เรื่องสั้นของ วีคที่ 6 ตอนปลายครับ
เป็นเรื่องที่ดำเนินไปแบบโรแมนติก...แต่จะจบลงอย่างไร และใครหนอ คือเจ้าของถุงมือนี้...?
มาหาคำตอบด้วยกันครับ


แม้ราตรีนี้จะฉาบทาผืนฟ้าให้ดำสนิทดุจห้วงแห่งนิล หากแต่ประกายเรืองรองสุกใสของหมู่ดาวน้อยใหญ่ที่กระจัดกระจายอยู่เต็มผืน ก็คือสิ่งที่มาช่วยแต่งเติมชีวิตและชีวาในยามดึกมิให้วังเวงจนเกินไป
สองร่างหญิงชายเดินกุมมืออิงแอบกันมาตามถนนโรยกรวดที่ทอดยาวไปสู่ตัวบ้าน พุ่มแก้วทรงกลมริมสนามที่เต็มไปด้วยสีขาวของดอกบานส่งกลิ่นหวานซึ้งราวกับจะช่วยประโคมใจผู้ที่กำลังตกอยู่ในห้วงเสน่หา
หญิงสาวในวัยที่เปล่งประกายสาวอย่างถึงพร้อมและบริบูรณ์เช่นเธอผู้นี้สวมชุดกระโปรงสั้นรัดรึงเรือนกายแบบไร้แขน ปล่อยผมยาวดำขลับให้ระเล่นบนแผ่นหลัง อาการเอนอิงศีรษะแนบไหล่ฝ่ายชายก่อให้เกิดประกายที่เส้นผมยามเมื่อต้องแสงไฟจากทางเดิน
บุรุษในชุดลำลองที่แลสูงวัยกว่าฝ่ายหญิงเล็กน้อยกุมมือเธอไว้มั่นขณะก้าวเดินเคียงกัน เขาก้มมองเมื่อเธอเอนศีรษะแนบไหล่ คล้ายจะเอ่ยบางอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ก่อนที่จะถึงลานบ้าน เขาปล่อยมือเธอแล้วค่อยๆ เคลื่อนแขนไปโอบเอวเอาไว้แทน ไล้ปลายนิ้วไปตามรอยโค้งของสรีระนั้นอย่างเจตนา
ไม่มีถ้อยคำใด นอกจากรอยยิ้มที่มาจากทั้งริมฝีปากและนัยน์ตาของทั้งเธอและเขา ความสงัดที่เย้ายวนใจ ถูกรบกวนเพียงแค่เสียงรองเท้าที่กระทบพื้นของคนทั้งคู่
เขาตระกองร่างเธอเดินผ่านลานบ้านที่ตกแต่งด้วยศิลาแลง มีกระถางปูนใส่ไม้ประดับทรงพุ่มเรียงรายเป็นรูปครึ่งวงกลม เมื่อถึงประตูหน้าบ้านซึ่งเป็นไม้สองบานขนาดใหญ่และมีแสงนวลสลัวจากดวงไฟเล็กๆ ใจกลางโคมไม้ไผ่ทรงฝาชีที่เหนือประตู เขาเพียงแต่ผลักเบาๆ มันก็เผยออกง่ายดาย ราวกับอาการผายมือต้อนรับของเจ้าบ้าน
เธอคงปล่อยให้เขาพาเดินไปเช่นนั้น กระทั่งเข้าไปถึงภายในตัวบ้านที่เป็นส่วนผสมระหว่างปูนและเนื้อไม้ ผนังทาสีทึบ บางตอนประดับด้วยหินหลากรูปทรงและผิวสัมผัส แม้ว่าแต่ละก้าวของหญิงสาวจะระคนด้วยความรู้สึกที่น่าตื่นเต้นสำหรับการได้มาเยือนเคหาของเขาเป็นหนแรก แต่เธอก็เคลื่อนฝีเท้าตามเขาไปด้วยความเต็มใจ
เขาโอบเอวเธอกระชับขึ้นอีก เมื่อพาเดินขึ้นบันไดกลางห้องโถงที่ไม่มีราวจับ เธอพยายามจะนับมัน ทั้งที่ในห้วงนั้นราวกับว่าความรู้สึกต่างๆ ได้ถูกอัดแน่นและเอ่อท้นอยู่ภายใน และแล้วเธอก็ได้ยินเสียงลมหายใจของตนเองเมื่อแตะปลายเท้าลงที่บันไดขั้นสุดท้าย...
