเลยสักครั้งถึงแม้ว่าลูกจะทำได้ดีขนาดไหน หากแต่ว่าเป็นเพราะเธออยากให้ลูกของเธอได้ดี และถ้าชมมากๆ จะทำให้ลูกเธอเหลิง โดยเบื้องหลังเหล่านั้นเธอเองก็ทุ่มเทให้กับลูกพอสมควรไม่ว่าจะเป็นการพาทอนย่าไปเรียนสเกต รวมไปถึงหาเงินเพื่อมาเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียน ที่แม้ว่าเธอจะต้องปากกัดตีนถีบขนาดไหนก็ต้องส่งเสริมในสิ่งลูกถนัดให้ได้ เป็นสะท้อนให้เราได้เห็นการเลี้ยงดูในแบบของคนอเมริกันในสังคมชั้นล่างได้ดีพอสมควรสำหรับบทนี้ ส่วนบทของเจฟ กิลลูลี่ โดยสแตน เราจะเห็นภาพของชายหนุ่มบ้านๆ ชาวอเมริกันที่แลดูซื่อบื้อๆ ไม่มีพิษมีภัย แถมยังมีการแสดงออกในเรื่องความรักแบบแปลกๆ แต่แท้ที่จริงแล้วเขารักทอนย่ามากๆ ในบทนี้ผมมองว่าเขาแสดงเสมือนเป็นตัวแทนของบรรดาชายหนุ่มอเมริกันที่มีตัวตนจริงในชนบทของประเทศที่ไม่ได้เป็นคนเพอร์เฟคต์ แถมบางครั้งยังมีอารมณ์รุนแรง มีการทำร้ายร่างกายคนรักด้วย อีกคนที่ต้องพูดถึงก็คือ พอล วอลเตอร์ เฮาเซอร์ ในบทของ ชอว์น เพื่อนสนิทของเจฟ หากในเรื่องจะมีตัวตลกสักตัวที่คอยเรียกเสียงฮา ก็ตัวนี้แหละครับ เรื่องนี้เฮาเซอร์เล่นเป็นคนโง่ที่คิดว่าตัวเองฉลาดชนิดที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนอย่างนี้จริงๆ ในโลก แถมยังชอบคุยโม้ว่าตัวเองมีประสบการณ์อย่างโน้นอย่างนี้อย่างน่าไม่อาย ผมชอบนะตัวละครนี้ เฮาเซอร์เล่นได้ถึงบทบาทดี จับตาให้ดีครับตัวนี้ ฮาจริง

สำหรับเรื่องนี้ผมให้คะแนน 8.5 เต็ม 10 ครับ จะหักตรงที่ในช่วงกลางๆ มันจะยืดๆ หน่อยทำให้หาวบ้างเล็กน้อย บวกกับเรื่องของ CG ที่ดูขัดตาไปนิดนึง รวมไปถึงการใช้ตัวละครบางตัวที่ไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าไหร่ อย่างคันนาวาเล่ ที่ผมว่าน่าจะให้มีบทบาทอีกสักหน่อยจะดีมากๆ เลย อย่างไรก็ตามผมชอบหนังเรื่องนี้นะ มันค่อนข้างสะท้อนความจริงของเบื้องหลังในสังคมอเมริกันได้ดี แถมยังมีแง่คิดให้เราได้คิดตาม ไม่ว่าจะเป็นการทำตัวนอกกรอบ ที่บางครั้งมันอาจจะเป็นการสร้างสรรค์ แค่บางครั้งหากการนอกกรอบโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างมากจนเกินไป สังคมอาจจะไม่ยอมรับสิ่งนั้นก็ได้ ซึ่งการนอกกรอบนั้นอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เราเดือดร้อนก็เป็นได้ และความจริงที่น่าตลกว่า โลกนี้ต้องมีคนที่ใครๆ ก็รัก แต่โลกนี้ก็ต้องมีคนที่ใครๆ ก็เกลียด ทั้งๆ ที่ไม่รู้ความจริงว่าเกลียดเพราะอะไร ขอแค่ให้โลกนี้สมดุลก็พอ รวมไปถึงชีวิตคนเราเมื่อถึงจุดสูงสุดก็ย่อมต้องถึงจุดต่ำสุดเข้าสักวัน ขึ้นอยู่กับเราว่าจะยอมรับมันได้มากน้อยแค่ไหน ลองชมครับ หนังดีใช้ได้

