สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 30
...เท่าที่อ่านดู ถ้ามองในแง่ดี เขาเป็นคนดีมากครับ
แต่พอผมลองมองมุมกลับ...
เขากำลังทำให้คุณรู้สึกว่าจะต้องพึ่งพาเขาไปชั่วชีวิต เขากำลังกลายเป็นอีกครึ่งหนึ่งของคุณ คุณจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา
เวลาเราได้รับการปฏิบัติอย่างดี ดูแลเอาใจใส่ เห็นหน้ากันเจอกันแทบจะทุกย่างก้าวของชีวิต
มันเกิดความผูกพันและเคยชิน ซึมลึกในทุกโสตประสาท จดจำทุกอย่าง รูป รส กลิ่น เสียง ทุกอย่างที่เคยได้ใช้เวลาร่วมกัน
อย่างที่คุณเจ้าของกระทู้เคยเล่าว่า... มีช่วงที่รู้สึกว่าใจสลาย ดำเนินชีวิตต่อไม่ได้เลย สุขภาพย่ำแย่ จิตใจเสื่อมโทรมลง ถึงกับต้องทานยา
เขาเป็นต่อเลยนะครับ เพราะเขารู้ว่ายังไงคุณก็ไม่มีทางไปจากเขาได้ และไม่ว่าเขาจะพูดหรือยื่นเงื่อนไขใดๆ คุณก็ต้องยอมรับโดยดุษณี
คุณอาจจะอยากคิดหาคนใหม่ เปิดรับใครใหม่ๆเข้ามา แต่เขาก็น่าจะรู้ดีว่าคุณทำไม่ได้แน่นอน
เพราะภาพของเขา การกระทำทุกอย่างของเขาได้ซ้อนทับทุกอย่างในชีวิตคุณไปแล้ว และคุณจะไม่มีวันมองเห็นใครอื่นได้เลยนอกจากเขาคนเดียว
และผมว่าไม่แฟร์สำหรับคุณนะครับ ในเมื่อเขาได้ปฏิเสธความต้องการของคุณ ทำให้คุณไม่ได้แล้ว เขาก็น่าจะหลีกไปเพื่อให้ทุกอย่างมันจางลง
ให้คุณได้รีสตาร์ทตัวเองใหม่ แต่เขาก็ยังเทียวมาเทียวไป ไปรับไปส่ง พาไปหาหมอฯลฯ
ทำทุกอย่างเหมือนสามีภรรยากัน เพื่อให้คุณจมลึก ดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่มีเขาอยู่กับเขา ให้มันติดตรึงแน่นขึ้นไปอีก
แล้วคุณอาจจะอยู่ในความคุ้นเคยจนวันนึงเมื่อคุณสะดุ้งออกจากห้วงภวังค์ คิดว่าอยากแต่งงาน อยากมีลูก
ตุณอาจจะอายุสี่สิบห้าสิบแล้วก็ได้ จนต้องยอมรับทุกอย่างและอยู่กับเขาไปแบบนี้ ไม่มีทางเลือกแล้ว
...ผมอาจจะมองโลกในแง่ร้ายไป แต่สำหรับผม ถึงจะดูแลดีให้ตายแค่ไหน แต่ถ้าผู้หญิงต้องการแล้วตัวเองก็ทำให้เขาไม่ได้
ถึงปากจะพูดว่าถ้าเจอใครก็พร้อมจะยอมไป ฟังดูเหมือนผู้ชายแสนดี แต่เขาก็ยังวนเวียนทำให้คุณลืมไม่ลงทำใจไม่ได้
มันก็...ออกจะเห็นแก่ตัวไปหน่อยนะครับ
เหมือนเสียดายความรักที่เขาจะได้รับจากคุณ เขาสำคัญ เป็นหนึ่งสำหรับคุณ คุณมีเขาคนเดียว
เลยให้คุณติดบ่วงของตัวเขาเองไปแบบนี้เรื่อยๆ ไม่มีวันเริ่มต้นใหม่ได้