ในแสงสลัวราง หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ เมื่อรู้สึกว่ามีไอเย็นเข้ามากระทบผิวเนื้อบริเวณหัวไหล่และลำคออันเปลือยเปล่า เพราะยามนี้บานหน้าต่างที่เป็นกระจกเลื่อนขนาดใหญ่ถูกเปิดออกครึ่งหนึ่ง แลเลยออกไป ก็คือสีดำสนิทของท้องฟ้าที่ยังมีจุดดาวสว่างกระจัดกระจายราวกับภาพเขียน
ครู่เดียว หญิงสาวก็เบือนหน้าจากหน้าต่างนั้น พลิกศีรษะไปทางด้านซ้ายและป่ายแขนออกไปหาคนที่นอนเคียงข้าง แต่สิ่งที่พบใต้ผืนผ้าห่มนุ่มๆ และที่นอนหนาอันน่าสบายนั้นกลับเป็นความว่างเปล่า
เธอชะงักไป ก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้ว่า ที่นี่คือบ้านของเขา แล้วหญิงสาวก็ค่อยยิ้มกับตัวเอง
ก็วันนี้ไม่ใช่หรือที่เธอรอคอย...
หลังจากที่ได้พบกันครั้งแรกโดยบังเอิญในงานสังคมแห่งหนึ่งที่โรงแรมชานกรุงเมื่อสามเดือนก่อน ค่ำคืนที่อวลไปด้วยเสียงดนตรีและเสียงพูดคุยของพิธีกรบนเวที ช่วงหนึ่งเธอเลี่ยงออกไปยืนมองภาพประดับผนังบริเวณทางเดินเชื่อมต่อห้องโถงใหญ่อย่างไม่รู้จะทำอะไรแทนการนั่งละเลียดอาหารและพูดคุยกับเพื่อนร่วมโต๊ะที่ไม่สนิทชิดเชื้อ แล้วจู่ๆ เขาก็ตรงเข้ามาเป็นคู่สนทนากับเธออย่างเปิดเผย
“ผมชอบผู้หญิงที่สวมชุดสีเขียวแบบนี้”
เขาพูดโดยไม่ยิ้ม แต่สบตาเธอตรงๆ พร้อมกับทอดไมตรีออกมากับแววตานั้นอย่างชัดเจน ผู้ชายร่างใหญ่ ผิวค่อนข้างขาว มีเคราบางๆ ปล่อยผมยาวกว่าทรงผมบุรุษทั่วไปเล็กน้อย วันนั้นเขาสวมเสื้อและกางเกงสีน้ำตาลเข้าชุด ขณะที่เธอสวมชุดกระโปรงสั้นเข้ารูปสีเขียวหม่นอวดต้นแขนกลมกลึง ซึ่งก็คือชุดที่เธอสวมมาที่นี่วันนี้นั่นเอง
“ขอบคุณค่ะ”
เธอคลี่ยิ้มเมื่อมองตอบแววตาคู่นั้น รู้สึกมาดมั่นในตนเองขึ้นมาทันใด และยังทันได้เห็นว่าเขาเหลือบดูต้นแขนข้างขวาของเธอซึ่งเป็นด้านที่ชิดกับเขาอย่างพึงใจ
นั่นคือจุดเริ่มต้น แล้วต่อจากนั้นทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น ราวกับเขาและเธอต่างรู้จักกันมาก่อน จากบทสนทนาในค่ำคืนนั้น นำไปสู่การสื่อสารทางโทรศัพท์ในวันต่อๆ ไป และการนัดหมายกันในมื้ออาหาร นั่งชมภาพยนตร์ด้วยกัน ฟังเพลงกับเต้นรำคู่กันทั้งจังหวะสนุกสนานและท่วงทำนองที่อ่อนหวาน รวมไปถึงการนั่งในรถยนต์ของเขาท่องไปบนท้องถนนที่เกือบจะว่างวายในยามดึก
เขาสนใจเธอ และเธอก็พอใจเขา แม้เขาจะยังไม่เผยรายละเอียดเกี่ยวกับตนเองทั้งหมดให้เธอรับรู้ เช่นครั้งที่เธอพลั้งปากถามออกไปขณะที่ติดอยู่ในรถยนต์กับเขาบริเวณสี่แยกใหญ่ใจกลางเมือง หลังจากพบกันครั้งแรกราวสองสัปดาห์
“คุณทำงานเกี่ยวกับ เอ่อ อะไรนะคะ ขอโทษค่ะ”
เขาหัวเราะในลำคอก่อนหันมาตอบ
“ผมยังไม่เคยบอกนี่นะว่าผมเป็นพ่อค้า” และยังไม่ทันที่เธอจะตั้งคำถามกลับไป เขาก็ชิงพูดต่อ “แต่ยังไม่บอกหรอกว่าขายอะไร“ แล้วเขาก็จบด้วยรอยยิ้ม ทำให้เธอยิ้มตอบเขาไปเช่นกัน ก่อนจะทิ้งท้ายแบบทีเล่นทีจริง
“ยังไม่อยากรู้ก็ได้”
เธอหวนคิดถึงพัฒนาการของอารมณ์และความรู้สึกที่มีต่อกันและกันระหว่างเขาและเธอในห้วงที่ผ่านมา อาจเป็นด้วยวัย ด้วยเลือดเนื้อของความเป็นชายกับหญิง และบางสิ่งบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ซึ่งแฝงซ่อนอยู่ในเรียวปากยามที่เขาเผยยิ้ม กับดวงตารูปยาวรีซึ่งมักส่งประกายกล้าใส่ดวงตาของเธอเมื่อได้พบกัน
สำหรับหญิงสาว เธอรู้สึกว่าเขาออกจะดูลึกลับมากเท่าๆ กับที่มีเสน่ห์ชวนดึงดูดเพศตรงข้ามได้ไม่ยาก ขณะที่เธอนั้นแสนจะเปิดเผย ทั้งนิสัยใจคอ คำพูด กระทั่งวิธีแต่งกายที่มักจะเน้นความเป็นอิตถีเพศของตนเองอย่างจงใจ
เขาชอบสีเขียวกับสีน้ำตาล โดยเฉพาะเขียวในโทนหม่นอย่างชุดของเธอวันแรกที่พบกัน เธอเผลอยิ้มคนเดียว ที่จริงแบบชุดนั้นมีสามสี ไม่รู้ว่า หากไม่ใช่สีเขียวหม่นชุดนี้ แล้วเธอเลือกสีใดสีหนึ่งในอีกสองสีนั้น เขาจะเข้ามาทักเธอไหม...