การดูหนังก็เปรียบเสมือนกับการเก็บผลไม้ที่อยู่เต็มต้น ที่บางครั้งเราก็อาจจะเก็บผลไม้ได้ไม่หมด แต่ก็เลือกเก็บมาเฉพาะที่เราเก็บได้หรือเลือกเก็บในผลที่เราชื่นชอบ เช่นเดียวกันกับข้อคิดในหนังครับ เรื่องเดียวกันคนดูอาจเก็บข้อคิดจากหนังได้ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ใครเก็บอะไรได้บ้างก็สามารถร่วมแชร์ได้ที่เพจผมครับ หรือถ้าสนใจดูรีวิวหนังเรื่องอื่นเพิ่มเติม ให้คำติชมแนะนำ หรือถ้าอยากให้รีวิวหนังเรื่องไหน มาพูดคุยกันได้ที่
https://www.facebook.com/cineman95/ ขอให้สนุกกับการดูหนัง ขอบคุณครับ
[CR] [Review] I, Tonya (2017) ทอนย่า บ้าให้โลกคลั่ง
เมื่อพูดถึงประเทศสหรัฐอเมริกา เราก็ต้องนึกถึงภาพของดินแดนแห่งโอกาส หลายๆ คนมองถึงโอกาสที่จะได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้ ทุกๆ อย่างในอเมริกาแลดูศิวิไลซ์ไปหมด ตัวอย่างที่สำคัญของอเมริกาที่แสดงออกให้เห็นถึงความเป็นชาติมหาอำนาจ ก็คือ การแข่งขันกีฬา ไม่ว่าโอลิมปิกครั้งใดก็ตาม เราจะเห็นนักกีฬาของอเมริกาดูดีเสมอๆ แต่ก็เกิดคำถามขึ้นมาว่าแท้ที่จริงแล้วนักกีฬาตัวแทนของชาติมะกันที่ดูดีเหล่านี้คือนักกีฬาที่เก่งที่สุดของประเทศใช่หรือไม่ ความจริงอาจจะมีนักกีฬาที่มีความสามารถกว่าแต่ไม่ได้รับเลือกมาเป็นตัวแทนเนื่องจากภาพลักษณ์ที่ดูไม่ดี หรือประโยคที่ว่าอเมริกาคือดินแดนแห่งโอกาสสำหรับทุกคนจะเป็นสิ่งที่หลอกลวงพวกเรา หนังเรื่องนี้อาจจะให้คำตอบสำหรับคำถามเหล่านั้นได้ ภาพยนตร์แนวชีวประวัติเรื่องนี้เป็นผลงานกำกับของผู้กำกับออสเตรเลียน เครก กิลเลสพี นำแสดงโดยนักแสดงสาวสุดเซ็กซี่ มาโก้ ร็อบบี้ ซึ่งเรื่องนี้เธอร่วมโปรดิวซ์ด้วย ร่วมแสดงด้วย อัลลิสัน แจนนีย์ ,เซบาสเตียน สแตน และ พอล วอลเตอร์ เฮาเซอร์
หนังบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวประวัติของนักฟิกเกอร์สเกตสาวอเมริกันที่ฉีกกฎเกณฑ์เดิมไปทุกๆ อย่างและอื้อฉาวที่สุดคนนึงของวงการสเกตน้ำแข็งในขณะนั้น ทอนย่า ฮาร์ดิ้ง (ร็อบบี้) ตั้งแต่เธอเริ่มฝึกหัดสเกตกับโค้ชคนแรกของเธอทั้งๆ ที่เธอเพิ่งอายุได้ไม่กี่ขวบ จนกระทั่งเธอได้มีโอกาสชนะการแข่งขันในหลายๆ รายการ จนถึงจุดพีคที่สุดก็คือการที่ได้เป็นตัวแทนของประเทศไปแข่งขันในโอลิมปิกฤดูหนาว ซึ่งกว่าที่เธอจะฝ่าฟันมาถึงจุดนี้ได้เธอต้องผ่านเรื่องราวมากมายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงดูที่เข้มงวดของ ลาโวน่า (แจนนีย์) แม่ที่แสนจะเย็นชาของเธอ หรือการใช้ชีวิตคู่ที่ลุ่มๆ ดอนๆ กับแฟนหนุ่มของเธอ เจฟ กิลลูลี่ (สแตน) แต่แล้วการที่เธอได้สู่จุดสูงสุดในอาชีพนักสเกต ชีวิตของเธอกลับไม่ได้ขึ้นสูงตามไปอย่างที่คิด ตรงกันข้ามสถานการณ์ต่างๆ กลับค่อยๆ แย่ลงจนถึงจุดที่ต่ำที่สุดในชีวิต รวมไปถึงการที่เธอต้องมาพัวพันกับเรื่องบางเรื่องที่อาจส่งผลต่ออาชีพการเล่นกีฬาของเธอ
สำหรับการดำเนินเรื่องของหนังเรื่องนี้ ผู้กำกับเลือกที่จะใช้การดำเนินเรื่องด้วยการใช้บทสัมภาษณ์ของตัวละครต่างๆ มาเล่าเรื่องของตัวเองหรือคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดิ้ง ,ลาโวน่า ,เจฟ ,ชอว์นเพื่อนของเจฟที่เป็นบอดี้การ์ดฮาร์ดิง หรือแม้กระทั่งโค้ชของฮาร์ดิ้ง เมื่อตัวละครพูดถึงตอนไหนของชีวิตหนังก็จะปรากฏเป็นฉากในช่วงชีวิตนั้น ยอมรับเลยครับสำหรับการตัดต่อในหนังเรื่องนี้ที่สามารถทำออกมาได้อย่างดีไม่มีสะดุด ผมว่าเป็นการครีเอทที่ค่อนข้างเจ๋งดี ทำให้หนังดูมีสีสันขึ้นซึ่งแปลกแตกต่างไปจากหนังชีวประวัติทั่วๆ ไปที่จะดูราบเรียบไม่หวือหวา มันจะให้อารมณ์เหมือนกับหนังของมาร์ติน สกอร์เซซี่ เรื่อง Goodfellas หรือ Casino อะไรทำนองนั้นครับ และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อการดำเนินเรื่องรวมเข้ากับเพลงประกอบเรื่องที่ผู้กำกับเลือกได้เข้ากับสถานการณ์ในฉากแต่ละฉาก มันทำให้หนังดูมีพลังได้ดีทีเดียว นอกจากนั้นหนังยังสะท้อนให้เราเห็นถึงชีวิตของชาวอเมริกันชั้นล่างของสังคมที่มักจะไม่ค่อยได้รับโอกาสและโดนดูถูกจากคนที่สูงกว่า รวมไปถึงการคาดหวังของประชาชนชาวอเมริกันในบริบทขณะนั้นที่ต้องการเห็นภาพดีๆ จากตัวแทนของชาติที่ต้องเพอร์เฟคต์ ทั้งที่ความจริงแล้วโลกมันไม่ได้สวยอย่างที่คิด อีกสิ่งหนึ่งที่ผมว่าทำได้ค่อนข้างดีมากก็คือทีมแคสติ้งตัวละคร ที่สามารถเลือกนักแสดงมาแสดงได้เหมือนบุคคลในหนังตัวจริงมากๆ ซึ่งในตอนเอนด์เครดิตก็จะมีฟุตเทจบทสัมภาษณ์ที่สัมภาษณ์ตัวจริงมาให้ดู รวมไปถึงในเรื่องของการใช้สตั๊นท์แมนร่วมกับใช้ CG ตัดต่อการเล่นสเกตของร็อบบี้ ผมว่าทำได้ค่อนข้างเนียนมากๆ นั่งดูไปก็นึกว่าร็อบบี้เล่นสเกตเองเลยจริงๆ แต่ก็มีจุดที่ทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ก็คงจะเป็นฉากในลานสเกตที่มีผู้คนมากมายมาเชียร์ที่มีบางช่วงร็อบบี้จะดูลอยๆ ไม่ค่อยกลมกลืนกับฉากหลังนัก
พูดถึงเรื่องการแสดง เริ่มจากตัวเอกทอนย่า ฮาร์ดิ้ง โดย มาร์โก้ ร็อบบี้ บอกเลยครับว่าลืมภาพลักษณ์เก่าๆ ของเธอไปได้เลย บทฮาร์ดิ้งที่เธอแสดง ร็อบบี้ทำออกมาได้ดูมีมิติต่างกับเรื่องที่ผ่านๆ มา เรื่องนี้ร็อบบี้จะไม่สวยเซ็กซี่ หรือดูสง่างามเหมือนอย่างเคย แต่จะเป็นผู้หญิงที่ดูดิบๆ เถื่อนๆ เรียกได้ว่าเล่นไม่ห่วงสวย เป็นคนที่ไม่สนใจกฎเกณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น และเป็นคนที่มีความแข็งแกร่งทั้งร่างกายจิตใจต่อสู้มุ่งมั่นเพื่อเอาชนะคำดูถูกของหลายๆ คน กลายเป็นว่าเรื่องนี้ร็อบบี้สามารถเข้าได้ถึงบทบาทมากๆ อาจจะพูดได้ว่าการแสดงนี้เป็นการแสดงที่ดีที่สุดในตอนนี้ของเธอเลยก็ว่าได้ จนส่งให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาดารานำหญิง สำหรับในบทของลาโวน่า แม่ของทอนย่าที่แสดงโดย แจนนีย์ เธอแสดงให้เราเห็นถึงแม่คนนึงที่ดูเหมือนจะเย็นชาต่อลูก พูดจาโผงผางหยาบคาย แถมยังไม่เคยชมลูกเลยสักครั้งถึงแม้ว่าลูกจะทำได้ดีขนาดไหน หากแต่ว่าเป็นเพราะเธออยากให้ลูกของเธอได้ดี และถ้าชมมากๆ จะทำให้ลูกเธอเหลิง โดยเบื้องหลังเหล่านั้นเธอเองก็ทุ่มเทให้กับลูกพอสมควรไม่ว่าจะเป็นการพาทอนย่าไปเรียนสเกต รวมไปถึงหาเงินเพื่อมาเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียน ที่แม้ว่าเธอจะต้องปากกัดตีนถีบขนาดไหนก็ต้องส่งเสริมในสิ่งลูกถนัดให้ได้ เป็นสะท้อนให้เราได้เห็นการเลี้ยงดูในแบบของคนอเมริกันในสังคมชั้นล่างได้ดีพอสมควรสำหรับบทนี้ ส่วนบทของเจฟ กิลลูลี่ โดยสแตน เราจะเห็นภาพของชายหนุ่มบ้านๆ ชาวอเมริกันที่แลดูซื่อบื้อๆ ไม่มีพิษมีภัย แถมยังมีการแสดงออกในเรื่องความรักแบบแปลกๆ แต่แท้ที่จริงแล้วเขารักทอนย่ามากๆ ในบทนี้ผมมองว่าเขาแสดงเสมือนเป็นตัวแทนของบรรดาชายหนุ่มอเมริกันที่มีตัวตนจริงในชนบทของประเทศที่ไม่ได้เป็นคนเพอร์เฟคต์ แถมบางครั้งยังมีอารมณ์รุนแรง