และ...สุดท้ายนี้ คุณต้องพยายามยืนด้วยตัวเองครับ อันไหนไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปพึ่งพาเขามาก ไม่ต้องให้เขามารับมาส่ง พาไปหาหมอฯลฯ
แค่คิดว่าขาดเขาคุณก็เหมือนจะตาย ชีวิตล้มซะแล้ว
ถ้าผู้หญิงเอาตัวเอง เอาชีวิตลมหายใจไปแขวนอยู่ที่ผู้ชายทั้งหมด เวลาที่รักผิดหวังหรือมีอะไรมากระทบกระเทือนใจมากๆ
ผู้หญิงหลายคนที่เป็นแบบนี้ถึงได้ฆ่าตัวตายไงครับ เพราะชีวิตไม่มีแกนหลักที่สามารถตั้งอยู่ได้ด้วยตัวเองเลย
พอขาดเขาไปก็เหมือนกับถอนรากถอนหลักที่ทำให้ใช้ชีวิตอยู่ได้ ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว~
กลับมายืนเองครับ เราก็ต้องมีชีวิตของเรา
วันหนึ่งคุณอาจจะมีคนที่เหมาะสมกับคุณเดินผ่านมา แต่คุณกลับไม่เห็นเพราะมี"เขา"บังตาคุณไว้ จะเสียดายเวลาชีวิตนะครับ
แต่ถ้าคุณโอเคแล้วกับที่อยู่กันไปแบบนี้ ประคองกันไปเรื่อยๆ เป็นเพื่อนตาย สถานะนี้ก็โอเคแล้วครับ
...แต่คุณก็ต้องฝึกยืนด้วยตัวเองอยู่ดีน่ะแหละครับ สามีภรรยารักกันปานจะกลืน ยังไงก็ต้องแยกจากกัน ไม่ว่าจากเป็นหรือจากตาย
เมื่อถึงวันนึงที่คุณต้องใช้ชีวิตคนเดียว คุณจะทำได้ไหม อยู่ยังไง
แต่พอผมลองมองมุมกลับ...
เขากำลังทำให้คุณรู้สึกว่าจะต้องพึ่งพาเขาไปชั่วชีวิต เขากำลังกลายเป็นอีกครึ่งหนึ่งของคุณ คุณจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา
เวลาเราได้รับการปฏิบัติอย่างดี ดูแลเอาใจใส่ เห็นหน้ากันเจอกันแทบจะทุกย่างก้าวของชีวิต
มันเกิดความผูกพันและเคยชิน ซึมลึกในทุกโสตประสาท จดจำทุกอย่าง รูป รส กลิ่น เสียง ทุกอย่างที่เคยได้ใช้เวลาร่วมกัน
อย่างที่คุณเจ้าของกระทู้เคยเล่าว่า... มีช่วงที่รู้สึกว่าใจสลาย ดำเนินชีวิตต่อไม่ได้เลย สุขภาพย่ำแย่ จิตใจเสื่อมโทรมลง ถึงกับต้องทานยา
เขาเป็นต่อเลยนะครับ เพราะเขารู้ว่ายังไงคุณก็ไม่มีทางไปจากเขาได้ และไม่ว่าเขาจะพูดหรือยื่นเงื่อนไขใดๆ คุณก็ต้องยอมรับโดยดุษณี
คุณอาจจะอยากคิดหาคนใหม่ เปิดรับใครใหม่ๆเข้ามา แต่เขาก็น่าจะรู้ดีว่าคุณทำไม่ได้แน่นอน
เพราะภาพของเขา การกระทำทุกอย่างของเขาได้ซ้อนทับทุกอย่างในชีวิตคุณไปแล้ว และคุณจะไม่มีวันมองเห็นใครอื่นได้เลยนอกจากเขาคนเดียว
และผมว่าไม่แฟร์สำหรับคุณนะครับ ในเมื่อเขาได้ปฏิเสธความต้องการของคุณ ทำให้คุณไม่ได้แล้ว เขาก็น่าจะหลีกไปเพื่อให้ทุกอย่างมันจางลง
ให้คุณได้รีสตาร์ทตัวเองใหม่ แต่เขาก็ยังเทียวมาเทียวไป ไปรับไปส่ง พาไปหาหมอฯลฯ
ทำทุกอย่างเหมือนสามีภรรยากัน เพื่อให้คุณจมลึก ดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่มีเขาอยู่กับเขา ให้มันติดตรึงแน่นขึ้นไปอีก
แล้วคุณอาจจะอยู่ในความคุ้นเคยจนวันนึงเมื่อคุณสะดุ้งออกจากห้วงภวังค์ คิดว่าอยากแต่งงาน อยากมีลูก
ตุณอาจจะอายุสี่สิบห้าสิบแล้วก็ได้ จนต้องยอมรับทุกอย่างและอยู่กับเขาไปแบบนี้ ไม่มีทางเลือกแล้ว
...ผมอาจจะมองโลกในแง่ร้ายไป แต่สำหรับผม ถึงจะดูแลดีให้ตายแค่ไหน แต่ถ้าผู้หญิงต้องการแล้วตัวเองก็ทำให้เขาไม่ได้
ถึงปากจะพูดว่าถ้าเจอใครก็พร้อมจะยอมไป ฟังดูเหมือนผู้ชายแสนดี แต่เขาก็ยังวนเวียนทำให้คุณลืมไม่ลงทำใจไม่ได้
มันก็...ออกจะเห็นแก่ตัวไปหน่อยนะครับ
เหมือนเสียดายความรักที่เขาจะได้รับจากคุณ เขาสำคัญ เป็นหนึ่งสำหรับคุณ คุณมีเขาคนเดียว
เลยให้คุณติดบ่วงของตัวเขาเองไปแบบนี้เรื่อยๆ ไม่มีวันเริ่มต้นใหม่ได้
และ...สุดท้ายนี้ คุณต้องพยายามยืนด้วยตัวเองครับ อันไหนไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปพึ่งพาเขามาก ไม่ต้องให้เขามารับมาส่ง พาไปหาหมอฯลฯ
แค่คิดว่าขาดเขาคุณก็เหมือนจะตาย ชีวิตล้มซะแล้ว
ถ้าผู้หญิงเอาตัวเอง เอาชีวิตลมหายใจไปแขวนอยู่ที่ผู้ชายทั้งหมด เวลาที่รักผิดหวังหรือมีอะไรมากระทบกระเทือนใจมากๆ
ผู้หญิงหลายคนที่เป็นแบบนี้ถึงได้ฆ่าตัวตายไงครับ เพราะชีวิตไม่มีแกนหลักที่สามารถตั้งอยู่ได้ด้วยตัวเองเลย
พอขาดเขาไปก็เหมือนกับถอนรากถอนหลักที่ทำให้ใช้ชีวิตอยู่ได้ ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว~
กลับมายืนเองครับ เราก็ต้องมีชีวิตของเรา
วันหนึ่งคุณอาจจะมีคนที่เหมาะสมกับคุณเดินผ่านมา แต่คุณกลับไม่เห็นเพราะมี"เขา"บังตาคุณไว้ จะเสียดายเวลาชีวิตนะครับ
แต่ถ้าคุณโอเคแล้วกับที่อยู่กันไปแบบนี้ ประคองกันไปเรื่อยๆ เป็นเพื่อนตาย สถานะนี้ก็โอเคแล้วครับ
...แต่คุณก็ต้องฝึกยืนด้วยตัวเองอยู่ดีน่ะแหละครับ สามีภรรยารักกันปานจะกลืน ยังไงก็ต้องแยกจากกัน ไม่ว่าจากเป็นหรือจากตาย
เมื่อถึงวันนึงที่คุณต้องใช้ชีวิตคนเดียว คุณจะทำได้ไหม อยู่ยังไง
ความคิดเห็นที่ 32
เขาทำคุณเจ็บปางตาย ชีวิตพัง ป่วยกินยาจนทุกวันนี้ คุณยังจะเอาเขามาผูกกับชีวิตคุณอีก เพื่ิอ????