รถยนต์ของเขาสีน้ำตาลไหม้ เบาะสีน้ำตาลอ่อน หมอนอิงในรถก็เป็นสีโทนเดียวกัน ยกเว้นตุ๊กตาเซรามิกที่วางประดับคอนโซลหลัง มันคือจระเข้ตัวน้อยสีเขียวอมดำที่ใส่ลูกนัยน์ตาไว้ทำให้ดูราวกับว่ามีชีวิต
“ทำซะเหมือน จนฉันกลัวเลยค่ะ” เธอพูดกลั้วหัวเราะในวันแรกที่มีโอกาสสังเกตดูเพราะหยิบของเข้าไปวางไว้ด้านหลัง
“แต่ผมชอบ” เขาพูดเมื่อเข้าไปนั่งในตำแหน่งคนขับพร้อมกับปิดประตู
“ชอบจระเข้...เหรอคะ” เธอถามตาโต
เขาทำเสียงตอบรับในลำคอขณะมองตรงไปเบื้องหน้าเมื่อนำรถทะยานออกไป
“มันทรงพลังดี”
หญิงสาวนอนลืมตาโพลงในแสงสลัว นึกถึงรสสัมผัสและความรู้สึกอันแสนซาบซ่านรัญจวนที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนข้ามคืน ณ ที่แห่งนี้ แล้วก็ให้วาบหวามใจ ลูบไล้ฝ่ามือไปตามเนื้อตัวของตนเองคล้ายจะสำรวจ รู้สึกระบมนิดๆ ที่ด้านในต้นแขนซ้ายซึ่งเขาสัมผัสรุนแรงด้วยริมฝีปากก่อนจะขบฟันลงมาเบาๆ ยามที่อารมณ์พรึงเพริดถึงขีดสุด
เธอจะคิดถึงเขามากขึ้นอีกแค่ไหน หากต้องห่างกันหลังจากนี้....
ยินเสียงตัวเองถอนใจยาว หญิงสาวตัดสินใจลุกขึ้นสวมอาภรณ์บางชิ้น แล้วค่อยๆ ก้าวเท้าเดินไปที่ประตู เธออุทานออกมาคำหนึ่งเมื่อปลายนิ้วเท้าไปชนเข้ากับของแข็งบางอย่างบนพื้นห้อง คงเป็นหินอะไรสักอย่างที่นำมาตั้งประดับ เธอขยับฝ่าเท้าอย่างระมัดระวังกว่าเดิม เดินไปจนถึงบานประตูสีขาว เธอหมุนลูกบิดและดึงบานประตูออก แสงไฟสีนวลจากด้านนอกสาดเข้ามา
หญิงสาวหันไปมองดูวัตถุนั้น หินสีเข้มก้อนไม่ใหญ่นัก รูปทรงยาวขนานกับพื้น มีร่องรอยแกะสลักแต่ยังเผยลักษณะไม่ชัดเจน แล้วเธอก็หันกลับ และก้าวออกไปนอกห้อง ก่อนดึงบานประตูให้ปิดตามหลังโดยไร้เสียง
เขาอาจไปยืนสูบบุหรี่หรือสูดอากาศอยู่ด้านนอกก็ได้ หญิงสาวกระชับสาบเสื้อคลุมเข้าหากันตามความเคยชินขณะสาวเท้าไปตามโถงทางเดิน สุดระยะห้องโถงมีม่านที่ทำจากเปลือกหอยชิ้นเล็กๆ ร้อยต่อกันไว้เป็นสายยาวจวนจรดพื้นแขวนเรียงกันนับสิบเส้น เปลือกของเจ้าสัตว์ทะเลสะท้อนกับแสงจากโคมไฟที่ตามไว้เป็นระยะ ดูเลื่อมพราย ระยิบระยับ และเมื่อเธอแหวกมันออกก็เกิดเสียงกระทบกันฟังแปลกหู
ที่ราวระเบียงสำหรับยืนชมทัศนียภาพเบื้องล่าง อันได้แก่ผืนน้ำนิ่งในสระปูนรูปทรงกลมกว้างเท่าๆ กับลานบ้าน เขาคงยืนมองมันอยู่ก่อนจะหันขวับมาในทันทีด้วยท่าทีแปลกใจเล็กน้อยขณะที่เธอโผล่พ้นม่านนั้น แต่เขาก็อ้าแขนรับเมื่อเธอโผเข้าไปหา หญิงสาวสวมกอดเขาด้วยความรู้สึกที่ออกมาจากหัวใจ
“นอนไม่หลับ...หรือกลัวผมหนี” เสียงเขาสัพยอก
“แอบออกมาทำอะไรคนเดียวคะ ?”