มีการทำร้ายร่างกายคนรักด้วย อีกคนที่ต้องพูดถึงก็คือ พอล วอลเตอร์ เฮาเซอร์ ในบทของ ชอว์น เพื่อนสนิทของเจฟ หากในเรื่องจะมีตัวตลกสักตัวที่คอยเรียกเสียงฮา ก็ตัวนี้แหละครับ เรื่องนี้เฮาเซอร์เล่นเป็นคนโง่ที่คิดว่าตัวเองฉลาดชนิดที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนอย่างนี้จริงๆ ในโลก แถมยังชอบคุยโม้ว่าตัวเองมีประสบการณ์อย่างโน้นอย่างนี้อย่างน่าไม่อาย ผมชอบนะตัวละครนี้ เฮาเซอร์เล่นได้ถึงบทบาทดี จับตาให้ดีครับตัวนี้ ฮาจริง
สำหรับเรื่องนี้ผมให้คะแนน 8.5 เต็ม 10 ครับ จะหักตรงที่ในช่วงกลางๆ มันจะยืดๆ หน่อยทำให้หาวบ้างเล็กน้อย บวกกับเรื่องของ CG ที่ดูขัดตาไปนิดนึง รวมไปถึงการใช้ตัวละครบางตัวที่ไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าไหร่ อย่างคันนาวาเล่ ที่ผมว่าน่าจะให้มีบทบาทอีกสักหน่อยจะดีมากๆ เลย อย่างไรก็ตามผมชอบหนังเรื่องนี้นะ มันค่อนข้างสะท้อนความจริงของเบื้องหลังในสังคมอเมริกันได้ดี แถมยังมีแง่คิดให้เราได้คิดตาม ไม่ว่าจะเป็นการทำตัวนอกกรอบ ที่บางครั้งมันอาจจะเป็นการสร้างสรรค์ แค่บางครั้งหากการนอกกรอบโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างมากจนเกินไป สังคมอาจจะไม่ยอมรับสิ่งนั้นก็ได้ ซึ่งการนอกกรอบนั้นอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เราเดือดร้อนก็เป็นได้ และความจริงที่น่าตลกว่า โลกนี้ต้องมีคนที่ใครๆ ก็รัก แต่โลกนี้ก็ต้องมีคนที่ใครๆ ก็เกลียด ทั้งๆ ที่ไม่รู้ความจริงว่าเกลียดเพราะอะไร ขอแค่ให้โลกนี้สมดุลก็พอ รวมไปถึงชีวิตคนเราเมื่อถึงจุดสูงสุดก็ย่อมต้องถึงจุดต่ำสุดเข้าสักวัน ขึ้นอยู่กับเราว่าจะยอมรับมันได้มากน้อยแค่ไหน ลองชมครับ หนังดีใช้ได้
การดูหนังก็เปรียบเสมือนกับการเก็บผลไม้ที่อยู่เต็มต้น ที่บางครั้งเราก็อาจจะเก็บผลไม้ได้ไม่หมด แต่ก็เลือกเก็บมาเฉพาะที่เราเก็บได้หรือเลือกเก็บในผลที่เราชื่นชอบ เช่นเดียวกันกับข้อคิดในหนังครับ เรื่องเดียวกันคนดูอาจเก็บข้อคิดจากหนังได้ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ใครเก็บอะไรได้บ้างก็สามารถร่วมแชร์ได้ที่เพจผมครับ หรือถ้าสนใจดูรีวิวหนังเรื่องอื่นเพิ่มเติม ให้คำติชมแนะนำ หรือถ้าอยากให้รีวิวหนังเรื่องไหน มาพูดคุยกันได้ที่ https://www.facebook.com/cineman95/ ขอให้สนุกกับการดูหนัง ขอบคุณครับ