คุณบอกเขาไม่ไปไหน จริงๆคุณไม่ปล่อยเขาต่างหาก คุณติดกับสิ่งที่เขาทำให้
แค่คุณบล็อคโทรศัพท์ บล็อคไลน์ บล๊อคเฟส บล๊อคทุกทาง ทุกอย่างก็จบ
แค่คุณไม่รับนัด ก็จะไม่เจอกัน
แค่คุณไม่บอกเขาว่าจะไป รพ. เขาก็ไม่ต้องมารับส่ง
คุณเลือกจะจมกับเขาเอง หลังจากจมอยู่กับเขามาสิบปี เขาทำให้เจ็บเจียนตาย คุณก็ยังดิ้นรนกลับไปหาเขา ไปจมอยู่กับเขาต่อมาอีก 4 ปี นับแล้ว 14 ปี ในวัย 30 กว่าๆของคุณ นั่นคือเกือบครึ่งชีวิต ครึ่งชีวิตที่หมดไปอย่างไร้ค่า ถ้าคุณแต่งงานมีลูกไปตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว ป่านนี้ลูกเรียนอนุบาลแล้วค่ะ
หลับตาเห็นภาพตัวเองในอีกสิบปีข้างหน้าไม๊คะ? ผู้หญิงวัย 40 กว่าๆเกือบ 50 อยู่อย่างเดียวดายที่บ้านตัวเอง หน้าตาอมทุกข์ รอคอย มีผู้ชายวัยเกือบ 60 ไปมาหาสู่บ้าง หายไปบ้างเพราะเดินทางมาไม่ไหวแล้ว อีกสัก 10 ปีผ่านไปผู้ชายก็หายจากไป ทิ้งหญิงชราเอาไว้เดียวดาย
กลับกัน คุณเลิกจากเขาไป พ้นทุกข์ ร่าเริง หายซึมเศร้า เดินหน้ากับชีวิตใหม่ๆ กับผู้ชายคนใหม่ที่จริงใจ โชคดีได้แต่งงาน มีลูก อีกสิบปีข้างหน้า ลูกก็โตแล้ว หรือต่อให้ไม่แต่งงาน คุณก็จะทุกข์น้อยกว่านี้ เพราะยืนบนขาตัวเองได้ รื่นเริง แจ่มใส มีเพื่อนฝูงมากมาย ไม่ต้องรอใครโทรมาหา มาพาไปกินข้าว พาไปหาหมอ
เลือก 10 ปีข้างหน้าด้วยตัวคุณเอง แล้วลงมือทำ
ปล.นี่ยังไม่นับถ้าผู้ชายเกิดเจอใครที่เขาอยากแต่งงานด้วยในอีกสิบปีข้างหน้าแล้วทิ้งคุณไปมีลูกเมียของตัวเอง ถึงตอนนั้นคุณจะเจ็บกว่านี้ร้อยเท่า
คุณบอกเขาไม่ไปไหน จริงๆคุณไม่ปล่อยเขาต่างหาก คุณติดกับสิ่งที่เขาทำให้
แค่คุณบล็อคโทรศัพท์ บล็อคไลน์ บล๊อคเฟส บล๊อคทุกทาง ทุกอย่างก็จบ
แค่คุณไม่รับนัด ก็จะไม่เจอกัน
แค่คุณไม่บอกเขาว่าจะไป รพ. เขาก็ไม่ต้องมารับส่ง
คุณเลือกจะจมกับเขาเอง หลังจากจมอยู่กับเขามาสิบปี เขาทำให้เจ็บเจียนตาย คุณก็ยังดิ้นรนกลับไปหาเขา ไปจมอยู่กับเขาต่อมาอีก 4 ปี นับแล้ว 14 ปี ในวัย 30 กว่าๆของคุณ นั่นคือเกือบครึ่งชีวิต ครึ่งชีวิตที่หมดไปอย่างไร้ค่า ถ้าคุณแต่งงานมีลูกไปตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว ป่านนี้ลูกเรียนอนุบาลแล้วค่ะ
หลับตาเห็นภาพตัวเองในอีกสิบปีข้างหน้าไม๊คะ? ผู้หญิงวัย 40 กว่าๆเกือบ 50 อยู่อย่างเดียวดายที่บ้านตัวเอง หน้าตาอมทุกข์ รอคอย มีผู้ชายวัยเกือบ 60 ไปมาหาสู่บ้าง หายไปบ้างเพราะเดินทางมาไม่ไหวแล้ว อีกสัก 10 ปีผ่านไปผู้ชายก็หายจากไป ทิ้งหญิงชราเอาไว้เดียวดาย
กลับกัน คุณเลิกจากเขาไป พ้นทุกข์ ร่าเริง หายซึมเศร้า เดินหน้ากับชีวิตใหม่ๆ กับผู้ชายคนใหม่ที่จริงใจ โชคดีได้แต่งงาน มีลูก อีกสิบปีข้างหน้า ลูกก็โตแล้ว หรือต่อให้ไม่แต่งงาน คุณก็จะทุกข์น้อยกว่านี้ เพราะยืนบนขาตัวเองได้ รื่นเริง แจ่มใส มีเพื่อนฝูงมากมาย ไม่ต้องรอใครโทรมาหา มาพาไปกินข้าว พาไปหาหมอ
เลือก 10 ปีข้างหน้าด้วยตัวคุณเอง แล้วลงมือทำ
ปล.นี่ยังไม่นับถ้าผู้ชายเกิดเจอใครที่เขาอยากแต่งงานด้วยในอีกสิบปีข้างหน้าแล้วทิ้งคุณไปมีลูกเมียของตัวเอง ถึงตอนนั้นคุณจะเจ็บกว่านี้ร้อยเท่า
แสดงความคิดเห็น
ความสัมพันธ์ ระหว่าง ผู้หญิง กับ ผู้ชาย แบบนี้ เรียกว่า เพื่อนสนิท ได้หรือไม่?