แทนที่จะตอบเขา เธอกลับตั้งคำถามเสียเอง และยังคงซบกับอกนั้นโดยไม่เงยหน้า ขณะที่เขาหัวเราะในลำคออีกครั้ง อันเป็นอาการที่เธอเคยรู้สึกว่าไม่ใคร่จะน่าฟังเท่าใดนัก
“ใจคุณเต้นแรงจัง” เสียงเธออู้อี้อยู่กับอกเขา
“เพราะได้กอดคุณน่ะสิ” เขากระซิบตอบและสัมผัสความนุ่มเนียนของผิวกายเธอบ้าง
หญิงสาวเอียงหน้ามองลงไปที่สระน้ำด้านล่าง ผิวน้ำสะท้อนรูปดาวจนดูเหมือนกับเป็นแผ่นฟ้าอีกผืนหนึ่ง
“สระสวยนะคะ”
“ชอบใช่มั้ย ?” เขาลูบเรือนผมและสอดมือเข้าไปไล้ที่ลำคอของเธอก่อนพูดประโยคต่อไป “อยากอยู่กับผมที่นี่มั้ย ?”
เธอหลับตาและโอบร่างเขาไว้แน่น
“ตอบก่อน” น้ำเสียงเขาเข้มขึ้นเล็กน้อย เธอจึงตอบพร้อมกับจุมพิตปลายคางอย่างเอาใจ
“ค่ะ”
จากนั้น หญิงสาวไม่ขัดขืนเมื่อรู้ว่าเขาขยับตัวพาออกเดิน
“มานี่แน่ะ จะให้ดูอะไร”
เขาโอบเอวเธอด้วยแขนซ้าย ขณะที่เธอยังโอบเขาไว้ทั้งสองแขน ทั้งคู่ค่อยเดินไปตามราวระเบียงนั้นช้าๆ ก่อนที่เขาจะพาไปหยุดฝีเท้าลงตรงบริเวณผนังที่มีประตูไม้บานใหญ่ ใส่สลักไว้มั่นคงแข็งแรงอย่างประตูเรือนโบราณ
“อะไรคะ ?”
เธอถามเมื่อเขาเอื้อมมือไปถอดสลักออกอย่างระมัดระวัง และพิงมันไว้ที่ผนัง สายตาจับที่บานประตูซึ่งค่อยๆ เผยออกช้าๆ ชายหนุ่มไม่ตอบ แต่หัวเราะในลำคอด้วยเสียงแปร่ง ๆ
“ชอบทำลึกลับอยู่เรื่อยเชียว”
เธอหันไปค้อนน้อยๆ ขณะที่อีกฝ่ายตั้งใจสบตาและยิ้มตอบ
ทว่า ครั้งนี้เป็นรอยยิ้มที่เหี้ยมเกรียมจนทำให้เธอต้องตกตะลึง
“อยากรู้นักรึ ? เดี๋ยวก็รู้”
พร้อมกับน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป เขารัดร่างเธอไว้ทันทีในท่ายืนซ้อนเข้าทางด้านหลัง ฝ่ามือใหญ่ทาบลงไปบนริมฝีปากซึ่งเตรียมจะกรีดร้อง หญิงสาวเบิกตาโตด้วยความประหวั่นสุดขีด เมื่อเห็นภาพตรงหน้า มันคือโพรงมืดสลัวที่ไม่อาจแลเห็นสิ่งใด และไร้สรรพสำเนียงใด แต่...ที่ชัดเจนก็คือ กลิ่นฉม อับชื้น ซึ่งปะปนกับกลิ่นคาว
“ก็ช่องส่งอาหารให้เพื่อนฉันน่ะสิ นังโง่ !”
สำนึกสุดท้ายของเธอก่อนจะวูบดับเมื่อถูกผลักลงไปโดยแรงก็คือ ทั้งมือและเท้าที่พยายามไขว่คว้าหาที่ยึดเกาะตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ ไม่ได้ปะทะกับสิ่งใดเลย นอกจากผนังแข็งๆ ที่ชื้นแฉะและเต็มไปด้วยเมือกของตะไคร่น้ำ
..............จบ................
💦❤🌊 THE WEEKLY GLOVES วีคที่ 6 เรื่องสั้น#11 "ราตรีสีเขียวตะไคร่" โดย "ถุงมือกลับตะเข็บ" ครับ 🌊❤💦
เรื่องสั้นของ วีคที่ 6 ตอนปลายครับ
เป็นเรื่องที่ดำเนินไปแบบโรแมนติก...แต่จะจบลงอย่างไร และใครหนอ คือเจ้าของถุงมือนี้...?
มาหาคำตอบด้วยกันครับ
แม้ราตรีนี้จะฉาบทาผืนฟ้าให้ดำสนิทดุจห้วงแห่งนิล หากแต่ประกายเรืองรองสุกใสของหมู่ดาวน้อยใหญ่ที่กระจัดกระจายอยู่เต็มผืน ก็คือสิ่งที่มาช่วยแต่งเติมชีวิตและชีวาในยามดึกมิให้วังเวงจนเกินไป
สองร่างหญิงชายเดินกุมมืออิงแอบกันมาตามถนนโรยกรวดที่ทอดยาวไปสู่ตัวบ้าน พุ่มแก้วทรงกลมริมสนามที่เต็มไปด้วยสีขาวของดอกบานส่งกลิ่นหวานซึ้งราวกับจะช่วยประโคมใจผู้ที่กำลังตกอยู่ในห้วงเสน่หา
หญิงสาวในวัยที่เปล่งประกายสาวอย่างถึงพร้อมและบริบูรณ์เช่นเธอผู้นี้สวมชุดกระโปรงสั้นรัดรึงเรือนกายแบบไร้แขน ปล่อยผมยาวดำขลับให้ระเล่นบนแผ่นหลัง อาการเอนอิงศีรษะแนบไหล่ฝ่ายชายก่อให้เกิดประกายที่เส้นผมยามเมื่อต้องแสงไฟจากทางเดิน
บุรุษในชุดลำลองที่แลสูงวัยกว่าฝ่ายหญิงเล็กน้อยกุมมือเธอไว้มั่นขณะก้าวเดินเคียงกัน เขาก้มมองเมื่อเธอเอนศีรษะแนบไหล่ คล้ายจะเอ่ยบางอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ก่อนที่จะถึงลานบ้าน เขาปล่อยมือเธอแล้วค่อยๆ เคลื่อนแขนไปโอบเอวเอาไว้แทน ไล้ปลายนิ้วไปตามรอยโค้งของสรีระนั้นอย่างเจตนา
ไม่มีถ้อยคำใด นอกจากรอยยิ้มที่มาจากทั้งริมฝีปากและนัยน์ตาของทั้งเธอและเขา ความสงัดที่เย้ายวนใจ ถูกรบกวนเพียงแค่เสียงรองเท้าที่กระทบพื้นของคนทั้งคู่
เขาตระกองร่างเธอเดินผ่านลานบ้านที่ตกแต่งด้วยศิลาแลง มีกระถางปูนใส่ไม้ประดับทรงพุ่มเรียงรายเป็นรูปครึ่งวงกลม เมื่อถึงประตูหน้าบ้านซึ่งเป็นไม้สองบานขนาดใหญ่และมีแสงนวลสลัวจากดวงไฟเล็กๆ ใจกลางโคมไม้ไผ่ทรงฝาชีที่เหนือประตู เขาเพียงแต่ผลักเบาๆ มันก็เผยออกง่ายดาย ราวกับอาการผายมือต้อนรับของเจ้าบ้าน
เธอคงปล่อยให้เขาพาเดินไปเช่นนั้น กระทั่งเข้าไปถึงภายในตัวบ้านที่เป็นส่วนผสมระหว่างปูนและเนื้อไม้ ผนังทาสีทึบ บางตอนประดับด้วยหินหลากรูปทรงและผิวสัมผัส แม้ว่าแต่ละก้าวของหญิงสาวจะระคนด้วยความรู้สึกที่น่าตื่นเต้นสำหรับการได้มาเยือนเคหาของเขาเป็นหนแรก แต่เธอก็เคลื่อนฝีเท้าตามเขาไปด้วยความเต็มใจ
เขาโอบเอวเธอกระชับขึ้นอีก เมื่อพาเดินขึ้นบันไดกลางห้องโถงที่ไม่มีราวจับ เธอพยายามจะนับมัน ทั้งที่ในห้วงนั้นราวกับว่าความรู้สึกต่างๆ ได้ถูกอัดแน่นและเอ่อท้นอยู่ภายใน และแล้วเธอก็ได้ยินเสียงลมหายใจของตนเองเมื่อแตะปลายเท้าลงที่บันไดขั้นสุดท้าย...