ตอนที่ตกลงคบกัน เค้าเข้ามาขอเราเป็นแฟน จากนั้นเราก็เรียกกันว่าแฟนมาตลอด เค้าอายุมากกว่าเรา 11 ปี
(ตอนนี้เค้าอายุ 45 ปี และ เราอายุ 34 ปี) เค้าคือแฟนคนแรก คนล่าสุด และ เราเองก็ยังไม่มีคนใหม่
ถึงแม้เราจะไม่เคยคบผู้ชายคนไหนมาก่อน หรือ มีแฟนมาก่อน (คนนี้คือคนแรก) แต่ตลอดเวลาที่คบกัน เรารู้สึกได้ว่า เค้าดูแลเราอย่างดีมากๆ
ใส่ใจ เอาใจใส่ แม้เรื่องเล็กน้อย ให้เวลา ให้ความอบอุ่น ไม่เจ้าชู้ คบเราคนเดียว เค้าไม่เคยทำให้เรารู้สึกระแวงหรือไม่ไว้ใจเลย และ ไม่เคยล่วงเกินเราเลย
เค้าเป็นคนดีมากๆ เป็นคนที่เราคิดว่า คนนี้แหละ ที่เราจะฝากชีวิตไว้ได้ คนนี้แหละ ที่จะดูแลเราไปตลอดชีวิต คนนี้แหละ ที่เราจะแต่งงานด้วย
และ อยู่ด้วยกันไปจนวันตาย...... แต่แล้ว เหตุการณ์ มันไม่เป็นอย่างนั้น.....
หลังจากคบกันมาได้ 10 ปี (เมื่อ 4 ปีก่อน) เราตัดสินใจคุยเรื่องแต่งงานจริงจัง เพราะเราโดนสังคม ถามหนัก และ ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ว่าเมื่อไรจะแต่งงาน
อายุ 30 แล้วทำไมยังไม่แต่งอีก ทีแรกเค้าบ่ายเบี่ยงที่จะคุย แต่สุดท้าย ก็ได้คำตอบว่า เค้าไม่ศรัทธาในการแต่งงาน และ ไม่คิดจะใช้ชีวิตกับเราเป็นครอบครัว แค่อยากดูแลเราห่างๆแบบนี้ ได้โทรหาเราทุกวัน เจอกันอาทิตย์ละครั้ง สองครั้ง ไปกินข้าวกัน เค้ามีความสุขดีมากอยู่แล้ว ไม่อยากรับผิดชอบชีวิตใครทั้งชีวิต ไม่ได้อยากอยู่กับใครทุกวัน และ การแต่งงานคือ ภาระอันยิ่งใหญ่ซึ่งเค้าไม่ต้องการ .....