ในแสงสลัวราง หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ เมื่อรู้สึกว่ามีไอเย็นเข้ามากระทบผิวเนื้อบริเวณหัวไหล่และลำคออันเปลือยเปล่า เพราะยามนี้บานหน้าต่างที่เป็นกระจกเลื่อนขนาดใหญ่ถูกเปิดออกครึ่งหนึ่ง แลเลยออกไป ก็คือสีดำสนิทของท้องฟ้าที่ยังมีจุดดาวสว่างกระจัดกระจายราวกับภาพเขียน
ครู่เดียว หญิงสาวก็เบือนหน้าจากหน้าต่างนั้น พลิกศีรษะไปทางด้านซ้ายและป่ายแขนออกไปหาคนที่นอนเคียงข้าง แต่สิ่งที่พบใต้ผืนผ้าห่มนุ่มๆ และที่นอนหนาอันน่าสบายนั้นกลับเป็นความว่างเปล่า
เธอชะงักไป ก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้ว่า ที่นี่คือบ้านของเขา แล้วหญิงสาวก็ค่อยยิ้มกับตัวเอง
ก็วันนี้ไม่ใช่หรือที่เธอรอคอย...
หลังจากที่ได้พบกันครั้งแรกโดยบังเอิญในงานสังคมแห่งหนึ่งที่โรงแรมชานกรุงเมื่อสามเดือนก่อน ค่ำคืนที่อวลไปด้วยเสียงดนตรีและเสียงพูดคุยของพิธีกรบนเวที ช่วงหนึ่งเธอเลี่ยงออกไปยืนมองภาพประดับผนังบริเวณทางเดินเชื่อมต่อห้องโถงใหญ่อย่างไม่รู้จะทำอะไรแทนการนั่งละเลียดอาหารและพูดคุยกับเพื่อนร่วมโต๊ะที่ไม่สนิทชิดเชื้อ แล้วจู่ๆ เขาก็ตรงเข้ามาเป็นคู่สนทนากับเธออย่างเปิดเผย
“ผมชอบผู้หญิงที่สวมชุดสีเขียวแบบนี้”
เขาพูดโดยไม่ยิ้ม แต่สบตาเธอตรงๆ พร้อมกับทอดไมตรีออกมากับแววตานั้นอย่างชัดเจน ผู้ชายร่างใหญ่ ผิวค่อนข้างขาว มีเคราบางๆ ปล่อยผมยาวกว่าทรงผมบุรุษทั่วไปเล็กน้อย วันนั้นเขาสวมเสื้อและกางเกงสีน้ำตาลเข้าชุด ขณะที่เธอสวมชุดกระโปรงสั้นเข้ารูปสีเขียวหม่นอวดต้นแขนกลมกลึง ซึ่งก็คือชุดที่เธอสวมมาที่นี่วันนี้นั่นเอง
“ขอบคุณค่ะ”
เธอคลี่ยิ้มเมื่อมองตอบแววตาคู่นั้น รู้สึกมาดมั่นในตนเองขึ้นมาทันใด และยังทันได้เห็นว่าเขาเหลือบดูต้นแขนข้างขวาของเธอซึ่งเป็นด้านที่ชิดกับเขาอย่างพึงใจ
นั่นคือจุดเริ่มต้น แล้วต่อจากนั้นทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น ราวกับเขาและเธอต่างรู้จักกันมาก่อน จากบทสนทนาในค่ำคืนนั้น นำไปสู่การสื่อสารทางโทรศัพท์ในวันต่อๆ ไป และการนัดหมายกันในมื้ออาหาร นั่งชมภาพยนตร์ด้วยกัน ฟังเพลงกับเต้นรำคู่กันทั้งจังหวะสนุกสนานและท่วงทำนองที่อ่อนหวาน รวมไปถึงการนั่งในรถยนต์ของเขาท่องไปบนท้องถนนที่เกือบจะว่างวายในยามดึก
เขาสนใจเธอ และเธอก็พอใจเขา แม้เขาจะยังไม่เผยรายละเอียดเกี่ยวกับตนเองทั้งหมดให้เธอรับรู้ เช่นครั้งที่เธอพลั้งปากถามออกไปขณะที่ติดอยู่ในรถยนต์กับเขาบริเวณสี่แยกใหญ่ใจกลางเมือง หลังจากพบกันครั้งแรกราวสองสัปดาห์
“คุณทำงานเกี่ยวกับ เอ่อ อะไรนะคะ ขอโทษค่ะ”
เขาหัวเราะในลำคอก่อนหันมาตอบ
“ผมยังไม่เคยบอกนี่นะว่าผมเป็นพ่อค้า” และยังไม่ทันที่เธอจะตั้งคำถามกลับไป เขาก็ชิงพูดต่อ “แต่ยังไม่บอกหรอกว่าขายอะไร“ แล้วเขาก็จบด้วยรอยยิ้ม ทำให้เธอยิ้มตอบเขาไปเช่นกัน ก่อนจะทิ้งท้ายแบบทีเล่นทีจริง
“ยังไม่อยากรู้ก็ได้”
เธอหวนคิดถึงพัฒนาการของอารมณ์และความรู้สึกที่มีต่อกันและกันระหว่างเขาและเธอในห้วงที่ผ่านมา อาจเป็นด้วยวัย ด้วยเลือดเนื้อของความเป็นชายกับหญิง และบางสิ่งบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ซึ่งแฝงซ่อนอยู่ในเรียวปากยามที่เขาเผยยิ้ม กับดวงตารูปยาวรีซึ่งมักส่งประกายกล้าใส่ดวงตาของเธอเมื่อได้พบกัน
สำหรับหญิงสาว เธอรู้สึกว่าเขาออกจะดูลึกลับมากเท่าๆ กับที่มีเสน่ห์ชวนดึงดูดเพศตรงข้ามได้ไม่ยาก ขณะที่เธอนั้นแสนจะเปิดเผย ทั้งนิสัยใจคอ คำพูด กระทั่งวิธีแต่งกายที่มักจะเน้นความเป็นอิตถีเพศของตนเองอย่างจงใจ
เขาชอบสีเขียวกับสีน้ำตาล โดยเฉพาะเขียวในโทนหม่นอย่างชุดของเธอวันแรกที่พบกัน เธอเผลอยิ้มคนเดียว ที่จริงแบบชุดนั้นมีสามสี ไม่รู้ว่า หากไม่ใช่สีเขียวหม่นชุดนี้ แล้วเธอเลือกสีใดสีหนึ่งในอีกสองสีนั้น เขาจะเข้ามาทักเธอไหม...