คุยกันถึงขนาดที่ว่า งั้นก็อยุ่บ้านของแต่ละคนเหมือนเดิมก็ได้ ก็ต่างคนต่างอยู่ไป แค่จัดงานเล็กๆ จดทะเบียนก็พอ ให้ผู้ใหญ่ เพื่อนๆ และ สังคมรับรู้ว่าเราเป็นคู่กัน ให้เราได้มั่นใจว่าเค้าจะไม่มีใคร และ อยากจะดูแลเราไปตลอดชีวิต เค้าก็ยืนยันว่าการแต่งงานเป็นเรื่องไร้สาระ และ ยืนกรานว่ายังไงก็ไม่แต่ง สุดท้าย ถูกเราเซ้าซี้หนักเข้า เค้าก็บอกประโยคที่ทำให้เรา รู้สึกล้มทั้งยืนว่า "เค้าไม่ได้รู้สึกกับเราแบบชู้สาวอีกแล้ว เค้ารู้สึกว่าเราเป็นน้องสาวคนนึง"
พอแม่รู้ แม่ก็บอกว่างั้นก็ให้เราเลิกไปเลย เค้าก็บอกว่า ถ้าเราอยากเลิกก็แล้วแต่เรา แต่เค้าก็ไม่ได้มีใคร ไม่ได้คิดจะรักใครอีก รักเรามากที่สุด และ เป็นห่วงเรามากที่สุด และ อยากดูแลเราไปตลอด เค้าบอกเราว่า....ไม่ต้องรู้ได้ไหม ว่าเราคบกันแบบไหน แค่รู้ว่าเค้ารักเรา และ จะดูแลเราไปตลอด และ บอกให้เราอยู่กับปัจจุบันก็พอ จิตใจเราปั่นป่วนกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก มันจุก มันสับสน (มันคือเพลงนี้เลย.....กลับตัวก็ไม่ได้ จะเดินต่อไป ก็ไปไม่ถึง....)
เราเสียใจหนักมาก ร้องไห้ทุกคืนมาตลอด 1 ปี น้ำตาไหลไม่หยุด จนป่วย กินข้าวไม่ได้เป็นอาทิตย์ นอนไม่หลับเรื้อรัง หัวใจเต้นผิดจังหวะ จนต้องไปพบจิตแพทย์ หมอบอกเราเป็นโรคซิมเศร้าบวกกับอาการวิตกกังวลร่วมด้วย และให้ยาปรับสารเคมีในสมอง และ ยาคลายเครียดมากินเพื่อให้หลับ
(ผ่านมา 3 ปี จนตอนนี้เราก็ยังต้องกินยาอยู่) ตลอดเวลาที่เราป่วยเค้าก็ยังเหมือนเดิม คือ โทรหาเราทุกวัน มาเจอทุกอาทิตย์ ถ้าวันไหนเราไปหาหมอ ก็จะไปรับพามาส่งบ้าน เป็นห่วงเราเหมือนเดิม
ตอนนี้เราอยากเปิดใจ และ เปิดโอกาสให้ตัวเอง เพราะเราฝันว่า เราอยากมีครอบครัว ได้เจอใครสักคนที่จะมาดูแลเราเป็นครอบครัว ได้อยู่กับคนๆนั้นทุกๆวัน และ ดูแลกันตลอดไป ทำให้ เมื่อต้นปี 2018 ที่ผ่านมา เราคุยกับเค้า ตกลง ว่าความสัมพันธ์นี้ เราควรเรียกมันว่า "เราเป็นเพื่อนสนิทกันเถอะ"
เค้าก็บอกว่า เราจะเรียกเค้าว่าอะไรก็ได้ จะให้เป็นเพื่อน จะให้เป็นพี่ชาย หรือ จะให้เป็นพ่อก็ยังได้ (คือเราไม่มีพ่อ พ่อเราเสียไปนานนแล้ว) เพราะเค้าก็จะดูแลเราเหมือนเดิม และ จะดูแลเราตลอดไป ไม่ทิ้งเราไปไหน และ เค้าก็ทำจริงๆ คือ ยังนัดมาเจอ ยังโทรหาเราทุกวัน ล่าสุดที่เราไปหาหมอตามนัด ก็มารับเราพามาส่งบ้าน และ ยังบอกอีกว่า ถ้าเราคิดว่ามีใครที่ดูแลเราได้ดีกว่าที่เค้าทำ เราจะไปมีครอบครัว เค้าก็จะปล่อยเราไป
....คำถามของเราคือ....
1. แบบนี้เรียกว่า เพื่อนสนิท ได้มั้ยค่ะ?
2. มีใครเคยเจอเคสแบบนี้มั้ยค่ะ? ถ้าเป็นเพื่อนๆจะทำอย่างไรดีค่ะ? ขอถามความเห็นเพื่อนๆหน่อยคะ
3. เอาจริงๆ คือ เราก็ยังสับสน ไม่รู้ว่า สิ่งที่เราตัดสินใจไปนั้นถูกต้องแล้วหรือยัง และ เราควรทำอย่างไรต่อไปกับความสัมพันธ์นี้ค่ะ?
ขอบคุณทุกความเห็นมากนะคะ
จขกท