รถยนต์ของเขาสีน้ำตาลไหม้ เบาะสีน้ำตาลอ่อน หมอนอิงในรถก็เป็นสีโทนเดียวกัน ยกเว้นตุ๊กตาเซรามิกที่วางประดับคอนโซลหลัง มันคือจระเข้ตัวน้อยสีเขียวอมดำที่ใส่ลูกนัยน์ตาไว้ทำให้ดูราวกับว่ามีชีวิต
“ทำซะเหมือน จนฉันกลัวเลยค่ะ” เธอพูดกลั้วหัวเราะในวันแรกที่มีโอกาสสังเกตดูเพราะหยิบของเข้าไปวางไว้ด้านหลัง
“แต่ผมชอบ” เขาพูดเมื่อเข้าไปนั่งในตำแหน่งคนขับพร้อมกับปิดประตู
“ชอบจระเข้...เหรอคะ” เธอถามตาโต
เขาทำเสียงตอบรับในลำคอขณะมองตรงไปเบื้องหน้าเมื่อนำรถทะยานออกไป
“มันทรงพลังดี”
หญิงสาวนอนลืมตาโพลงในแสงสลัว นึกถึงรสสัมผัสและความรู้สึกอันแสนซาบซ่านรัญจวนที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนข้ามคืน ณ ที่แห่งนี้ แล้วก็ให้วาบหวามใจ ลูบไล้ฝ่ามือไปตามเนื้อตัวของตนเองคล้ายจะสำรวจ รู้สึกระบมนิดๆ ที่ด้านในต้นแขนซ้ายซึ่งเขาสัมผัสรุนแรงด้วยริมฝีปากก่อนจะขบฟันลงมาเบาๆ ยามที่อารมณ์พรึงเพริดถึงขีดสุด
เธอจะคิดถึงเขามากขึ้นอีกแค่ไหน หากต้องห่างกันหลังจากนี้....
ยินเสียงตัวเองถอนใจยาว หญิงสาวตัดสินใจลุกขึ้นสวมอาภรณ์บางชิ้น แล้วค่อยๆ ก้าวเท้าเดินไปที่ประตู เธออุทานออกมาคำหนึ่งเมื่อปลายนิ้วเท้าไปชนเข้ากับของแข็งบางอย่างบนพื้นห้อง คงเป็นหินอะไรสักอย่างที่นำมาตั้งประดับ เธอขยับฝ่าเท้าอย่างระมัดระวังกว่าเดิม เดินไปจนถึงบานประตูสีขาว เธอหมุนลูกบิดและดึงบานประตูออก แสงไฟสีนวลจากด้านนอกสาดเข้ามา
หญิงสาวหันไปมองดูวัตถุนั้น หินสีเข้มก้อนไม่ใหญ่นัก รูปทรงยาวขนานกับพื้น มีร่องรอยแกะสลักแต่ยังเผยลักษณะไม่ชัดเจน แล้วเธอก็หันกลับ และก้าวออกไปนอกห้อง ก่อนดึงบานประตูให้ปิดตามหลังโดยไร้เสียง
เขาอาจไปยืนสูบบุหรี่หรือสูดอากาศอยู่ด้านนอกก็ได้ หญิงสาวกระชับสาบเสื้อคลุมเข้าหากันตามความเคยชินขณะสาวเท้าไปตามโถงทางเดิน สุดระยะห้องโถงมีม่านที่ทำจากเปลือกหอยชิ้นเล็กๆ ร้อยต่อกันไว้เป็นสายยาวจวนจรดพื้นแขวนเรียงกันนับสิบเส้น เปลือกของเจ้าสัตว์ทะเลสะท้อนกับแสงจากโคมไฟที่ตามไว้เป็นระยะ ดูเลื่อมพราย ระยิบระยับ และเมื่อเธอแหวกมันออกก็เกิดเสียงกระทบกันฟังแปลกหู
ที่ราวระเบียงสำหรับยืนชมทัศนียภาพเบื้องล่าง อันได้แก่ผืนน้ำนิ่งในสระปูนรูปทรงกลมกว้างเท่าๆ กับลานบ้าน เขาคงยืนมองมันอยู่ก่อนจะหันขวับมาในทันทีด้วยท่าทีแปลกใจเล็กน้อยขณะที่เธอโผล่พ้นม่านนั้น แต่เขาก็อ้าแขนรับเมื่อเธอโผเข้าไปหา หญิงสาวสวมกอดเขาด้วยความรู้สึกที่ออกมาจากหัวใจ
“นอนไม่หลับ...หรือกลัวผมหนี” เสียงเขาสัพยอก
“แอบออกมาทำอะไรคนเดียวคะ ?”
แทนที่จะตอบเขา เธอกลับตั้งคำถามเสียเอง และยังคงซบกับอกนั้นโดยไม่เงยหน้า ขณะที่เขาหัวเราะในลำคออีกครั้ง อันเป็นอาการที่เธอเคยรู้สึกว่าไม่ใคร่จะน่าฟังเท่าใดนัก
“ใจคุณเต้นแรงจัง” เสียงเธออู้อี้อยู่กับอกเขา
“เพราะได้กอดคุณน่ะสิ” เขากระซิบตอบและสัมผัสความนุ่มเนียนของผิวกายเธอบ้าง
หญิงสาวเอียงหน้ามองลงไปที่สระน้ำด้านล่าง ผิวน้ำสะท้อนรูปดาวจนดูเหมือนกับเป็นแผ่นฟ้าอีกผืนหนึ่ง
“สระสวยนะคะ”
“ชอบใช่มั้ย ?” เขาลูบเรือนผมและสอดมือเข้าไปไล้ที่ลำคอของเธอก่อนพูดประโยคต่อไป “อยากอยู่กับผมที่นี่มั้ย ?”
เธอหลับตาและโอบร่างเขาไว้แน่น
“ตอบก่อน” น้ำเสียงเขาเข้มขึ้นเล็กน้อย เธอจึงตอบพร้อมกับจุมพิตปลายคางอย่างเอาใจ
“ค่ะ”
จากนั้น หญิงสาวไม่ขัดขืนเมื่อรู้ว่าเขาขยับตัวพาออกเดิน
“มานี่แน่ะ จะให้ดูอะไร”
เขาโอบเอวเธอด้วยแขนซ้าย ขณะที่เธอยังโอบเขาไว้ทั้งสองแขน ทั้งคู่ค่อยเดินไปตามราวระเบียงนั้นช้าๆ ก่อนที่เขาจะพาไปหยุดฝีเท้าลงตรงบริเวณผนังที่มีประตูไม้บานใหญ่ ใส่สลักไว้มั่นคงแข็งแรงอย่างประตูเรือนโบราณ
“อะไรคะ ?”
เธอถามเมื่อเขาเอื้อมมือไปถอดสลักออกอย่างระมัดระวัง และพิงมันไว้ที่ผนัง สายตาจับที่บานประตูซึ่งค่อยๆ เผยออกช้าๆ ชายหนุ่มไม่ตอบ แต่หัวเราะในลำคอด้วยเสียงแปร่ง ๆ
“ชอบทำลึกลับอยู่เรื่อยเชียว”
เธอหันไปค้อนน้อยๆ ขณะที่อีกฝ่ายตั้งใจสบตาและยิ้มตอบ ทว่า ครั้งนี้เป็นรอยยิ้มที่เหี้ยมเกรียมจนทำให้เธอต้องตกตะลึง
“อยากรู้นักรึ ? เดี๋ยวก็รู้”
พร้อมกับน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป เขารัดร่างเธอไว้ทันทีในท่ายืนซ้อนเข้าทางด้านหลัง ฝ่ามือใหญ่ทาบลงไปบนริมฝีปากซึ่งเตรียมจะกรีดร้อง หญิงสาวเบิกตาโตด้วยความประหวั่นสุดขีด เมื่อเห็นภาพตรงหน้า มันคือโพรงมืดสลัวที่ไม่อาจแลเห็นสิ่งใด และไร้สรรพสำเนียงใด แต่...ที่ชัดเจนก็คือ กลิ่นฉม อับชื้น ซึ่งปะปนกับกลิ่นคาว
“ก็ช่องส่งอาหารให้เพื่อนฉันน่ะสิ นังโง่ !”
สำนึกสุดท้ายของเธอก่อนจะวูบดับเมื่อถูกผลักลงไปโดยแรงก็คือ ทั้งมือและเท้าที่พยายามไขว่คว้าหาที่ยึดเกาะตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ ไม่ได้ปะทะกับสิ่งใดเลย นอกจากผนังแข็งๆ ที่ชื้นแฉะและเต็มไปด้วยเมือกของตะไคร่น้ำ